โค้งอันตราย
ตลาดยังรุ่ง
จบปี 2548 กันไปอย่างคึกคัก ที่ยอดการขายรถยนต์เติบโตสมความคาดหมาย จากที่ประเมินกันตอนต้นปี ว่า ยอดการขายปีที่ผ่านมา จะอยู่ที่ราว 680,000 คัน แถมช่วงกลางปี ยังเกิดภาวะชะงักงัน มีบางค่ายออกมาปรับลดตัวเลขลงอีก ทำเอางงกันไปหมด
สรุปว่า ตลอดทั้งปี ยอดการขายก็ยังคงเติบโตตามประมาณการ แถมเยอะกว่าด้วย เพราะขายกันได้ถึง 7 หมื่น 3 พันล้าน...อุ๊ย ขอโทษครับ 7 แสนคัน 703,405 คัน โตถึง 12.4 % เชียว
แต่เป็นความเจริญรุ่งเรืองของด้านรถกระบะ แทบจะทุกประเภท ที่อัตราการเจริญเติบโตโดยรวม โตมากกว่ารถยนต์นั่ง หรือพูดอีกอย่างก็ต้องว่า ราคาน้ำมันเบนซินที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ทำให้ยอดการขายรถยนต์นั่งเติบโตลดลง แต่รถที่ใช้น้ำมันดีเซล กลับมียอดการขายเติบโตเพิ่มขึ้น
งงดีนะครับ
ย่างเข้าต้นปี ก็เช่นเคยว่าจะต้องมีผู้ออกมาประมาณยอดการขายอีกเช่นเดิม ว่าปี 2549 นี้ จะขายกันได้สักเท่าไร
คงผ่านหน้าผ่านตากันทางหนังสือพิมพ์ไปบ้างแล้ว แต่โหรหลังสถานทูตจีน แกบอกว่า ยังไงก็โตขึ้นอีกราว 10 % เท่านั้นแหละ จาก 7 แสน ก็จะเป็นราว 7 แสน 7 คงยากที่จะดันขึ้นไปให้ถึง 8 แสน เพราะมีตัวต้านเยอะ
ลำพังแค่โรงงานประกอบเก่าที่มีอยู่ในบ้านเราตอนนี้ ยังไม่สามารถปรับปรุงการผลิต ให้สามารถผลิตได้เต็มประสิทธิภาพของตัวโรงงานเองเลย นี่นับเป็นเรื่องแปลกแต่จริงนะครับ ยังไม่มีใครสามารถหาคำตอบนี้ได้เลยสักคน แถมข่าวเรื่องโรงงานที่จะสร้างใหม่ ก็ต้องคอยอีกอย่างน้อย 1 ปี กว่าจะเริ่มผลิตได้
ตัวต้านเรื่องแรก ก็อยู่ที่กำลังการผลิตของแต่ละค่าย ที่หันมาเอาดีทางส่งออกไปต่างประเทศกันยกใหญ่
อ้อ แต่ไม่ใช่ประกอบรถเสร็จแล้ว ส่งออกตัวรถไปประกอบเครื่องดับเพลิงที่ออสเตรเลีย แล้วส่งกลับมาส่งมอบให้ กทม. หรอกนะครับ เรื่องนี้มันซับซ้อน
เจ้าตัวต้านตัวนี้ มันโยงใยไปถึงชิ้นส่วนที่จะใช้ในการประกอบรถแต่ละคัน โรงงานขนาดเล็กที่ส่งชิ้นส่วนป้อนโรงงานขนาดกลาง เพื่อเอาไปประกอบเป็นชิ้น ส่วนในแต่ละส่วน
อธิบายอย่างง่ายๆ ว่าเก้าอี้ในรถยนต์ของท่าน 1 ตัว ยกเอาคู่หน้ามาดูว่า ประกอบด้วยอะไรบ้าง ถ้าเราถอดผ้าคลุมเบาะออก บางยี่ห้อ ก็จะเจอฟองน้ำขึ้นรูป บางยี่ห้อก็จะเจอโครงสปริง
มองลึกลงไปอีก ก็ต้องเป็นรางเลื่อน ปุ่มบังคับรางเลื่อน ถ้าเป็นที่นั่งด้านซ้าย ปุ่มก็จะอยู่ด้านซ้าย ถ้าเป็นที่นั่งขวา ปุ่มก็จะอยู่ขวา
ลองนึกแบบเดาเอาก็ได้ว่า ชิ้นส่วนในเก้าอี้ 1 ตัวน่ะ นับเป็นกี่ชิ้น แล้วต้องเกี่ยวข้องกับโรงงานขนาดเล็กกี่โรง
คร่าวๆ ว่า ในรถยนต์ 1 คัน มีชิ้นส่วนที่นับเป็นจำนวนชิ้นแล้ว จะตกอยู่ในราว 2 หมื่นชิ้น ชิ้นที่ว่านี่นอทแต่ละตัวก็นับเป็นแต่ละตัวนะครับ
แล้วทีนี้กลับมาที่เก้าอี้ ว่าโรงงานขนาดเล็กที่เกี่ยวข้องน่ะ เงินทุนไม่ได้มากมาย การจะสั่งของที่ทำอยู่เดือนละ 2 หมื่นชิ้น ให้เพิ่มเป็น 2 เท่า 4 หมื่นชิ้น ลองคิดเอาง่ายๆ แล้วกัน ว่าจะโกลาหลขนาดไหนต้องใช้เม็ดเงินมหาศาลแค่ไหน
แค่พี่เล่นส่งออกกันทุกเจ้า ประกอบรถกันเกินล้านคันแล้ว โรงงานเล็กๆ ที่บอกว่าจะส่งเสริม เอสเอมอีจะส่งเสริมให้เป็น คลัสเตอร์ น่ะ กระผมยังเห็นมันลอยอยู่ในอากาศเลยครับ
แรงต้านลำดับถัดไป ย่อมแน่นอนว่าต้องขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ที่ตอนนี้โดดขึ้นไปถึง 60เหรียญ/บาร์เรลแล้ว แถมประเทศยักษ์ใหญ่อย่าง จีน ก็จะบริโภคน้ำมันเพิ่มมากขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้ราคาไม่ลดลงอย่างรวดเร็วแน่นอน
และย่อมแน่นอนว่า คนไทยตาดำ ดำ ก็ยังต้องก้มหน้าก้มตา เติมน้ำมันราคาแพงกันต่อไป
ก็เล่นขึ้นราคากันทีละ 40 สตางค์ พอราคาน้ำมันดิบลดลง พี่ก็บอกว่าค่าการตลาดยังต่ำอยู่ ยังไม่ลดราคาละ แต่พอราคาน้ำมันดิบขึ้นไปอีกนิด พี่ก็ซัดเสียอีก 40 สตางค์ทันที
ถอนขนห่านง่ายกว่ากันเยอะ
ด้านของกระทรวงพาณิชย์ ก็ยังมองโลกในแง่ดี ว่าการส่งออกของประเทศ จะสามารถส่งออกมีมูลค่าประมาณ 130,288 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ร้อยละ 17.5 อันนี้มองในภาพรวมนะ และยังมองว่าการนำเข้าน้ำมันดิบของไทย จะลดลงร้อยละ 10 จากปี 2548 เป็นนำเข้าไม่เกิน 765,000 บาร์เรล/วัน
นี่ก็คงมองโลกในแง่ดีเอามากๆ เพราะแค่ขายรถกันเดือนละเกือบ 8 หมื่นคัน ปริมาณประชากรบนท้องถนนคับคั่งแบบนี้ ท่านว่าเราจะใช้น้ำมันกันลดลง เป็นงงไหมครับ
ขนาดแกสโซฮอล ตอนนี้ก็ยังมีปัญหาคาราคาซัง เรื่องโรงงานที่ยังสร้างกันไม่เสร็จ ผลผลิตก็ยังไม่คงที่ไม่รู้ว่าภายในปีนี้จะแก้ปัญหากันได้จบหรือเปล่า แถมมีย้ำอยู่ตลอดเวลาว่าภายในปี 2551 จะยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 95 แล้วนะ อีกหน่อยทุกคนต้องใช้แกสโซฮอลแล้วนะ
อ้อ อีกหน่อยก็ต้องสั่งนำเข้าแอธานอล ด้วยแล้วนะ เพราะพอคนใช้เยอะ ก็จะต้องขาดแคลนเป็นเรื่องธรรมชาติ
แถมก็ต้องไม่ลืมว่าบ้านเรายังไม่มีโรงงานถลุงเหล็ก การนำเข้าเหล็กของเราในปี 2549 ย่อมจะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะการนำเข้าเหล็กจากจีนที่มีราคาต่ำ และเหล็กบางชนิดที่ไทยยังผลิตไม่ได้ เช่น เหล็กที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นต้น
แค่เหล็กรีดร้อน เหล็กรีดเย็น 2 อย่างนี่ เรายังไม่เข้าที่เข้าทางเลย อย่างเพิ่งฝันไกลไปเลยนะครับ
เหล็กทนแรงดึงสูง หน้าตาเป็นยังไงหรือครับ พวกผมเห็นกันแค่เหล็กข้ออ้อย เหล็กฉาก เหล็กรูปตัวซีรูปตัวยู แบบที่เขาใช้ในงานก่อสร้างแค่นั้นเอง
ตัวต้านอีกลำดับหนึ่ง อันนี้ยังไม่รู้ว่าจะออกหัวออกก้อยยังไง เพราะสหรัฐอเมริกา เพิ่งเปลี่ยนตัวประธานธนาคารกลางไปหมาดๆ
มีความเป็นไปได้ที่ นายธนาคารคนใหม่นี้จะปรับอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อลดแรงกดดันที่มีต่อภาวะเงินเฟ้อ และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดโดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาเอง ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการและนักลงทุน รวมถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งเป็นลูกโซ่โยงกลับมาถึงบ้านเราเช่นกัน
ยังไงก็ต้องรอดูนโยบายก่อน อย่าเพิ่งผลีผลามด้านการเงินไปเชียว
แต่สิ่งที่ยังเป็นเรื่องใหม่ ยังไม่ฮือฮาโด่งดัง เพราะรายละเอียดยังไม่คลอด คือ การถูกตัดสิทธิ จีเอสพีจากสหภาพยุโรป ในสินค้ากลุ่มยานพาหนะและอุปกรณ์ เป็นครั้งแรกของไทย อาจทำให้ไทยเสียเปรียบคู่แข่งขันจากประเทศอื่น
ถัดมาอีกเรื่อง เป็นการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะอยู่ที่ 3.2 % ในปี 2549 เท่ากับประมาณการ ปี 2548 ของธนาคารโลก อาจชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ เนื่องจากประเทศสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา และจีน อาจมีเศรษฐกิจชะลอตัวลง
แต่ประมาณการของไทยเราลองสังเกตดูตามหนังสือพิมพ์ธุรกิจรายวันดูนะครับ ตัวเลขของเราหรูกว่านั้นเยอะ ผมเองยังไม่กล้าพูดเลย...อายครับ
นั่นคือ รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจปี 2549 ภาคประชาชน อ่านเอาเรื่อง ดูเอาขำขำก็พอนะครับ อยู่อย่างในหลวงท่านว่าด้วย เศรษฐกิจพอเพียง คือ หลักการที่ง่ายสุดของพวกเราแล้วละครับ
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52755