ใส่สีใส่สัน
"วันเผด็จศึก"
เมื่อครั้งนักเขียนคอลัมน์ "ไก่อ่อน" เริ่มงานเขียนเป็นครั้งแรกในหน้าหนังสือพิมพ์เสียงอ่างทอง (ไทยรัฐปัจจุบันนี้) นั้น ได้ใช้ชื่อคอลัมน์ว่า "วันวิพากษ์" ผู้เขียนได้สารภาพว่าเป็นชื่อที่ได้ไอเดียมาจากภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ของ ทเวนที เซนทูรี ฟอกซ์ ในเรื่อง "วันเผด็จศึก" หรือ THE LONGEST DAY ซึ่งเข้ามาฉายที่โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมไทย ย่านผ่านฟ้า
วันเผด็จศึก คือ วันที่ 6 มิถุนายน คริสต์ศักราช 1945 อันเป็นวันที่กองทัพฝ่ายพันธมิตรได้รับชัยชนะในการยกพลขึ้นบก ซึ่งถือเป็นชัยชนะแบบยุติสงครามโลก โดยเฉพาะในทวีปยุโรป
การยกพลขึ้นบกของกองทัพของฝ่ายพันธมิตร เป็นการขึ้นจากเรือชายฝั่งทะเลแถบนอร์มังดีของฝรั่งเศส
แน่นอนครับว่า ความสำเร็จในชัยชนะครั้งนี้ ฝ่ายพันธมิตรได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยใต้ดินกู้ชาติฝรั่งเศส
เยอรมนี-ศัตรูที่เข้มแข็งของฝ่ายพันธมิตรไม่คิดว่าข้าศึกจะยกพลขึ้นฝั่งนอร์มังดี โดยเฉพาะในวันที่ 6 มิถุนายน 1945 อันเป็นวันที่สภาพดินฟ้าอากาศเลวร้ายมาก มีฝนตกหนักในพื้นที่ ท้องทะเลเต็มไปด้วยหมอกปกคลุมหนาทึบ ฝ่ายเยอรมันคิดไม่ถึง และยังไม่คิดไปไกลถึงขนาดว่า ดูทีจะเป็นกุศโลบายของกองทัพฝ่ายพันธมิตร ลวงล่อให้ตายใจในเขตนอร์มังดี เพื่อการลักลอบขึ้นบกโจมตีในจุดอื่น
เรื่องของเรื่อง ไม่มีอะไรมาก เป็นเรื่องราวของประเทศที่ถึงคราวจะแพ้สงครามมากกว่า ถ้าไม่มีวันนี้ก็ไม่มีข้อยุติในสงคราม
ภาพยนตร์เรื่อง "วันเผด็จศึก" ถูกสร้างโดย ดาร์รีล เอฟ ซานุค ในปี 1962 เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับการเขียนบทและดัดแปลงมาจากนิยายของ คอร์เนเลียส ไรอัน ส่วนทีมผู้เขียนบทภาพยนตร์ประกอบด้วยคอร์เนเลียส ไรอัน/รอเมน แกรี/เจมส์ โจนส์/เดวิด เพอร์ซอลล์ และ แจค เซดดอน
คนไทยตื่นเต้นกันมาก เพราะ "วันเผด็จศึก" ระดมดาราเข้ามาแสดงกันอย่างคับคั่งเป็นประวัติการณ์ล้วนเป็นดาราระดับใหญ่ๆ ทั้งสิ้น มีทั้ง จอห์น เวย์น/รอเบิร์ท มิทชัม/เฮนรี ฟอนดา/รอเบิร์ท ไรอัน/ริชาร์ดเบอร์ทัน/รอด สไตเจอร์/รอเบิร์ท แวกเนอร์/เอดดี แอลเบิร์ท/พีเตอร์ ลอว์ฟอร์ด/พอล แอนคา/ริชาร์ดบีย์เมอร์/ทอมมี แซนด์ส/ซัล มีนีโอ/ฌอน คอนเนอรี/เจฟฟรีย์ ฮันเตอร์/เอดมอนด์ โอไบรอัน/เมล เฟอร์เรอร์/เรด บัตทันส์/เคิร์ด เจอร์เกนส์ และรอดดี แมคโดวอลล์
ในขณะนั้น คงไม่มีพระเอกคนไหนยิ่งใหญ่เท่า จอห์น เวย์น และในกรุงเทพ ฯ ส่วนใหญ่หนังของจอห์น เวย์น แสดง ก็จะมายึดโรงหนังพาราเมาท์ ย่านประตูน้ำ เป็นประจำ แต่ในเรื่อง "วันเผด็จศึก"นี้ เวย์น รับบทเป็นนายพันเอก เบนจามิน แวนเดอร์วูร์ท คุมกองกำลังส่วนหนึ่งของเหล่านาวิกโยธิน
ความยิ่งใหญ่ของเขา ทำให้เขารังเกียจที่จะร่วมแสดงนำ แต่เป็นเพราะ ทเวนที เซนทูรี ฟอกซ์ ทุ่มไม่อั้นที่จะให้ จอห์น เวย์น แสดง แต่เขาก็ทนกลิ่นอายของธนบัตรไม่ไหว
ส่วน ริชาร์ด เบอร์ทัน กำลังดังจากบท มาร์ค แอนโธนี-นายทหารเอกของ ซีซาร์ จากเรื่อง "คลีโอพัตรา" เช่นเดียวกับ ริชาร์ด บีย์เมอร์ ซึ่งดังเป็นพลุแตกจากหนังเพลงยิ่งใหญ่ "เวสต์ ไซด์ สตอรี" ส่วนฌอน คอนเนอรี นั้นไม่ต้องพูดถึง บทบาทสายลับอังกฤษ เจมส์ บอนด์ รหัส 007 ดังยิ่งกว่าใครๆ
ภาพยนตร์เรื่องนี้ ถือว่าเป็นการรวมตัวของดาราเอกหลายคน และต้องใช้เงินทุนเป็นจำนวนสูง เพื่อให้เข้าไปสวมบทบาททั้ง 3 ฝ่าย อันได้แก่ ฝ่ายพันธมิตร ในอังกฤษ ฝ่ายเยอรมนี ที่กำลังยึดครองฝรั่งเศสอยู่ในระหว่างนั้น และฝ่ายฝรั่งเศสเอง
ผู้กำกับการแสดงต้องใช้ถึง 3 คน โดยมี เคน อันนาคิน เป็นตัวหลัก ร่วมกับ เบิร์นฮาร์ด วิคคี และแอนดรูว์ มาร์ทิน
ถ้าเปรียบเทียบฟอร์มหนังสงครามด้วยกัน แล้ววัดในด้านความยิ่งใหญ่แล้ว "วันเผด็จศึก" น่าจะยิ่งใหญ่กว่าภาพยนตร์ที่สร้างตามมาในปี 1968 "สงครามและสันติภาพ" หรือ WAR AND PEACE
ผมชอบติดตามผลงานศิลปะ อย่างงานเขียนบทภาพยนตร์แบบ "วันเผด็จศึก" เพราะเป็นการเขียนจากเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เช่นเดียวกับหนังสงครามหลายเรื่อง แม้กระทั่ง "BATTLE OF THE BULGE" ซึ่งสร้างในปี 1965 โดย เคน อันนาคิน เป็นผู้กำกับการแสดงเช่นเดียวกัน และเป็นภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์สยาม ที่สยามสแควร์ นำมาฉายเป็นโพรแกรมเปิดโรงเรื่องแรก
ผมเคยได้พูดแล้วว่า การทำภาพยนตร์ คือ การเล่าเรื่อง รายละเอียดเป็นแก่นแท้ที่จะส่งผลให้หนังได้รับความสำเร็จหรือไม่นั้น เรื่องราวของ "วันเผด็จศึก" เนื้อหาความยาวในการฉาย 180 นาที ดูไม่เบื่อที่ยังคงจำติดตาก็เห็นจะเป็นฉากกองเรือของฝ่ายพันธมิตร
คืบคลานออกมาจากหมอกที่หนาทึบกลางทะเล
สิ่งที่เด่นเป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะของ "วันเผด็จศึก" ได้แก่เพลง THE LONGEST DAY ซึ่งมากระหึ่มเอาในตอนท้ายเรื่อง ท่วงทำนองเร้าใจ จนถึงขนาดได้รับการแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย จากฝีมือของชาลี อินทรวิจิตร ยอดนักแต่งเพลงในสมัยนั้น
"วันเผด็จศึก" เป็นภาพยนตร์ขาวดำ ถ่ายทำด้วยระบบซีเนมาสโคพ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ มากมายหลายสาขา รวมทั้งรางวัลสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี แต่ไม่สามารถต้านทานภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ ผลงานของ เดวิด ลีน "ลอว์เรนศ์แห่งอราเบีย" (LAWRENCE OF ARABIA) แต่สรุปสุดท้ายก็ได้ตุ๊กตาทองมาแค่ 2 สาขา คือ สาขากำกับภาพยนตร์ขาวดำยอดเยี่ยม และรางวัลสาขาเทคนิคพิเศษด้านภาพและเสียง
เรื่องโดย : จอสยาม
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : ใส่สีใส่สัน
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/54963