ร่มไม้ชายศาล
"โจรในเครื่องแบบ"
ขออนุญาตแฉลบเข้าหาเรื่องการมงการเมือง ซึ่งคนบ้านเราจำนวนไม่น้อยเห็นว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายน่าอ๊วกที่สุด เพราะพฤติกรรมในทางลบต่างๆ เกิดขึ้นตำหูตำตาตำใจประชาชนคนไทยตลอดเวลาและไม่เชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ คือ นักการเมืองของเราไม่เคยสังวรใดๆ ทั้งสิ้น พร้อมที่จะทำอะไรเห่ยๆออกมาได้ทั้งนั้น
ลองประมวลสาเหตุที่นักการเมืองไทยทำตัวน่าเอือมระอา ไม่สนใจความรู้สึกของประชาชนคนในชาติดูบ้างว่าเป็นเพราะอะไร เพื่อจะได้หาทางแก้ไขกันบ้าง
ซื้อเสียงได้ง่าย นี่คือ สาเหตุหลัก เมื่อนักการเมืองเขารู้ไต๋ชาวบ้านว่าขายเสียง การเข้าไปนั่งในสภาจึงไม่ต้องทำคุณงามความดีอะไรนักหนา เมื่อเข้าไปมีบทบาทก็ไม่ต้องระมัดระวังความประพฤติใดๆ ทั้งสิ้น ถือว่าตำแหน่งแห่งที่ทางการเมืองเขาซื้อมาด้วยเงินของเขา พวกเอ็งจะมาเรื่องมากไม่ได้หรอก ควบคุมความประพฤติของข้าไม่ได้หรอก นี่คือ เรื่องจริงที่เป็นมายาวนาน
ชาวบ้านไม่สนใจสิทธิของตน สิทธิทางการเมืองนั้น แท้ที่จริงเป็นสิทธิอันสำคัญอย่างยิ่งยวดชีวิตในความเป็นพลเมืองไทย โดยเฉพาะ คือ สิทธิคัดสรรเลือกตั้งคนดีเข้าไปเป็นตัวแทนในสภาต่างๆเมื่อคนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย กาบัตรลงคะแนนส่งเดช
ไม่เคยใช้หัวคิดหัวอ่านไตร่ตรองคุณภาพของนักการเมือง ไม่เคยคำนึงถึงผลร้ายตามมา จากการมอบชะตากรรมบ้านเมืองให้อยู่ในกำมือของนักการเมือง นำสิทธิอันสำคัญไปแลกเศษเงินจากนักการเมืองที่ซื้อเสียงไม่กี่สตางค์ เพื่อเอาไปกินเหล้าผลลัพธ์จึงปรากฏ ได้นักการเมืองที่สร้างความเจ็บปวดสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติตลอดมา
ท้องถิ่นนิยม ด้วยกลเม็ดในการหาเสียงซื้อเสียงของนักการเมืองส่วนใหญ่ ทำให้เกิดลัทธิ "ท้องถิ่นนิยม" ในหมู่ประชาชนในแต่ละจังหวัดขึ้นมา จึงเกิดนักการเมืองประเภทผูกขาดตลอดกาลเลือกตั้งเมื่อไหร่คนเหล่านั้นหน้าแหลมเข้าไปได้เสมอ
ชาวบ้านไม่สนใจแม้แต่น้อยว่า นักการเมืองเหล่านี้ทำตัวดีเลวอย่างไรในตำแหน่งหน้าที่ ชนิดที่คนทั้งประเทศส่ายหน้าร้องยี้แล้วยี้อีก ท้องถิ่นก็ยังเลือกเข้าไปทุกวาระ ไอ้หมอนั่นม่องเท่งจากโลกนี้ไปก็ยังอุตส่าห์เลือกวงษาคณาญาติ ไม่ยอมปลดแอกออกจากบ่า เมื่อนักการเมืองผูกขาดแก่พรรษาวนเวียนเป็นนักการเมืองจนเขี้ยวลากดิน จึงออกฤทธิ์ออกเดชไม่ขาด เป็นรัฐมนตรีแบบซ้ำซากก็มาจากนักการเมืองท้องถิ่นนิยมนี่เอง
ในโอกาสที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญดังที่เป็นข่าว ไม่ว่าจะแก้ในรัฐบาลชุดนี้หรือชุดต่อไป เอายังงี้ดีไหมครับ พวกเรามาเรียกร้องให้เขากำหนดลงไปเป็นประเด็นสำคัญ เพื่อกำจัดนักการเมืองผูกขาดนักการเมืองเขี้ยวลากดินในบ้านเราเสียที นั่นคือ
การเมืองทุกระดับทุกตำแหน่ง ให้เป็นได้คนละไม่เกินสองสมัย โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้นแม้กระทั่งการเป็นนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี ในชีวิตหนึ่งเป็นได้จะสั้นหรือยาวก็ตามแต่ ไม่เกินสองหน
ถ้าทำได้จริงๆ จะลดปัญหาที่เกิดขึ้นกับบ้านกับเมือง อันสืบเนื่องมาจากนักการเมืองประเภทผูกขาดที่อาละวาดออกลายมาเล้ย จนคนไทยเซ็งแล้วเซ็งอีก เห็นหน้าอยากอ๊วกแตกอ๊วกแตนลงไปได้อย่างชะงัดก็แล้วกัน
จริงอยู่พวกประดานี้ต้องขนเอาลูกเมียญาติพี่น้องเข้าไปนั่งแทน แต่ยังดีกว่าที่ผ่านมา พอประกาศแต่งตั้งรัฐบาลคราใด เห็นชื่อรัฐมนตรี อ้าว ไอ้หน้าเดิมๆ ชื่อเดิมๆ มาอีกแล้ว
เขาไม่ได้มี 3 หัว 6 แขน หรือเก่งกาจวิเศษวิโสอะไรนักหรอกครับ แต่อาศัยจากเป็น "นักการเมืองท้องถิ่นนิยม" หรือผูกขาดนี่เอง หากรัฐธรรมนูญติดเบรคไว้ ไม่ให้เป็น "นักการเมืองซ้ำซาก" เกิน 2 สมัยจะติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม ปัญหาเรื้อรังสร้างความหาวเรอให้แก่คนไทยมาช้านาน จะทุเลาบรรเทาเบาบางลงไปได้อักโข เชื่อเถอะ ลองดูเถอะโยม
งานนี้ประชาชนต้องเรียกร้องอย่างแรง ต้องกัดติด ถือเป็นวาระแห่งชาติ หรือบูรณาการ (ฮา...แปลเอาเอง) อะไรทำนองนั้น เพราะนักการเมืองประเภทพรมขาดหินอ่อนเป็นร่องลึกเวลาเขาเดินผ่าน จะต้องโดดออกมาขวาง อย่างสุดฤทธิ์ ไม่ผลักไม่ดันจริงๆ สำเร็จยากก็แล้วกัน อ้อ ขอฝากท่านหลวงตามหาบัว และท่านพลตรีมหาจำลองด้วยงานนี้
แต่เรื่องราวที่เจอยอมรับว่ามึน เข้าตำรา "ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา" ยังไงยังงั้น การรักษาชีวิตรักษาสุขภาพรักษาสิ่งแวดล้อมความรับผิดชอบต่อผู้อื่นต่อสังคม ผู้ใช้รถจำนวนไม่น้อยทำตัวเป็นพวกปัญญานิ่มให้เราเห็นทุกวัน น่าเบื่อมั่กมากครับ
ตานี้มาว่ากันด้วยเรื่องของคดีความอย่างเคย งวดนี้เป็นเรื่องที่ชาวบ้านชนชั้นรากหญ้าเจอบ่อยเซ็งกันบ่อย เจอเรื่องอะไรต้องตามไปดู
วันนั้น ซึ่งเป็นวันซวยของทุกฝ่าย แต่ใครจะซวยเยอะกว่ากันเดี๋ยวรู้ "นายไม่หน่าย" เป็นหนุ่มอยู่ในละแวกชานกรุง ความซวยมาเยือนเมื่อเจอตำรวจสองนายซึ่งเป็นสายตรวจ ขี่รถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันมาแล้วออกคำสั่งกับ นายไม่หน่าย เสียงดังฟังชัด
"หยุด...เจ้าหน้าที่มีเหตุต้องทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ขอตรวจค้นเดี๋ยวนี้" ว่าเข้าไปนั่น
ชาวบ้านตาดำๆ อย่าง นายไม่หน่าย ว่าโดนอีกแล้ว เมื่อหยุดอยู่กับที่ ผู้หมู่ 2 แง่ง ชื่อ ประเสริฐ ซึ่งเป็นพลขับลงจากรถ เข้าตรวจค้นร่างกาย นายไม่หน่าย อยู่พักหนึ่ง ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย โดยเฉพาะคือ ยาบ้าตามที่หมายมั่นปั้นมือ
ตำรวจเริ่มทำตัวเป็นโจรในเครื่องแบบ ไม่ยอมปล่อย นายไม่หน่าย บังคับให้นั่งรถมอเตอร์ไซค์อยู่ตรงกลางตำรวจขนาบหน้าหลัง พาไปใต้สะพานแห่งหนึ่งห่างจากจุดเดิม 400 เมตร เพื่อรีดไถรากหญ้า
ยังดีที่ นายไม่หน่าย เป็นคนในละแวกนั้น จึงมีพ่อและคนรู้จักเข้ามาแจม ผู้เป็นพ่อตามไปที่ใต้สะพานบอกว่า นายไม่หน่าย เป็นลูกชายของผม ตำรวจที่ชื่อประเสริฐ รับหน้าเสื่อเจรจาการค้า บอกว่าเจอของ ถ้าขึ้นศาลเสีย 1 หมื่น จ่ายตรงนี้ 5 พัน จะว่ายังไง
พ่อของนายไม่หน่าย รู้สึกหน่ายเสียยิ่งกว่าอะไร เมื่อเป็นคนระดับล่างไม่มีกึ๋นต่อรอง ประกอบกับฐานะยากจน จึงไปขอยืมเงินเจ๊คนรู้จัก เจ๊บอกว่าไม่มีให้หรอก แต่จะช่วยต่อรองตำรวจ ลงท้ายตำรวจโจรยอมลดให้เหลือ 4 พัน พ่อของนายไม่หน่ายต้องตะกายไปขอยืมเงินจากคนอื่นจนได้มา แล้วมอบให้ตำรวจด้วยตนเอง
แน่นอน ชาวบ้านเจ็บปวดเจ็บช้ำจนทนไม่ไหว จึงเอาเรื่อง ร้องไปที่ผู้บังคับบัญชา ตำรวจทั้งสองเลยตกที่นั่งซวยมากกว่านายไม่หน่ายซะอีก ถูกดำเนินคดี โดนอัยการฟ้อง ตกเป็นจำเลย ข้อหาใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบรีดเอาเงินชาวบ้าน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 โทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึงตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต โทษปรับอีกต่างหาก 2 พันถึง 4 หมื่นบาท
ตำรวจซึ่งตกเป็นจำเลยพากันจ้างทนายสู้คดี อ้างว่าตรวจค้นเจอยาบ้าแต่นายไม่หน่ายโยนลงน้ำเสียก่อนจึงควบคุมตัวไว้เพื่อส่งโรงพัก ไม่ได้รีดไถ เขาถูกใส่ร้าย ชาวบ้านหัวหมอกลั่นแกล้งผู้บริสุทธิ์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่าพยานหลักฐานพอเอาผิดได้ จึงตัดสินลงโทษอย่างหนัก จำคุกคนละ 5 ปี
จำเลยพากันยื่นอุทธรณ์ แต่หน้าเหี่ยวตามเคย
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน
เรื่องน่าจะจบ แต่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่เคยทำคดีนี้ใจดี เซ็นอนุญาตให้จำเลยเล่นเกมยาว ยื่นฎีกาเพื่อลุ้นเป็นด่านสุดท้าย อ้างว่าโดนใส่ร้าย ยังไม่มีการคุมตัวนายไม่หน่ายผู้ต้องหา จึงเอาผิดข้อหาเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบไม่ได้
สำหรับตำรวจซึ่งนั่งซ้อนท้ายเป็นสายสืบบัดดีของผู้หมู่ประเสริฐ ชื่อว่า "ผู้หมู่ดีเลิศ" นั้นตั้งความหวังไว้ว่าจะรอด เพราะไปด้วยก็จริง แต่เป็นมวย พยายามอยู่เฉยๆ ไม่เอ่ยวจีใดๆ ปล่อยให้ผู้หมู่ประเสริฐนำแสดงตลอดรายการ จึงโต้แย้งว่าไม่ได้ทำผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาต้องออกแรงเข็นคดีนี้อีกคดีหนึ่งทั้งๆ ที่คดีล้นมือ แล้วชี้ขาดออกมาว่า
งานนี้ตำรวจทั้งสองซวย มีชาวบ้านยืนยันเป็นพยานเบิกความสอดคล้องต้องกันถึง 4 ปาก จำเลยเองซึ่งอ้างว่านายไม่หน่ายโยนห่อยาบ้าลงน้ำ แต่พอตอบคำถามโจทก์บอกว่าของที่โยนลงไปไม่ทราบว่าเป็นอะไรเพราะไม่เห็นและไม่ได้ลงไปเก็บ ศาลจึงฟันธงว่านายไม่หน่ายไม่ได้โยนสิ่งผิดกฎหมายลงในคลอง เจือสมกับคำของนายตำรวจที่โรงพักระบุว่าได้รับแจ้งทางวิทยุจากผู้หมู่ ได้ตรวจค้นผู้ต้องสงสัยแล้วไม่พบสิ่งผิดกฎหมายจึงปล่อยตัวไป ทั้งๆ ที่ทะลึ่งไม่ปล่อย
เมื่อเป็นยังงี้แล้วจำเลยต้องปล่อยตัวนายไม่หน่าย เมื่อไม่ปล่อยควบคุมตัวไว้ เอามานั่งซ้อนรถมอเตอร์ไซค์คันเดียวกัน ขนาบหน้าหลัง เจตนาควบคุมไม่ให้หลบหนี พาไปใต้สะพานเพื่อรีดไถ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ข้อแก้ตัวต่างๆ เช่นผิดใจกับนายตำรวจที่โรงพักเดียวกัน จึงมาเบิกความทับถม ศาลฎีกาบอกว่าฟังไม่ขึ้น
สำหรับข้ออ้างเพื่อเด้งเชือกของผู้หมู่ดีเลิศ ที่บอกว่าไม่ได้ร่วมทำผิดก็ฟังไม่ขึ้น เพราะอยู่ด้วยกันซ้อนท้ายรถไปด้วยกันตลอดงานตั้งแต่เริ่มตรวจค้นไปจนถึงรับเงินที่รีดไถแล้วขี่รถมอเตอร์ไซค์เอ้อระเหยไปด้วยกัน คิดว่าได้ลาภลอยหวานคอแร้ง ศาลฎีกาแจงว่าเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิด
ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนให้ติดตะรางคนละ 5 ปี
หยิบเรื่องนี้มาเขียนเพื่อให้เห็นว่าบ้านเมืองเรายังมีเรื่องทำนองนี้ไม่ขาด ที่แน่ๆ คือมีการเอาผิดตำรวจโจรไม่กี่ราย นอกนั้นลอยนวล รากหญ้ารากฝอยที่เป็นชาวบ้านจึงชอกช้ำใจอยู่ไม่วาย
ทางด้านศาลก็มือเบาไปนิดหนึ่ง ลงโทษขั้นต่ำสุดแค่ 5 ปี เท่านั้นเอง อีกไม่นานคนทำผิดก็ออกมาโต๋เต๋ในสังคม
เป็นไปได้ว่าศาลท่านไม่มั่นใจ 1,000 % เนื่องจากพยานเป็นชาวบ้านตาดำๆ ไม่มีภาพถ่ายไม่มีวีดีโอไม่มีใบเสร็จอย่างที่นักการเมืองชอบอ้าง เกรงว่าตำรวจจะเป็นแพะ จึงยั้งมือไม่หวดให้หนักตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ถึงจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต
สำหรับชาวบ้านที่เป็นนักบิดขี่ 2 ล้อติดเครื่อง คงตกที่นั่งเป็นชนชั้น 2 ในบ้านนี้เมืองนี้ไปอีกนานเท่านาน ในเมื่อตำรวจเห็นเป็นภักษาหาร ดังปรากฏในทุกท้องที่ตลอดมา
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 166/2547
เรื่องโดย : "จอมยุทธ"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2549
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52800