สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
ฮิโรชิ โทดะ
ฮอนดา ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในประเทศไทย ด้วยความสำเร็จกว่า 40 ปี กับการสร้างรากฐาน ที่ต้องผ่านอุปสรรคอย่างโชกโชน สำหรับวันนี้ ฮอนดา กับผู้กุมบังเหียนคนล่าสุด ที่ถือว่าเป็นผู้หนึ่งที่อยู่กับ ฮอนดา มาหลายยุค "ฟอร์มูลา" สัมภาษณ์พิเศษ ฮิโรชิ โทดะ ประธาน บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด
ฟอร์มูลา : คุณเริ่มงานกับ ฮอนดา ตั้งแต่เมื่อไร ?
โทดะ : ทำงานตั้งแต่ปี 2516 ในแผนกส่งออก และต่อมาในปี 2531 ได้รับการแต่งตั้งในหน้าที่รองประธาน ฮอนดา แคนาดา ปี 2537 รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการฝ่ายขายภูมิภาคตะวันออกกลาง และแอฟริกา ประจำอยู่สำนักงานใหญ่ประเทศญี่ปุ่น และปี 2541 เป็นผู้จัดการทั่วไป ฮอนดา ออโทโมบิล ตะวันออกกลาง ประจำที่ดูไบ ต่อมาในปี 2545 ดำรงตำแหน่งเป็นประธาน ฮอนดา ออสเตรเลีย และในปี 2548 ได้รับการแต่งตั้งเป็น ประธาน บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด
ฟอร์มูลา : ตลาดรถยนต์ในเมืองไทยมีแนวโน้มไปในทิศทางใด ?
โทดะ : ก่อนที่ผมจะมารับตำแหน่ง มีโอกาสเดินทางมาประเทศไทยหลายครั้ง และได้รับข้อมูลต่างๆ ทำให้มองว่าตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตที่ต่อเนื่อง ซึ่งหากเปรียบเทียบกับประเทศออสเตรเลีย ซึ่งถือว่าใหญ่กว่าไทย แต่ถ้าเป็น ฮอนดา แล้ว ถือว่าเล็กกว่าเมืองไทยมาก
ตลาดรถยนต์ในเมืองไทย ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดว่าตลาดรวมน่าจะอยู่ที่ประมาณ 760,000 คัน หรือ เติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 8 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นว่าตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ มีการเติบโตสูง สาเหตุมาจากการเปิดตัวรถพิคอัพรุ่นใหม่ๆ จำนวนมาก และรถยนต์นั่งไม่มีสินค้ารุ่นใหม่รวมถึงราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้น
แต่สำหรับปีนี้ การเติบโตคงไม่เหมือนปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตลาดรถยนต์นั่งที่มีเจ้าตลาด คือ โตโยตา กับ ฮอนดา และที่ทราบกัน คือ โตโยตา จะมีสินค้าใหม่ออกมา เริ่มต้น ด้วย ยารีส และจะตามมาด้วย แคมรี ส่วน ฮอนดา เริ่มเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว คือ ซีวิค และ แจซซ์ ซีรีส์ รวมถึงยังมีรุ่นใหม่เปิดตัวอีก คาดว่าตลาดรถยนต์นั่งปีนี้ น่าจะอยู่ที่ประมาณกว่า 200,000 คัน
ฟอร์มูลา : ฮอนดา วางนโยบายและแผนงานปีนี้ไว้อย่างไร ?
โทดะ : แผนต้องการส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 71,000 คัน แต่ ฮอนดา ไม่ได้มองยอดจำหน่ายเพียงอย่างเดียว สิ่งที่ให้ความสำคัญอย่างมาก คือ ความพึงพอใจของลูกค้าเพราะการบรรลุเรื่องความพึงพอใจสูงสุด ในฐานะผู้ผลิต ต้องคำนึงเรื่องการผลิตอย่างมีคุณภาพ และในการส่งมอบรถให้ลูกค้า สิ่งสำคัญอีกส่วนหนึ่ง คือ ดีเลอร์ ที่จะให้ความสำคัญในการเพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่ไม่ได้มองการเพิ่มปริมาณเพียงอย่างเดียว แต่จะเน้นเรื่องการให้ความรู้แก่พนักงานในทุกส่วน
เช่น พนักงานต้อนรับ ช่าง รวมถึงพนักงานบริษัท ให้มีความรู้ และคุณภาพที่ดีขึ้น
ดีเลอร์ของเรามีอยู่ทั้งสิ้น 122 แห่ง ในปีนี้จะเพิ่มเป็น 132 แห่ง โดยการฝึกอบรมนั้น ฮอนดา ได้เปิดศูนย์ฝึกอบรมที่นิคมอุตสาหกรรมบางชัน ใช้เงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท ในปีที่แล้วทำการฝึกอบรมพนักงานไปกว่า 7,000 คน ปีนี้วางแผนขยายคอร์สการฝึกอบรมต่างๆ เพิ่มขึ้น อบรมจำนวนพนักงานได้มากขึ้น
สำหรับการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้ลูกค้า จะต้องหาวิธีที่จะเข้าไปในใจของลูกค้า หรือการติดต่อลูกค้าให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบดูแลลูกค้า สะดวก รวดเร็ว และถูกต้องที่สุด
ฟอร์มูลา : ฮอนดา มีกลยุทธ์อะไรที่จะสร้างยอดขายให้ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ?
โทดะ : การเพิ่มจำนวนตัวแทนจำหน่าย การอบรมพนักงาน ทำให้เกิดการขายที่มีคุณภาพ มีส่วนผลักดันเพื่อบรรลุเป้าหมายได้ ในฐานะผู้ผลิต รถยนต์รุ่นใหม่เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญ เช่น ปีนี้มี แจซซ์ ปีที่แล้วไมเนอร์เชนจ์ ซิที ซีเอกซ์ และซีวิค ใหม่ ตลาดใหญ่อยู่ที่รถยนต์นั่งขนาดเล็ก ซึ่ง ฮอนดา ก็มีรถในกลุ่มนี้อยู่แล้ว ทั้ง แจซซ์ และ ซิที ส่วนตลาดคอมแพคท์ ก็มี ซีวิค นั่นคือ ความพร้อมในเรื่องของผลิตภัณฑ์ที่จะสร้างยอดขาย นอกเหนือจากนี้ยังมี ซีอาร์-วี/ออดิสซีย์ และ แอคคอร์ด ซึ่งเป็นรถขนาดใหญ่ และสะท้อนความเป็น ฮอนดา ก็จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งอีกส่วนหนึ่ง
ฟอร์มูลา : คุณคิดว่า ฮอนดา มีสินค้าครบไลน์หรือยัง ?
โทดะ : ตลาดเมืองไทยถูกยึดครองโดยรถพิคอัพ โดยปีที่แล้วครองสัดส่วนตลาดเกือบ 70 % ซึ่งหาก ฮอนดา สามารถผลิตรถพิคอัพได้ ก็จะสามารถสร้างธุรกิจให้เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน แต่ ฮอนดา ไม่ชำนาญเรื่องพิคอัพ แต่มีความชำนาญเรื่องของรถยนต์นั่งมากกว่า
ดังจะเห็นได้จากการที่ ฮอนดา แนะนำ แจซซ์ ในปี 2546 ซึ่งหากมองว่าขณะนั้นรถยนต์ขนาดเล็กที่มีลักษณะเป็นซัพคอมแพคท์ยังไม่มีในตลาด การแนะนำครั้งนี้ถือว่าเป็นผู้เปิดตลาดใหม่ของรถกลุ่มนี้ซึ่งเป็นนโยบายของ ฮอนดา อยู่แล้ว
สำหรับรถ อีโคคาร์ ซึ่งได้มีการพูดคุยกันมาระยะหนึ่ง ฮอนดา มองว่าจุดนี้ต้องการมีส่วนสร้างสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นในเมืองไทย อีกอย่างหนึ่งรัฐบาลมีเป้าหมายอยากให้การผลิตรถยนต์ในเมืองไทยทะลุล้านคัน แต่หากปราศจากโครงการ อีโคคาร์ เชื่อว่าเป็นไปได้ยากที่จะสามารถบรรลุเป้าหมาย
ฟอร์มูลา : หากโครงการ อีโคคาร์ เกิดขึ้น ฮอนดา มีความพร้อมมากน้อยเพียงใด ?
โทดะ : อีโค คาร์ จะต้องเป็นรถที่มีราคาไม่สูงจนเกินไป ซึ่งจะต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐบริษัทไม่สามารถทำได้หากปราศจากการสนับสนุนจากภาครัฐ เรื่องราคาที่พอซื้อหาได้ ความจริงแจซซ์/ซิที ก็เป็นราคาที่ซื้อได้ คือ มีราคาประมาณ 500,000 บาท แต่หากเป็น อีโคคาร์ ควรจะอยู่ที่ประมาณ 350,000 บาท
ฟอร์มูลา : ฮอนดา เคยประสบความสำเร็จในรถขนาดเล็ก ราคาประหยัด มาแล้ว คิดว่าจะมีอีกหรือไม่ ?
โทดะ : หากมองรถ ซีวิค 3 ประตูในขณะนั้น ถือว่าเป็นรถขนาดเล็ก แต่หากมองในปัจจุบันถือว่าเป็นรถใหญ่แล้ว ซึ่งในเรื่องของการพัฒนาผลิตภัณฑ์จะต้องเริ่มต้นจากภาพสเกท ถ้าทำให้กับประเทศใดประเทศหนึ่งจะไม่คุ้มค่า ถือเป็นเรื่องยากที่จะเปิดตัวรถเล็กเหมือนในอดีต แล้วจะให้จำหน่ายในราคาของ อีโคคาร์
ฟอร์มูลา : จะมีการปรับเปลี่ยนองค์กรอีกหรือไม่ ?
โทดะ : เป้าหมายสำคัญของ ฮอนดา คือ การสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า ในแง่ขององค์กร มีหลายหน่วยงานที่ติดต่อโดยตรงและทางอ้อมกับลูกค้า ดังนั้นสิ่งที่มุ่งเน้น คือ การให้ความรู้ การฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง ปรัชญาของ ฮอนดา ที่วางรากฐานไว้ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท คือ ให้ลูกค้าซื้ออย่างมีความสุข ฮอนดา ยินดีที่จะขาย และคุณภาพของวิศวกรรม การสร้างสรรค์และการผลิต
ฟอร์มูลา : ในส่วนของโชว์รูม และศูนย์บริการจะมีการขยายเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ ?
โทดะ : เราจะปรับปรุงระบบการติดต่อสื่อสารระหว่างลูกค้ากับเจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดมากขึ้น กำหนดวิธีการติดตามลูกค้าโดยใช้โทรศัพท์ เช่น ติดตามความคิดเห็นของลูกค้าในเรื่องต่างๆ เพื่อวัดคุณภาพของงานบริการ
นอกจากนี้จะจัดสัมมนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อให้พนักงานขายสามารถให้ข้อมูลได้อย่างถูกต้อง และมีคุณภาพ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งการขายอย่างมีคุณภาพ หมายถึง ไม่ขายสินค้าราคาถูก เน้นที่คุณภาพของผลิตภัณฑ์ พนักงานขาย ผ่านตัวแทนขายที่มีคุณภาพสู่ลูกค้า
ฟอร์มูลา : ปีนี้จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ ?
โทดะ : ถ้ามองย้อนหลังกว่า 10 ปีที่ผ่านมา บริษัทลงทุนไปแล้วกว่า 15,000 ล้านบาท และตามแผนงานของปีที่แล้ว ฮอนดา ลงทุน 2,800 ล้านบาท และปลายที่แล้วประกาศเรื่องการลงทุน วิจัย และพัฒนาอีก 2,400 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ และสามารถดำเนินงานได้ในปี 2550 สำหรับปีนี้ยังไม่สามารถแจ้งให้ทราบว่าจะมีแผนการลงทุนอย่างไรเพิ่มขึ้นอีก
ส่วนโรงงานที่ปัจจุบันมีกำลังการผลิตถึง 120,000 คัน การที่จะทำให้โรงงานมีประสิทธิภาพจะต้องมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในเรื่องอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งนี้จะเห็นได้จากรถที่ผลิตในโรงงานไม่ว่าจะเป็น ซิที แจซซ์ ซีวิค และ แอคคอร์ด ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น จึงจำเป็นต้องมีการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการแข่งขัน
ฟอร์มูลา : คุณคิดว่าปีนี้การแข่งขันในตลาดรถยนต์จะออกมาในรูปแบบใด ?
โทดะ : ตลาดรถยนต์นั่งในเมืองไทย โดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ โตโยตา กับ ฮอนดา ซึ่งการวางกลยุทธ์เรื่องต่างๆ คงต้องมองที่ โตโยตา เป็นหลัก และเมื่อมองที่ตัวสินค้าจะเห็นว่ามีการแข่งขันกันทุกเซกเมนท์ เช่นซิที กับ วีออส คงหนีไม่พ้นการแข่งขันที่จะต้องเข้มข้นมากขึ้น
ฟอร์มูลา : คุณวัดผลดีเลอร์อย่างไรในการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า ?
โทดะ : จะเห็นได้ว่าการรักษาความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้านั้น สิ่งสำคัญ คือ ดีเลอร์ เพราะเป็นส่วนที่ต้องติดต่อประสานงานลูกค้าอย่างใกล้ชิดมากที่สุด ซึ่งบริษัทในฐานะผู้ผลิตสินค้าจึงจำเป็นที่จะต้องผลักดันสินค้าที่มีคุณภาพถึงมือลูกค้าด้วยการสื่อสารกับดีเลอร์ ที่ผ่านมาเพื่อให้การติดต่อกับดีเลอร์รวดเร็วขึ้น ได้จัดตั้งชมรมตัวแทนจำหน่าย ฮอนดา ขึ้น เพื่อการประสานงาน ติดต่อกับดีเลอร์มีความรวดเร็วขึ้น
พร้อมกันนี้ ได้มีการตั้งเป้าหมายความพึงพอใจของลูกค้า ซึ่งจะมีดัชนีวัดความพึงพอใจ ซึ่งหากดีเลอร์รายใดต่ำกว่ามาตรฐานก็จะมีการปรึกษาหาแนวทางร่วมกัน เพื่อให้บรรลุดัชนีความพึงพอใจ ซึ่งมาตรฐานการวัดความพึงพอใจของ ฮอนดา จะเหมือนกันทั่วโลก
ฟอร์มูลา : การทำงานที่ผ่านมาผลงานที่คุณรู้สึกภูมิใจมากที่สดุคืออะไร ?
โทดะ : การทำงานในเมืองไทยถือว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ในเรื่องของความสำเร็จจะเป็นในเรื่องของนามธรรมเป็นส่วนใหญ่ ที่เห็นได้ชัดเจน คือ การปรับปรุงระบบการสื่อสารระหว่างบริษัทกับดีเลอร์ ที่เริ่มดีขึ้น เปรียบเสมือนกับเพิ่งเริ่มว่านเมล็ดพืชที่ยังไม่เห็นผล ซึ่งหากระบบการขาย ความพึงพอใจที่เพิ่มสูงขึ้น การสื่อสารที่ดีขึ้น นั่นถึงจะเกิดความภูมิใจ
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : จินดา ลัยนันท์
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2549
คอลัมน์ Online : สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52837