พิเศษ(cso)
เครื่องเสียงเด่นปี 2548
กระแสเครื่องเสียงรถยนต์บ้านเรา ตอบรับ AUTOSOUND 2005 ด้วยระบบคาร์เธียเตอร์ที่เน้นความบันเทิงด้านภาพ และเสียงไปพร้อมกัน โดยเฉพาะการดูหนังหรือแผ่นคอนเสิร์ทในรถด้วยระบบ 5.1 CH สมจริง ทำให้บรรดาค่ายฟรอนท์เอนด์ทั้งหลายต่างต้องปรับตัวตามหันมาเน้นที่เครื่องเล่น DVD และจอ TV รูปแบบต่างๆ ส่วนเพาเวอร์แอมพ์ และชุดลำโพงนั้นยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาก ส่วนงานติดตั้งจะเน้นสภาพเดิมๆ ในรถมากขึ้น เรามาดูกันว่าเครื่องเสียงแต่ละประเภท มีทิศทางอย่างไร และประเภทไหนจะเด่นในปีนี้
ฟรอนท์เอนด์
แบบเล่นแผ่น DVD
ในส่วนของแหล่งสัญญาณที่เป็นเครื่องเล่น DVD คงต้องแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 1. กลุ่มที่เป็นเครื่องเล่น DVD แบบ 1 แผ่น สามารถติดตั้งในช่องคอนโซลที่แผงหน้าปัด (IN-DASH) ในกลุ่มแรกนี้ นอกจากจะสามารถเล่นแผ่น DVD ได้แล้ว ยังสามารถเล่นแผ่น DVD VIDEO และ VCD, CD, CD-R, CD-RW, MP3 ได้อีกด้วย เป็นการเพิ่มความหลากหลายในการเล่นกับแผ่นในแต่ละประเภทได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังได้บรรจุฟังค์ชันการอ่านข้อมูลในรูปของ WMA โดยผู้ใช้สามารถบันทึกเพลงลงแผ่น
CD-R หรือ CD-RW ด้วยการโหลดเพลงจากเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านทางสื่อ WINDOW MEDIA AUDIO และบางยี่ห้อสามารถเล่นกับแผ่น S-VCD ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ทางผู้ผลิต สามารถบรรจุภาครับวิทยุ และภาคขยายเสียงเข้าไว้ในตัวของเฮดยูนิท (BUILT-IN) โดยเพิ่มเติมฟังค์ชันระบบการทำงานต่างๆ ไว้อย่างมากมาย เพื่อความหลากหลายในการใช้งานอย่างสมบูรณ์ สำหรับกลุ่มที่ 2. เป็นเครื่องเล่น DVD แบบ 1 แผ่นเช่นกันแต่มีจอมอนิเตอร์ในตัว ส่วนใหญ่จะเป็นแบบอัตราส่วน 16:9 หรือ WIDE SCREEN เป็นต้นซึ่งการใช้งานในกลุ่มที่ 1 ไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ 2 นอกจากนี้ยังมีขนาดจอทีวีให้เลือกตั้งแต่ 5" ถึง 7" เนื่องจากตัวเครื่องประเภทนี้อยู่ในมาตรฐาน 1 DIN ซึ่งเป็นตัวบังคับพื้นที่ของตัวเครื่อง และคงไม่มียี่ห้อไหน สามารถทำจอทีวีแบบ IN-DASH ให้มีขนาดจอทีวีใหญ่กว่า 7" นอกจากจะเพิ่มจอทีวีแยกอิสระต่างหากจากภายนอก เช่น จอทีวีแบบแขวนเหนือศีรษะ (OVERHEAD MONITOR) เป็นต้น
จอทีวีมอนิเตอร์
แบบ POP-UP มาแรง
สำหรับจอทีวีมอนิเตอร์ดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มผู้บริโภคขณะนี้ เนื่องจากสามารถนำไปใช้งานร่วมกับเครื่องเล่น DVD แบบ 1 แผ่น หรือแบบ DVD CHANGEได้ตามปกติ โดยใช้ช่องต่อสัญญาณระบบภาพ/เสียงต่อเข้าร่วมกัน ซึ่งตัวเครื่องแบบ
POP-UP ส่วนใหญ่จะอยู่ในมาตรฐาน 1 DIN สามารถติดตั้งได้พอดีกับช่องเดิมของรถเกือบทุกประเภท เป็นการช่วยอำนวยความสะดวกต่อการติดตั้งในรถยนต์เป็นอย่างมาก และได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นนักเล่น CAR AV ในบ้านเรา
นอกจากนี้ตัวจอมอนิเตอร์แบบ POP-UP ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในตลาด ทางผู้ผลิตได้บรรจุภาครับ FM/AM หรือ TV TUNER ในตัว เพื่อเพิ่มศักยภาพของการใช้งานให้มากขึ้น เช่น การรับฟังข่าวสารบ้านเมือง หรือรับชมความบันเทิงจากรายการโทรทัศน์ และด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทางผู้ผลิตได้บรรจุภาคขยายเสียงในตัวเข้าไว้ในตัวเครื่องเช่นเดียวกัน สามารถนำไปขับลำโพงชุดหน้า/ชุดหลังได้ตามปกติ ซึ่งในแต่ละยี่ห้อ มีกำลังขับที่แตกต่างกันไปตามความเหมาะสม และให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้งาน ตั้งแต่ 25 วัตต์ ถึง 55 วัตต์/ข้าง MAX สำหรับลำโพง 4 ตัว
ในกรณีที่ต้องการจอทีวีมอนิเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น หรือต้องการความบันเทิงที่ชัดเจนอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะรถยนต์ที่มีตัวถังยาว อย่างเช่น รถประเภทกิจกรรมกลางแจ้ง และรถอเนกประสงค์ เพื่อให้ผู้บริโภคทางด้านหลัง สามารถรับชมความสนุกสนานอย่างทั่วถึง
เช่นเดียวกับผู้โดยสารด้านหน้า โดยทางผู้ผลิตในแต่ละยี่ห้อได้ออกแบบจอทีวีมอนิเตอร์ประเภทนี้เพื่อการติดตั้งสำหรับผู้โดยสารด้านหลังโดยเฉพาะ ในปัจจุบันมีผู้ผลิตหลายรายได้ออกแบบจอทีวีที่สามารถติดตั้งเหนือศีรษะได้ (OVERHEAD MONITOR) สามารถเลือกขนาดจอภาพได้ตั้งแต่ 7" ถึง 10" ขึ้นไป หรือแบบฝังหมอน มีขนาดให้เลือกตั้งแต่ 7"ถึง 8" (HEADREST) ตามความต้องการของผู้บริโภคได้เลือกใช้งานอย่างเหมาะสมและตามงบประมาณของตนเอง
อุปกรณ์ปรับแต่งเสียง
ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม
อุปกรณ์ปรับแต่งเสียงที่มีอยู่ในท้องตลาดขณะนี้ มีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1. กราฟิคอีควอไลเซอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ง่ายสุดในการปรับแต่งสัญญาณเสียง เนื่องจากตัวปุ่มปรับมีลักษณะเป็นแบบปรับเลื่อนขึ้น และเลื่อนลง สามารถปรับค่าแอมพลิจูด (AMPLITUDE) พร้อมกับปรับจุดศูนย์กลางของย่านความถี่นั้นๆ (CENTER FREQUENCY) ได้อย่างสะดวก แต่การปรับแต่งเสียงจะอยู่ในลักษณะเป็นค่าตายตัว (FIXED) ซึ่งมีให้เลือกใช้งานตั้งแต่ขนาด 4, 5, 7 แบนด์ขึ้นไป ถึง 30 กว่าแบนด์
2. พาราเมทริค อีควอไลเซอร์ อุปกรณ์ประเภทนี้ การปรับแต่งจะยุ่งยากขึ้นมาอีกขั้น สามารถปรับแต่งได้ทั้งค่าแอมพลิจูด ปรับจุดศูนย์กลางของย่านความถี่ รวมถึงการปรับค่า Q ของระบบ (Q FACTOR) ซึ่งมีให้เลือกใช้งานตั้งแต่ขนาด 4 ถึง 7 แบนด์ขึ้นไป
3. พารากราฟิค อีควอไลเซอร์ อุปกรณ์ประเภทนี้มีการทำงานคล้ายกับอุปกรณ์แบบที่ 1 กับแบบที่ 2 รวมกัน สามารถปรับได้ทั้ง ค่าจุดศูนย์กลางของย่านความถี่ และปรับค่า Q เพราะยิ่งมีจำนวนตัวปรับเสียงมากขึ้นเท่าไร ยิ่งทำให้มีความยากในการใช้งานมากยิ่งขึ้น
ส่วนใหญ่จะใช้ในการแก้ปัญหาที่เกิดจากสภาพอคูติคในรถยนต์เป็นสำคัญแต่ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีดิจิทอลที่ก้าวหน้า อุปกรณ์ดังกล่าวจึงได้พัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยใช้ DSP เข้ามาประมวลผลในการทำงาน และปัจจุบันได้บรรจุเข้าไว้ในเฮดยูนิทระดับไฮเอนด์ที่มีราคาแพง หรือในอุปกรณ์แยกชิ้นที่ออกแบบขึ้นมาต่างหาก
เพาเวอร์แอมพ์
ขับทั้งระบบ เน้นพลัง
สำหรับเพาเวอร์แอมพ์ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ใช้เครื่องเดียวขับทั้งระบบ และเน้นพลังกลุ่มแรกจะให้ความสำคัญกับเพาเวอร์แอมพ์ 4 แชนแนล เพราะใช้งานได้หลากหลาย ทั้งขับลำโพง 2 ชุด หรือ 1 ชุด กับบริดจ์ขับซับวูเฟอร์ข้างเดียว ซึ่งเป็นชุดยอดนิยม ในบ้านเราก็มีเพาเวอร์แอมพ์ประเภทนี้ให้เลือกหลายค่าย ทั้งแบรนด์เนมไฮเอนด์ราคาสูงหน่อยกับน้องใหม่ที่มีคุณภาพราคาพอจับต้องได้ ในบ้านเรามีให้เลือกมากมาย
กลุ่มที่เน้นพลัง จะหันไปหาเพาเวอร์แอมพ์ไฮเคอร์เรนท์ และ CLASS D เพื่อขับซับวูเฟอร์โดยเฉพาะ เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว เพราะสามารถเน้นรายละเอียดเสียงเบสส์หรือจะเปิดโชว์แบบเต็มๆ ก็ได้ตามต้องการ แต่หากใช้ซับธรรมดาทั่วไป จะไม่อาจเค้นพลังได้ตามต้องการ เพาเวอร์แอมพ์ไฮเคอร์เรนท์มีให้เลือกตั้งแต่ 200 วัตต์/แชนแนลขึ้นไปส่วน CLASS D แบบ MONO BLOCK ตั้งแต่ 500 วัตต์ขึ้นไป
ส่วนเพาเวอร์แอมพ์มัลทิแชนแนล ทั้ง 5 แชนแนล และบอกตัวเองว่าเป็น 5.1 CH ที่จะมาตอบรับกับระบบคาร์เธียเตอร์ ก็ไม่ได้รับความนิยมเท่ากับเพาเวอร์แอมพ์ 4 แชนแนลอาจเป็นเพราะราคาที่สูง และทางร้านติดตั้งใช้เทคนิคเข้าช่วยในการติดตั้งระบบ 5.1 CH แทน
ชุดลำโพง
แยกชิ้นไว้ก่อน
ส่วนของชุดลำโพง ในบ้านเราจะนิยมประเภทแยกชิ้น 2 ทาง เป็นส่วนใหญ่ เพราะให้เสียงได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ตำแหน่งติดตั้งไม่ยุ่งยาก สามารถติดวูเฟอร์ หรือมิดเบสส์ที่ช่องเดิมบริเวณแผงประตูได้ ส่วนทวีเตอร์ วางได้หลากหลาย ตั้งแต่แผงประตู บนคอนโซล KICK PANEL หรือ A-PILLAR ให้มิติและเวทีเสียงแตกต่างกันไป ขนาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเป็นขนาด 6 1/2"
สำหรับปี 2005 ลำโพงประเภทแยกชิ้น 3 ทาง จะเข้ามาชิมลางกัน เพราะหากต้องการเน้นมิติ และเวทีเสียงทางด้านหน้า ลำโพงประเภทนี้จะทำหน้าที่ได้ดีกว่า เพียงแต่อาจติดปัญหาเรื่องวูเฟอร์ขนาดใหญ่กว่า 6 1/2" ที่ลงไม่ได้ ส่วนมิดเรนจ์ 4" และทวีเตอร์ ไม่มีปัญหาครับแต่ยังไงก็ไม่พ้นฝีมือช่างในบ้านเราไปได้หรอก ต้องติดตามกัน
ซับวูเฟอร์
ดูดุดันได้เปรียบ
ตั้งแต่กลางปี 2004 ที่ผ่านมา นักเล่นในบ้านเราเริ่มให้ความสำคัญกับซับวูเฟอร์ โดยเฉพาะขนาด 10" ข้างเดียว ทีให้เสียงเบสส์ได้กลมกลืนสมจริง ติดตั้งได้ง่ายในตู้ขนาดเล็ก อีกทั้งมีบรรดาผู้ผลิตหลายราย ออกแบบตู้สูตรสำเร็จ ที่มีขนาดเล็ก ติดตั้งง่าย กลมกลืนกับตัวรถทำให้หมดปัญหาเรื่องการติดตั้ง และตัดสินใจจัดระบบที่มีซับวูเฟอร์ได้ง่ายขึ้น สำหรับปี 2005 นักเล่นมีแนวโน้มหันมาเล่นซับวูเฟอร์แบบดุดันมากขึ้น ประเภท LONGSTROKE เซอร์ราวน์ด โดนัท หรือวัตต์สูงๆ 300 วัตต์/ข้างขึ้นไป ขนาดยังคงอยู่ที่ 10" แต่จะขยับเพิ่มเป็น 1 คู่แทน
งานติดตั้ง
เน้นความกลมกลืน
รถรุ่นใหม่ๆ ที่เปิดตัวกัน จะมีการออกแบบภายในให้สวยงามหรูหรา ทำให้เจ้าของรถไม่อยากเปลี่ยนแปลง มักจะเน้นให้ติดตั้งแบบเดิมๆ ทำให้งานติดตั้งง่ายขึ้น จะโชว์ชิ้นงานก็แผงซาวน์ดเล็กๆ ให้กลมกลืนกับคอนโซล KICK PANEL แผงประตู A-PILLAR หรือตำแหน่งด้านหลังส่วนงานซาวน์ดคอนเซพท์ท้ายรถยังคงมีให้เห็นแน่นอน เพราะเปิดโชว์ได้ อีกทั้งขุมพลังเบสส์ก็อยู่ที่นั่น เพียงแต่ว่า หากเจ้าของรถไม่ต้องการให้ตีตู้สูตร ก็จะใช้ตู้สำเร็จแทน ปัจจุบันไม่เสียเนื้อที่มาก อีกทั้งติดตั้งง่ายด้วย ส่วนงานโชว์คงจะมีเฉพาะลูกค้าที่รักเครื่องเสียงเป็นชีวิตจิตใจกับรถเดโมเท่านั้น
บทสรุป
AUTOSOUND 2005 จะเป็นจุดเปลี่ยนแปลง ระหว่างโลกของเครื่องเสียง และมัลทิมีเดียที่พร้อมจะเข้ามารวมอยู่ในรถยนต์เต็มตัว ทั้งด้านความบันเทิง ความปลอดภัย การสื่อสารซึ่งแน่นอนครับ นักเล่นเครื่องเสียงในบ้านเรา ขอเน้นที่ความบันเทิงเป็นอันดับแรก
มีความสุขระหว่างการเดินทางไว้ก่อน
ดังนั้นชุดเครื่องเสียงที่จะตอบสนองความต้องการได้ดี ต้องมีความเป็นไฮเทคโนโลยีในตัวสูงทั้งรูปลักษณ์ และประสิทธิภาพ การติดตั้งสะดวก ใช้งานได้ง่าย ให้ความบันเทิงหลากหลายที่สำคัญมีราคาสมเหตุสมผล
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : พิเศษ(cso)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/54565