ร่มไม้ชายศาล
"ทุบ 9 คันรวด !"
การมีรถใช้เป็นเรื่องจำเป็น เพราะระบบขนส่งมวลชนของเรายังไม่สามารถเป็นที่พึ่งของมวลชนทั้งหมดแม้จะมีรถลอยฟ้า มีรถใต้ดินบ้างแค่หรอมแหรมก็ตามที เพราะชาวบ้านจำนวนไม่น้อยอยู่ในฐานะที่พอจะเบือนหน้าหนีรถเมล์รถสมก. ได้ แล้วหันไปพึ่งรถยนต์ส่วนตัว
ครับการมีรถส่วนตัวในเมืองใหญ่ หรือในย่านการค้า ปัญหาอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น คือ สถานที่เก็บรถถ้าบ้านช่องห้องหอไม่มีเนื้อที่พอสำหรับจอดรถให้มิดชิด หรือไม่ได้เป็นนักการเมืองซึ่งมีบ้านช่องใหญ่โตแทบทั้งนั้น
รถราคาหลายสตางค์ หรือหลายแสนจนถึงระดับล้าน ต้องจอดไว้ที่ถนนหน้าบ้าน ด้วยความจำใจ เจ้าของรถรู้สึกเซ็งในอารมณ์เต็มประดา สิ่งที่ทำให้เซ็งหนักเข้าไปในขณะนี้ คือ โดนพวกขาโจ๋โรคจิตเล่นงานด้วยการทุบรถ ทั้งพวกที่ทุบให้มันพังเล่น และทุบเพื่อหาทางขโมยข้าวของภายในรถ เจ้าของโผล่ออกมาจากบ้านหรือตึกแถวเห็นแล้วเข่าอ่อน
ยังโชคดีที่ผมไม่ได้ลิ้มรสชาติอันไม่พึงปรารถนาเช่นนั้น แต่พอจะนึกสภาพออกว่ามันเจ็บแสบ และเจ็บปวดอย่างยิ่ง เมื่อข้าวของที่เราลงทุนซื้อหามาด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน มีอันต้องเสียหายต้องควักเงินซ่อม (ถ้าไม่ทำประกันครอบคลุมไว้) อีกต่างหาก
เรามาดูคดีที่เกิดขึ้นจริงๆ สักเคสหนึ่งเมื่อเจ้าของรถจำนวน 9 คันรวด เจอเข้าพร้อมๆ กัน โจรจะรับกรรมยังไงต้องตามไปดู
การทำลายรถครั้งมโหฬารรายนี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่ข้างถนน แต่เกิดขึ้นกับรถซึ่งจอดอยู่ที่อาคารลานจอดรถแห่งหนึ่งในกทม. ตั้งแต่ชั้น 4 ถึงชั้น 8 เบ็ดเสร็จรวม 9 คัน กระจกรถโดนทุบด้วยท่อนเหล็กจนแตก ประตูรถบุบเสียหาย แล้วโจรมันก็เข้าไปค้นหาสิ่งของมีค่าเพื่อโจรกรรมชนิดกราวรูด
ยังดีที่ตำรวจตะครุบตัวโจรรายนี้มาได้ ชื่อจริงฟังแล้วรัฐมนตรีในขณะนี้ท่านหนึ่งสะดุ้ง จึงขอแปลงเสียใหม่ให้ชื่อว่า "นายขยัน" ทั้ง ๆ ที่มันไม่ขยัน วันเกิดเหตุควงท่อนเหล็กเหมาะมือ ไปทุบรถชาวบ้านเล่นซะ 9 คันรวด
แต่ไม่ได้อะไรไปมากนัก เพราะเจ้าของรถแต่ละรายระแวงระวังอยู่แล้ว ไม่ทิ้งของมีค่าไว้ในรถ
เรื่องถึงอัยการแล้วเลี้ยวซ้ายไปที่ศาล นายขยัน โดนฟ้อง อัยการขอให้ลงโทษข้อหาลักทรัพย์และทำให้เสียทรัพย์แบบเรียงกระทง ตามจำนวนรถที่มันยำ
ดูๆ น่าจะไม่มีปัญหา เพราะ นายขยัน ให้การรับสารภาพผิดต่อศาล ดูท่าจะไม่ดิ้นรนอะไร
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ชี้ว่า นายขยัน มีความผิดหลายกรรมตามฟ้อง เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมข้อหาลักทรัพย์ และพยายามลักทรัพย์เป็นกรรมเดียวกับฐาน ทำให้เสียทรัพย์ ลงโทษฐานลักทรัพย์ 5 กระทง เพราะลักขโมยของไปได้ กระทงละ 3 ปี กับข้อหาพยายามลักทรัพย์ 4 กระทง เพราะยังเอาอะไรไปไม่ได้ กระทงละ 2 ปี
รวมแล้วลงโทษจำคุก 23 ปี รับลดกึ่ง เหลือจำคุก 11 ปี 6 เดือน ริบของกลาง ให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายที่ 5
นายขยัน อุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบา ได้ผลเหมือนกัน ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว ลดโทษลง ข้อหาลักทรัพย์จำคุกกระทงละ 2 ปี พยายามลักทรัพย์กระทงละ 1 ปี 4 เดือน รับลดกึ่งเหลือจำคุกทั้งสิ้น 7 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำตัดสินของศาลชั้นต้น
ไม่ธรรมดา ทำชั่วอยู่แท้ๆ แต่เกี่ยงงอนไม่อยากติดตะราง ดิ้นรนจนได้ด้วยการให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ท่านหนึ่งเซ็นอนุญาตให้ฎีกา ยกข้อกฎหมายมาอ้างว่าการกระทำของตนเกิดขึ้นในคราวเดียวกัน จึงเป็นความผิดกรรมเดียว ลงโทษได้ไม่มากอย่างที่ศาลล่างว่าไว้ ขอให้รอลงอาญา จะรีบกลับตัวเป็นคนดี ว่าเข้าไปนั่น
ศาลฎีกาเหล่ดูสำนวนคดีนี้แล้วชี้ขาดออกมาว่า
การที่ นายขยัน ใช้เหล็กทุบทำลายกระจกรถยนต์ถึง 9 คัน ทั้งยังได้ลักทรัพย์และพยายามลักทรัพย์ในรถยนต์ทั้ง 9 คันดังกล่าวด้วย แม้อาจจะเมาสุราขาดสติเพียงครั้งเดียว และทำผิดในคราวเดียวกันตามที่อ้างในฎีกา แต่นายขยันกระทำต่อรถยนต์ถึง 9 คัน ซึ่งเป็นของผู้เสียหายคนละคนกัน โดยทำความผิดทีละคัน และคนละเวลากัน แม้จะเป็นเวลาที่ต่อเนื่องใกล้ชิดกัน แต่การกระทำความผิดในรถยนต์แต่ละคันก็เป็นความผิดสำเร็จเด็ดขาดไปแล้ว จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามที่ได้กระทำต่อรถยนต์ทุกคัน ไม่ใช่กรรมเดียว
ข้อที่ นายขยัน ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้น เห็นว่า นายขยัน ทำผิดในเวลากลางวันแสกๆ ต่อรถยนต์ถึง 9 คัน ใช้เหล็กทุบทำลาย พฤติการณ์อุกอาจไม่ยำเกรงกฎหมายบ้านเมือง ควรลงโทษให้หนักเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่น
ที่อ้างว่าทำไปเพราะดื่มสุราจนเมาขาดสติ และประสาทหลอนนั้น นายขยันเคยเป็น มาก่อน จะต้องรู้ดีอยู่แล้วว่า เมื่อดื่มสุรามากจะทำให้ขาดสติประสาทหลอน นายขยัน ก็ไม่ควรที่จะดื่มสุราให้มาก แต่ยังคงดื่มมากทั้งที่รู้ว่าจะทำให้เมาขาดสติประสาทหลอน จะเป็นโทษและเป็นเหตุให้ทำผิดอีก จึงอ้างว่าขาดสติและประสาทหลอนมาแก้ตัวเพื่อขอให้ลงโทษสถานเบา และรอลงอาญาไม่ได้หรอก
ที่อ้างว่าตกงาน เมียมีรายได้คนเดียว ไม่พอกับค่าใช้จ่ายและหนี้สิน ครอบครัวกำลังเดือนร้อน ทำให้กลุ้มใจและเครียด จึงดื่มสุราและทำผิดไป แต่ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่าตำรวจจับได้พร้อมของกลางถุงผ้าใช้บรรจุทรัพย์ที่ลัก แสดงว่าเตรียมการมาก่อนเพื่อทำผิด มิได้ทำเพราะความยากจน จึงไม่สมควรที่จะลงโทษขั้นต่ำสุดและรอลงอาญา
ศาลฎีกาพิพากษายืน
ดูเอาเถอะ ทำเลวทำชั่วขนาดนั้น ยังหัวหมอจะไม่ยอมติดคุกแสดงว่าคนเรานั้นน้อยนักที่จะสำนึกผิดต่อการกระทำของตน และนั่นคือ การเห็นแก่ตัวอย่างชัดๆ
บรรดาที่เป็นข่าวตามสื่อทุกวันนี้ไม่ว่าชาวบ้าน ข้าราชการ นักการเมือง ที่จับได้ไล่ทันว่าทำผิดทำชั่วก็ล้วนแต่แก้ตัวและไม่ยอมที่จะรับผิดง่ายๆ ใช้วิชาศรีธนญชัยยันป้าย น่ารังเกียจชะมัด ท่านว่าไหม
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1281/2546
เรื่องโดย : "จอมยุทธ"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2549
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52739