บทความ
แด่การจากไปของ "หลวงเลียบเมือง"
01.35 นาฬิกา วันที่ 10 พฤศจิกายน 2548 เป็นค่ำคืนทีไม่มีใครคาดคิดว่า "หลวงเลียบเมือง" ผู้เป็นที่รักใคร่ เป็นที่นับถือของบุคคลในวงการสื่อสารมวลชนโดยเฉพาะในวงการยานยนต์มากที่สุดท่านหนึ่ง จะจากพวกเราทุกคนไปอย่างไม่มีวันกลับ ด้วยสาหตุจากโรคมะเร็ง ที่ถึงแม้พวกเราจะพอรู้ถึงโรคร้ายที่รุมเร้า "หลวงเลียบเมือง" อยู่ แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่า การจากกันชั่วนิจนิรันดรจะมาถึงในเวลาที่รวดเร็วเช่นนี้
ณ คอลัมน์นี้ กองบรรณาธิการนิตยสาร "ฟอร์มูลา" ขอร่วมไว้อาลัย และร่วมแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียผู้เป็นเสาหลักท่านหนึ่งของครอบครัว "เผ่าจินดา" ไปอย่างไม่มีวันกลับไว้ ณ โอกาสนี้อีกครั้งหนึ่ง และขอให้ดวงวิญญาณของ "หลวงเลียบเมือง" จงสถิตอยู่ ณ สัมปรายภพ ในภพที่มีแต่เสียงหัวเราะ และรอยยิ้มอย่างที่ท่านเคยมีให้แก่ทุกคนตลอดมา
"หลวงเลียบเมือง" เป็นนามปากกาคอลัมนิสต์ที่มีลีลาในการขีดเขียนบทความ ด้วยสำนวนที่สนุกสนานชวนให้ติดตามอ่านตั้งแต่บรรทัดแรกจนบรรทัดสุดท้าย ด้วยการหยิบยกประเด็นต่างๆ ที่กำลังเป็นที่สนใจของสังคมมาคุ้ยแคะสะกิดเกาในบรรยากาศสบายๆ สอดแทรกด้วยข้อคิดเห็นที่เป็นการมองจากมุมของผู้ที่มีประสบการณ์อย่างช่ำชอง "หลวงเลียบเมือง" เป็นนามปากกาของ บัญชา เผ่าจินดา หรือที่บรรดาสื่อมวลชนโดยเฉพาะสายรถยนต์จะเรียกอย่างสนิทสนมแต่แฝงด้วยความเคารพนับถืออย่างจริงใจว่า "ป๋าบัญชา" ผู้ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการรถยนต์เมืองไทยมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 30 ปี
จากเด็กบ้านนอกสู่รั้วมหาวิทยาลัยชื่อดัง
ป๋าบัญชา เผ่าจินดา เดิมชื่อบุญช่วย เกิดที่อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงครามในปีที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยใช้ชีวิตในวัยเด็กตามประสาเด็กบ้านนอกทั่วไปจนกระทั่งเติบใหญ่เรียนจบชั้นประถมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนในอำเภออัมพวา ก่อนที่จะเดินทางล่องใต้สู่จังหวัดภูเก็ตไปพักอยู่กับพี่สาวต่างมารดาพร้อมกับเข้าเล่าเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย ซึ่งก็เป็นสาเหตุทำให้ "ป๋า" สามารถพูด และฟังภาษาใต้ได้เหมือนเป็นคนใต้โดยกำเนิด
หลังจากจบมัธยมศึกษาตอนต้น ด้วยความกระหายใคร่รู้ในการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น ทำให้พี่สาวได้อนุญาตให้เข้ามาหาสถานที่ศึกษาต่อในกรุงเทพฯ "ป๋า" เล่าให้ฟังว่า "ครั้งแรกอยากเป็นทหารเรือ แต่ด้วยความเป็นเด็กบ้านนอกเข้ากรุงเป็นครั้งแรก ทำให้ไม่รู้ว่าจะต้องไปสมัครเรียนที่ไหน กว่าจะรู้ก็ปิดรับสมัครไปแล้ว จึงเบนเข็มไปสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา หรือในขณะนั้นเรียกว่าโรงเรียนมัธยมหอวัง แต่ก็อีกนั่นแหละ กว่าจะหาโรงเรียนเจอก็ใช้เวลาอยู่นาน ต้องขออนุญาตเข้าสอบเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งก็ไม่ทำให้คุณครูผู้อนุญาตผิดหวัง "ป๋า" สามารถสอบเข้าเรียนได้ในอันดับต้นๆของผู้สมัครเช้าสอบทั้งหมด ได้เข้าเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในปี 2493 เรียกว่ารุ่น 13 จากนั้นก็เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง
นักกีฬา และนักกิจกรรม
ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย "ป๋า" เล่าให้ฟังว่าเป็นชีวิตที่สนุกสนานนอกเหนือจากการเรียนแล้วมีสองสิ่งที่เป็นความสนใจของ "ป๋า" สิ่งแรก คือ กีฬา และกีฬาที่โปรดปรานมากที่สุดได้แก่ รักบี ถึงขนาดติดทีมรักบีของมหาวิทยาลัย และอีกกิจกรรมหนึ่งคือ ความสนใจในด้านสื่อสารมวลชนโดยเฉพาะทางด้านของการเมืองด้วยว่ามีพี่เขยเป็นนักการเมืองชื่อดังคนหนึ่งและความสนใจในการเมืองนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ "ป๋า"ต้องเปลี่ยนชื่อมาเป็น"บัญชา"
ชีวิตที่คุ้มค่า
เมื่อ "ป๋า" เริ่มมีครอบครัว อาชีพนกน้อยในไร่ส้มที่ "ป๋า" ชื่นชอบ ได้ใช้ชีวิตในแบบที่หลายๆคนเมื่อได้ยินได้ฟังแล้วแทบจะไม่เชื่อว่า คนตัวเล็กๆ อย่างนี้จะผ่านมาได้ ครอบครัวต้องโยกย้ายไปอยู่ในหลายจังหวัดในเขตภาคเหนือครั้งที่ร่วมทำงานกับบริษัท ซิงเกอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จนทำให้รู้และเข้าใจภาษาเหนือได้อย่างแตกฉานอีกภาษาหนึ่ง ก่อนที่ครอบครัวประกอบด้วยภรรยา และบุตรชาย-หญิง 4 คนจะโยกย้ายกลับมาปักหลักใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต
หลังจากระหกระเหินอยู่ในต่างจังหวัดมาช่วงหนึ่งของชีวิต "ป๋าบัญชา" ได้กลับเข้าสู่แวดลงน้ำหมึกอีกครั้งกับการทำงานในหนังสือพิมพ์ เดอะ เนชัน ในช่วงที่ยังเรียกได้ว่าเป็นยุคบุกเบิก ก่อนที่จะเข้ามาสู่แวดวงยานยนต์ ซึ่งเป็นวงการที่ "ป๋า" ได้เข้ามาคลุกคลีอยู่ถึง 30 กว่าปี โดยเฉพาะกับกลุ่มยนตรกิจ ที่ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ ซีตรอง บีเอมดับเบิลยู โฟล์คสวาเกน ลันชาหรือเปอโฌต์ ล้วนแล้วแต่มี "ป๋าบัญชา" เข้าไปสัมผัสสร้างสีสัน และมีส่วนร่วมในการสร้างความสำเร็จมาแล้วทั้งสิ้น ก่อนที่ "ป๋า" เลือกที่จะเกษียณตัวเองออกไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว แต่ถึงกระนั้น"ป๋า" ก็ยังไม่ทอดทิ้งวงการยังคงติดตามข่าวสารทั้งทางด้านการเมือง สังคมโดยเฉพาะวงการอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างต่อเนื่องดังจะเห็นได้จากบทความต่างๆ ที่ "ป๋าบัญชา" เขียนทางหน้านิตยสารหลายๆ ฉบับ
ล้วนแต่ทันต่อเหตุการณ์ เป็นหัวข้อที่กำลังเป็นประเด็นที่ถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในช่วงเวลานั้น และยังมีมุมมองที่แตกต่างแต่เต็มไปด้วยประโยชน์ที่หลายคนมองข้ามไป
ทุกครั้งที่ "ป๋าบัญชา" เข้ามาเยี่ยมเยือนสำนักงานของบริษัท สื่อสากล จำกัด หรือการไปร่วมงานตามสถานที่ต่างๆ บุรุษร่างเล็กที่มากด้วยอารมณ์ขัน มีความโอบอ้อมอารี จะมีเรื่องเล่าต่างๆ ที่นำมาซึ่งความสุข และข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ให้แก่ผู้คนรอบข้างที่รายล้อมด้วยท่าทีที่เป็นมิตร เป็นกันเองไม่ถือตัวกับทุกผู้ทุกคน โดยเฉพาะกับบรรดานักข่าวสายรถยนต์ด้วยแล้ว ช่วงระยะเวลากว่า 30 ปีที่ "ป๋า" อยู่ในวงการนี้คงตระหนักเป็นอย่างดีถึงความเปิดเผยเป็นกันเองกับนักข่าวทุกรุ่นไม่ว่าจะเป็นรุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ หัวเล็กหัวใหญ่ไม่สำคัญ หาก "ป๋า" ช่วยเหลือได้ และไม่เกินกำลังความสามารถ "ป๋า" จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และจริงใจ ดังจะเห็นได้จากในระหว่างงานพระราชทานเพลิงศพ มีผู้กล่าวว่า "ถ้าเกิดชาติหน้าฉันใด ขอให้อยู่ในวงการเดียวกับป๋าอีก" คำพูดนี้ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเป็นคำพูดของใครแต่ก็สะท้อนถึงความรักความอาลัยในตัว "ป๋าบัญชา" ได้เป็นอย่างดี
และถึงแม้โรคร้ายจะพราก "ป๋าบัญชา" จากพวกเราไปอย่างไม่มีวันหวนกลับคืนมาอีกต่อไปแต่ความดีที่ "ป๋าบัญชา เผ่าจินดา" (หลวงเลียบเมือง) ได้สร้างไว้แก่พวกเรา และวงการยานยนต์ในประเทศไทย จะยังคงอยู่ในความทรงจำของพวกเราทุกคนตลอดไป และคงไม่มีคำใดจะเอื้อนเอ่ยเป็นการอำลาจากกันชั่วนิจนิรันตร์ได้ดีไปกว่า "ป๋า ยังอยู่ในใจพวกเราทุกคน ขอให้ดวงวิญญาณของ ป๋าบัญชา เผ่าจินดา จงสู่สุคติสถิตอยู่ในสรวงสวรรค์เบื้องบนตลอดนิรันดรกาล"
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : บทความ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52706