ใส่สีใส่สัน
แฟนฉัน
ผมไม่รู้สึกแปลกใจเลย ที่การเก็บรายได้จากการฉายภาพยนตร์ไทยเรื่อง "แฟนฉัน" สูงมากกว่า 100 ล้านบาทซึ่งเป็นจำนวนที่จัดเก็บได้เฉพาะกับหนังไทยเป็นบางเรื่องเท่านั้น
ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นภายหลังจากผมได้มีโอกาสดูจากแผ่น VCD เมื่อดูแล้วก็หมดความสงสัยด้วยประการทั้งปวง ในชีวิตที่ผ่านๆ มานั้น ผมไม่ค่อยให้ความสนใจกับหนังไทยเท่าไร เนื่องจากติดหนังฝรั่งมาแต่ยังเล็กและช่วงเวลาที่หนังไทยร้อนจัดก็เป็นหนังไทยประเภท มิตร-เพชรา เป็นหนังที่ต้องเอาดาราแสดงนำมาขายลูกเดียว องค์ประกอบอย่างอื่นขายไม่ได้
มิตร ชัยบัญชา และ เพชรา เชาวราษฎร์ ต้องเล่นหนังประสบเคราะห์กรรมไปเพราะการแสดงอย่างน่าสงสาร
คุณมิตรนั้น มีอันต้องเสียชีวิตระหว่างการแสดงเพราะอุบัติเหตุร่วงจากเฮลิคอพเตอร์ ส่วนคุณเพชรา นางเอกผู้ได้รับฉายาว่า ตาน้ำผึ้ง แสดงหนังสู้กับรีเฟลกซ์ สู้กับแสงไฟ จนทุกวันนี้มีดวงตาที่ไม่สมบูรณ์ มองเห็นบ้างมองไม่เห็นบ้าง
การทำหนัง เป็นการเล่าเรื่อง ลักษณะแห่งการเล่าเรื่องแต่ละคนแตกต่างไม่เหมือนกัน แต่การเล่าเรื่องที่สนุกย่อมทำให้คนฟังสนุกตาม ไม่ง่วงเหงาหาวนอนหรือเบื่อหน่าย การเล่าเรื่องให้สนุกก็คือการเล่าเรื่องแบบฉลาด ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีสไตล์เป็นของตัวเอง
"แฟนฉัน" เป็นการเล่าเรื่องแบบฉลาด เก็บรายละเอียดของเรื่องราวได้อย่างไม่มีที่ตำหนิได้
หนังทุกเรื่องจำเป็นต้องมีเรื่องราว แต่เรื่องราวของ "แฟนฉัน" ไม่มีอะไรมาก ถ้าเขียนเป็นเรื่องย่อก็เขียนได้จบภายในบรรทัดเดียว
"ผู้ชายคนหนึ่งขับรถกลับบ้านเดิม คิดถึงชีวิตของตัวแต่ครั้งยังเป็นเด็ก"
มีเรื่องราวอยู่เท่านี้จริงๆ...!
เพียงเรื่องราวเท่านี้ แต่เป็นหนังที่กินใจคนดูไม่อิ่ม ดูกันเท่าไรก็ดูได้ ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ผิดกับหนังบางเรื่องไม่ว่าหนังไทยหรือหนังฝรั่ง ดูเพียงครึ่งเรื่องก็หลับกันสนิททั้งๆ ที่ไม่ได้อดหลับอดนอนมาจากที่ไหน
ผู้ชายในเรื่องราวคนนี้ชื่อ เจี๊ยบ พ่อเป็นช่างตัดผม ข้างห้องแถวด้วยกัน มีเพื่อนรุ่นเดียวกันเป็นผู้หญิงชื่อน้อยหน่า พ่อเป็นช่างตัดผมเหมือนกัน การดำเนินเรื่องก็ว่าไปด้วยวัยที่กำลังเติบโตของเด็กสองคนนี้
มีทั้งความรักและความชัง มีทั้งความรู้สึกภายในใจของคนที่เป็นเด็ก ความมีเสรีในการดำรงชีวิต (ทั้งๆ ที่ตนเองไม่รู้ว่า การดำรงชีวิตมันคืออะไร)
เจี๊ยบ เป็นคนนอนตื่นสาย สันดานนี้ทำให้เพื่อนที่มีชื่อเป็นฝรั่งว่า "แจค" มีตำแหน่งเป็นหัวโจกไม่พอใจและอาศัยตำแหน่งไม่ยอมให้ เจี๊ยบ เข้ามาเป็นพวก ไม่ยอมให้เล่น "เป่ากบ" ด้วย
เรื่องดำเนินไป จนกระทั่ง แจค ยอมรับ เจี๊ยบ เป็นพวก โดยมีเงื่อนไขต้องผ่านขั้นตอนการรับน้องใหม่ขึ้นต้นจากการปั่นจักรยาน "ปล่อยมือ" แก้ผ้าล่อนจ้อนกระโดดจากสะพานลงน้ำและไปสะเทือนใจในตอนที่ถูกบังคับให้ไปแกล้ง น้อยหน่า
น้อยหน่า ชอบเล่นกระโดดหนังยาง เจี๊ยบ เดินเข้าไปตัดสายหนังยางเสียดื้อๆ น้อยหน่า กับ เจี๊ยบ ขาดกันครอบครัว น้อยหน่า ย้ายไปที่อื่น และ น้อยหน่า ก็หายไป เจี๊ยบ รู้สึกว่าทำความผิดให้กับเพื่อนรัก ตั้งอกตั้งใจเล่นเป่ากบจนสะสมหนังยางได้เป็นกอบเป็นกำ หอบมาหาน้อยหน่าเพื่อจะมอบหนังยางให้เป็นการชดใช้ความผิดนั้น แต่ น้อยหน่า ไม่อยู่แล้ว และวันนี้ น้อยหน่า กำลังจะแต่งงาน เจี๊ยบได้รับการ์ดเชิญ แต่ภาพของ น้อยหน่า ในชุดเจ้าสาวนั้น เจี๊ยบ ยังเห็นเป็น น้อยหน่า คนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ผมถือว่า เป็นความฉลาดของคนที่เล่าเรื่องนี้ เพราะเพียงภาพนี้ภาพเดียวก็เล่าให้คนดูหนังทราบว่าความรักระหว่างเพื่อนแท้ด้วยกันนั้น แม้วันเวลาผ่านไปสักกี่ปี จะไม่สามารถลบเลือนภาพเดิมๆหรือความรู้สึกเก่าๆ ไปได้ เป็นเพื่อนแท้ และเป็นเพื่อนแท้ถึงระดับเป็น "แฟนฉัน"
สมัยที่ผมยังเป็นคนหนุ่ม สมัยที่หนังไทยยังเป็น มิตร-เพชรา สมัยที่ ดอกดิน ตื่นเต้นทุกครั้งที่หนังของเขาทะลุ"ล้านแล้วจ้า" คนที่เล่าเรื่องหนังแบบ "แฟนฉัน" นั้น ผมเห็นจะต้องยกให้ เปี๊ยก โปสเตอร์มาเป็นอันดับหนึ่ง
เปี๊ยก ทำให้ "สุขา อยู่หนใด" ดังไปทั่วประเทศ แค่พระเอกของเรื่องเป็นคนตาบอดธรรมดาคนหนึ่งเปี๊ยก ก็สามารถเล่าเป็นฉากๆ จนเป็นเรื่องขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์และสนุกสนาน
ผมเชื่อว่าหนังทุกเรื่องไม่จำเป็นต้องยืดยาว ซับซ้อนแต่น่าเป็นเรื่องที่เก็บรายละเอียดเป็นแก่นสำคัญของเรื่องมากกว่า หนังไทยเรื่อง "ทอง" ของคุณฉลองภักดีวิจิตร เน้นรายละเอียดเพื่อสร้างความตื่นเต้นทุกระยะฟุตมากกว่าการเล่าเรื่อง เพราะเนื้อเรื่องของเรื่องมีแค่ ทองถูกปล้นกลางอากาศ คน 7 คนรับภาระหน้าที่ไปนำกลับ
"แฟนฉัน" เก็บรายละเอียดได้เป็นอย่างดี แม้กระทั่งนกน้อยสองตัวที่มาจับอยู่ข้างหน้าต่างห้องนอนของ เจี๊ยบเป็นประจำ คนเล่าเรื่องก็ยังบังคับให้เหลือนกเพียงตัวเดียว เพราะในตอนนั้นชีวิต เจี๊ยบ ขาด น้อยหน่า ไปแล้ว
ที่ต้องชมเชยเป็นพิเศษก็คือ การแสดงของเด็กๆ ทุกคนในเรื่องนี้ เป็นไปอย่างราบรื่นไม่มีอะไรมาเคอะเขินหรือดูเป็นการแสดงละครน้ำเน่า เจี๊ยบ แสดงถึงอารมณ์ภายในของเขาได้อย่างวิเศษ ต่อไปเขาก็อาจรับบทพระเอกหนุ่มเต็มตัวที่แสดงอารมณ์มากกว่าแอคชัน หนักไปทางดรามา ได้เป็นอย่างดีคนหนึ่ง
"แจค" ก็เล่นได้ดี บทของเขาเป็นบทที่เล่นยาก แต่ แจค เล่นได้ ไม่มีตอนหนึ่งตอนใดโอเวอร์หรือผิดพลาดโดยเฉพาะในฉากที่แจคกับพวกเล่นหนังกำลังภายในกันเป็นชุด
ผมชอบหนังไทยเป็นบางเรื่อง หากลำดับกันแล้ว "แฟนฉัน" ก็คงเป็นแผ่น DVD อยู่ในคลังหนังคลาสสิค ในรถยนต์ผม ถัดจาก "มือปืนโลกพระจันทร์" และ "องค์บาก" ครับ
เรื่องโดย : จอสยาม
ภาพโดย : -
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2547
คอลัมน์ Online : ใส่สีใส่สัน
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/54285