ชีวิตคือความรื่นรมย์
นักคิด-นักเขียนรางวัลเกียรติคุณ 100 ปี ศรีบูรพา
ท่านผู้อ่านคงทราบว่า ในปี 2548 มีนักเขียนคนสำคัญของไทย 4 คนที่มีอายุครบชาตกาล 100 ปี ได้แก่ กุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือ (ศรีบูรพา เกิด 31 มีนาคม 2448) มจ. อากาศดำเกิง รพีพัฒน์ มล. บุปผา (กุญชร) นิมมานเหมินท์ นามปากกา (ดอกไม้สด ) และ ก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา นามปากกา (ไม้เมืองเดิม) ซึ่งทั้ง 4 คน ล้วนมีผลงานที่โด่งดัง เป็นที่รู้จัก และคนไทยต่างยกย่องว่ามีฝีมือเป็นเอก
เพราะแต่ละท่านมีผลงานชิ้นเอก (ที่ฝรั่งเรียกว่ามาสเตอร์พีศ) คนละหลายเรื่อง ไม่แพ้กัน
ในจำนวนนี้ กุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือ (ศรีบูรพา) เป็นผู้ที่มีผลงานหลากหลายด้าน ทั้งเป็นนักเขียนนักหนังสือพิมพ์ กวี นักต่อสู้เพื่อสิทธิ-เสรีภาพ-มนุษยภาพ-สันติภาพ ตลอดจนเป็นนักศึกษาธรรม และมีผลงานที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นไปในสังคมมากกว่าทุกท่านก็ว่าได้ สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย และมูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป จึงร่วมกันทำเรื่องเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการ เสนอไปที่องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ (ยูเนสโก) และเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2546 ยูเนสโก ได้ประกาศให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ควรแก่การฉลองเกียรติคุณในวาระครบ 100 ปีชาตกาล ในวันที่ 31 มีนาคม 2548 เป็นต้นมา เฉกเช่นบุคคลสำคัญต่างๆ ทั่วโลก และเช่นเดียวกับบุคคลสำคัญของไทย 16 ท่านที่ ยูเนสโก ประกาศยกย่อง และให้มีการฉลอง
ในวาระครบ 50 ปี (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 50 ปีเมื่อ 9 มิถุนายน 2539) หรือครบพระราชสมภพ หรือ วันประสูติ หรือ ชาตกาล 100 ปี 150 ปี หรือ 200 ปี (ดังที่ผู้เขียนได้นำเสนอในฉบับมกราคม 2547 มาแล้ว)
ในการจัดงานนี้ นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งรองนายกรัฐมนตรี จาตุรนต์ ฉายแสง ให้เป็นประธานอำนวยการจัดงาน คณะกรรมการทั้งองค์กร และบุคคลมากมายได้ร่วมจัดกิจกรรมตลอดปี ผู้เขียนในฐานะประธานมูลนิธิรพีพร เพื่อสวัสดิการนักเขียน และในฐานะผู้ทำการแทนประธานกองทุน ศรีบูรพา (สุวัฒน์ วรดิลก ซึ่งป่วย) ได้เข้าร่วมเป็นกรรมการมาแต่ต้น จึงได้ทราบว่า แม้งานจะผ่านเหตุการณ์มากมายเพียงใด ก็น่าชื่นใจที่มีการนำผลงานของ ศรีบูรพา มาเผยแพร่ให้ได้รับรู้กันกว้างขวางออกไปโดยเฉพาะในหมู่เยาวชนที่เป็นเป้าหมายที่คณะกรรมการต้องการให้ได้สืบสานความคิด และอุดมการณ์อันดีต่อไป
นับเป็นพระกรุณาธิคุณยิ่งที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีได้ทรงพระกรุณาเสด็จเป็นประธานเปิดงาน เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2548 ณ หอประชุม ศรีบูรพา (หอประชุมเล็กเดิม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปลี่ยนชื่อใหม่ในการฉลองครั้งนี้) หลังจากนั้นก็มีการจัดกิจกรรมทั้งสัมมนา-อภิปราย-แสดงละคร -อ่านบทกวี และบทประพันธ์บางเรื่องบางตอน-มีการตีพิมพ์ซ้ำผลงาน สารคดี-นวนิยาย-เรื่องสั้น-บทกวี ตลอดจนรวบรวมผลงานทั้งที่เคยรวมพิมพ์แล้ว เช่น (อุดมธรรม บทความทางศาสนา ในนามปากกา อุบาสก)และที่ยังไม่ได้รวมพิมพ์ เช่น บทความทางการเมืองที่ลงพิมพ์หนังสือพิมพ์ต่างๆ ในชุด (มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ ฯลฯ)
ที่ผู้เขียนต้องการจะบันทึกไว้ในตอนนี้ คือ การมอบรางวัลแก่บุคคลที่มีวัตรปฏิบัติตามแนวทาง และการดำรงชีวิตอย่าง ศรีบูรพา (ซึ่งกองทุน ศรีบูรพา เคยพิจารณามอบรางวัลรายปีมาแล้ว ถึง 17คน) แต่ในปีนี้ เป็นปีพิเศษ เราจึงได้ตั้งโครงการ "รางวัลเกียรติคุณ 100 ปี ศรีบูรพา" โดยไม่เกี่ยวกับกองทุน ศรีบูรพา แต่ประการใด
รางวัลนี้ คณะอนุกรรมการซึ่ง รศ. นรนิติ เศรษฐบุตร เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ฯ เป็นประธานได้เชิญผู้ได้รับรางวัล ศรีบูรพา คนแรก (ศักดิชัย บำรุงพงศ์ หรือผู้ที่เพิ่งได้รับรางวัลนักเขียนอมตะคนแรก-เสนีย์ เสาวพงศ์) เป็นประธานตัดสินผลการพิจารณาตัดสินให้ สุวัฒน์ วรดิลก ซึ่งเป็นผู้อุทิศชีวิตเพื่อยกย่องเชิดชู และเผยแพร่ชื่อเสียงและผลงานศรีบูรพามายาวนาน ได้รับยกย่องให้ได้รับรางวัลสาขานักคิด-นักเขียน ขรรค์ชัย บุนปานประธานกรรมการบริษัท มติชน ซึ่งต่อสู้สร้างสรรค์หนังสือพิมพ์มานานจนมีหนังสือในเครือ
มติชนมากมาย ได้รับการตัดสินให้ได้รับรางวัลสาขานักหนังสือพิมพ์ และ ศ. ดร. เสน่ห์ จามริกประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้รับยกย่องในสาขาผู้ต่อสู้เพื่อสันติภาพซึ่งรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ จาตุรนต์ ฉายแสง (เดิมเป็นรองนายกรัฐมนตรี)
ประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานได้เป็นผู้มอบรางวัล ที่ห้องประชุม สัญญา ธรรมศักดิ์ ตึกโดมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2548
ในฐานะนักอ่าน ผู้เขียนรู้จักนาม สุวัฒน์ วรดิลก (ซึ่งเคยเข้าใจในเบื้องต้นว่าเป็นนามปากกา)เมื่อประมาณปี2493-2494 เมื่อเรียนชั้นมัธยมปลาย (ม. 4-5-6 สมัยโน้น ซึ่งเทียบกับ 1-2-3 สมัยนี้) จากจินตนิยายที่โด่งดังและผู้คนหลงใหลมากใน "ปิยมิตร" รายสัปดาห์
และกำลังโด่งดังในฐานะผู้เขียนบทประพันธ์ที่นำมาแสดงละครเวที เรื่อง เปลวสุริยา-อมรพิมาน-ราชินีบอด-สัญญารักจอมพล (เริ่มเขียนบทละครเองเป็นเรื่องแรก) ฯลฯ ต่อมาก็หลงใหลนวนิยายที่เรียกกันว่า นวนิยายชีวิตประจำวัน เช่นนางไพร ใน "เดลิเมล์วันจันทร์" รวมทั้งเรื่องเกี่ยวกับป่าดงพงไพร (ที่ใช้นามปากกา ไพร วิษณุ) หรือ ที่เกี่ยวจิตวิญญาณ เช่น ภูติพิศวาส (ในนามปากกา รพีพร) และนามปากกานี้ที่เขียนส่งออกมาจากแดนที่คุมขังทั้งนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ เรื่อง ลูกทาส (ที่เป็นละครโทรทัศน์ที่สร้างให้นักแสดง กำธรสุวรรณปิยะศิริ และอารีย์ นักดนตรี โด่งดังอย่างยิ่ง และได้รับพระราชทานรางวัลตุ๊กตาทองจากภาพยนตร์เรื่องนี้ในฐานะบทประพันธ์ยอดเยี่ยม) เมื่อละครเริ่มเสื่อมความนิยม ก็หันมาเขียนบทภาพยนตร์ (แม้บทละครวิทยุก็เคยเขียน เรื่อง ผีก็มีหัวใจใช้นามปากกา ยุพดี เยาวมิตร) ส่วนเรื่องสั้น มักใช้นามจริงเหมือนนวนิยายส่วนมาก รวมเรื่องสั้นชื่อ
เหนือจอมพลยังมีจอมคน ได้รับรางวัลเมื่อปี 2534 ด้วย
ในระยะหลัง หลังจากพ้นวิบากกรรมในที่คุมขังแล้ว สุวัฒน์ วรดิลก หันมาเขียนนวนิยายสะท้อนสังคม เช่น พิราบแดง แผ่นดินเดียวกัน แผ่นดินของเขา ฝากไว้ในแผ่นดิน (ในนามปากกา ศิวะ รณชิต ใช้ สันติชูธรรมอยู่เรื่องหนึ่ง คือ พ่อข้าเพิ่งจะยิ้ม) และนวนิยายสะท้อนสังคม เช่น นกขมิ้นบินถึงหิมาลัย คามาลพิราบเมิน เป็นต้น เท่าที่พอจะรวมรวมได้ มีนวนิยาย 88 เรื่อง นอกนั้นเป็นเรื่องสั้น สารคดี
และบทละคร ทุกประเภท ดังกล่าวแล้ว
เป็นคนหนึ่งในผู้เริ่มชมรมนักเขียน 5 พฤษภาคม (2511) จนกลายมาเป็นสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย เป็นผู้ริเริ่มตั้งกองทุน ศรีบูรพรา ซึ่งเป็น "รางวัลนักเขียนมอบแก่นักเขียน" ตั้งแต่ปี 2531 เป็นต้นมาได้รับยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์เมื่อปี 2534 พร้อมกับที่ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี-นักร้องเสียงอมตะ-ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากได้รับยกย่องในสาขาทัศนศิลป์ (นักร้องเพลงไทยสากล)
ในปีเดียวกัน
ขออนุญาตกล่าวถึงอีกสองท่านสองสาขาในเดือนต่อไปเพราะเรื่องราวที่เป็นเกียรติยศอันควรยกย่องซึ่ง 100 ปี ถึงจะมีสักครั้ง
สมควรบันทึกไว้ให้ลูกหลานได้รับทราบ-ได้ยกย่อง-ได้เชิดชูเป็นอุทาหรณ์ต่อไปชั่วกาลนาน
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2549
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52733