รู้ลึกเรื่องรถ
แบทเตอรี
ผมขอจำกัดประเภทของแบทเตอรีในคอลัมน์นี้ ไว้เฉพาะแบทเตอรีที่ใช้ในรถของพวกเราเท่านั้นนะครับไม่ได้จำกัดเฉพาะรถเก๋ง แต่รวมทั้งรถบรรทุกขนาดเล็ก กลาง ไปจนถึงใหญ่ รถทัวร์ รถเมล์หรือรถโดยสารแบบใดก็ตามที่ใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อน อาจจะรวม "รถตุ๊กๆ" ด้วยก็ได้
แบทเตอรีในรถของเรา มีความสัมพันธ์กับเจ้าของรถหรือแม้แต่ช่าง ในรูปแบบที่ผมว่ามีความพิเศษอยู่ค่อนข้างมาก เพราะเมื่อใดที่มันก่อให้เกิดปัญหา มักจะเป็นปัญหาค่อนข้างใหญ่เลย นั่นคือเราไม่สามารถติดเครื่องยนต์ได้ และบางทีความผิดก็ไม่ได้อยู่ที่มันโดยตรง เช่น ปัญหาจากไฟไม่ชาร์จระดับปกติก็ทำให้ประจุไฟฟ้าในแบทเตอรี ค่อยๆ ถูกใช้ไปจนเหลือน้อย ไม่พอสำหรับจ่ายกระแสไฟฟ้าให้สตาร์เตอร์เพื่อหมุนเครื่องยนต์ แล้วเราก็จะต้องเข้าไปมีความสัมพันธ์กับมันทันที เพราะตัวมันเอง และรูปแบบการทำหน้าที่ของมันเป็นแบบเรียบง่าย เราสามารถดูได้ว่าห่วงที่รัดขั้วไฟฟ้าสกปรกหรือไม่ หลวมหรือเปล่า น้ำกรด "แห้ง" จนแผ่นตะกั่วโผล่พ้นผิวน้ำกรดหรือขั้วขยับ บางคนก็อาจจะดูวันเดือนปีที่ซื้อ ได้จากเปลือกแบทเตอรีที่คนขาย "ตอก" ตัวเลขไว้
สรุปแล้วเราผู้ใช้รถ ที่แม้บางคนจะแทบไม่รู้เรื่องแบทเตอรี ก็ยังสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับมันได้มากกว่าอุปกรณ์อื่นๆ ของรถ
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างช่างซ่อมรถ และแบทเตอรี ก็มีความพิเศษไปอีกแบบหนึ่งนั่นคือแม้จะต้องเกี่ยวข้องกับมัน มาตั้งแต่เริ่มการทำงานเป็นช่าง หรือทำงานนี้มาเป็นสิบปีแล้วก็ตามก็ยังไม่เข้าใจหลักการทำงานของแบทเตอรีอยู่ดี เพราะในโรงเรียนช่างยนต์ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้กลายเป็นว่าช่างซ่อมรถของเรานั้น รู้เรื่องแบทเตอรีกันน้อยมาก คนที่รู้จริงน่าจะมีเพียงสองกลุ่มเท่านั้นครับ
กลุ่มแรก คือ วิศวกรและช่างเทคนิคในโรงงานผลิตแบทเตอรี ส่วนกลุ่มที่สอง คือ บรรดาเจ้าของร้านขายแบทเตอรีรายย่อย ที่มักเป็นช่างเองด้วย บางร้านก็รับซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าของรถไปด้วย โดยเฉพาะอุปกรณ์ชาร์จไฟ หรือ อัลเทอร์เนเตอร์ บางร้านก็ขายยางไปควบคู่กัน ไม่ใช่ทุกร้านนะครับที่มีความรู้เรื่องแบทเตอรี เฉพาะรายที่ชอบศึกษาหาความรู้และเรียนรู้ด้วยตนเองเท่านั้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจครับ ถ้าเจอหรือเคยเจอการวิเคราะห์สาเหตุแบบผิดลู่ผิดทาง ถ้ารถของเราสตาร์ทไม่ติด แล้วอะไรจะดีกว่ามีความรู้เองโดยไม่ต้องคอยฟังใครครับ
หน้าที่ของแบทเตอรี มีหลายข้อด้วยกัน แต่หน้าที่หลักก็คือ สะสมพลังงานไฟฟ้าไว้สำหรับสตาร์ทเครื่องยนต์ อันดับรองลงมา คือ ช่วยจ่ายกระแสไฟฟ้าให้อุปกรณ์อื่นแทนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของรถหรืออัลเทอร์เนเตอร์ เมื่อใดก็ตามที่เราต้องการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ในขณะที่เครื่องยนต์ไม่ได้ทำงาน เช่น อยากจะฟังเพลงระหว่างรอ แต่จะเปิดพัดลมแอร์ช่วยเป่าคลายร้อนไม่ได้นะครับ เพราะเขาต่อสายไว้ให้ทำงานได้เฉพาะตอนเครื่องยนต์ทำงานเท่านั้น ขืนไปบิดกุญแจในตำแหน่ง ON เพื่อให้พัดลมทำงาน แต่ไม่ติดเครื่องยนต์ ระบบจุดระเบิดอาจเสียหายได้
นอกจากนี้แบทเตอรียังทำหน้าที่เป็นแหล่งไฟฟ้าสำรอง เมื่อใดก็ตามที่อัลเทอร์เนเตอร์ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ไม่พอ แต่ต้องเป็นสถานการณ์ชั่วคราวเท่านั้นนะครับ ถ้าเป็นแบบถาวร แสดงว่า อัลเทอร์เนเตอร์ของเราไม่อยู่ในสภาพปกติ และต้องซ่อมแซมแก้ไขให้หายก่อน และหากเป็นสภาพไฟไม่พอชั่วคราว แต่เกิดขึ้นบ่อย เช่น เราติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมา ก็ต้องจัดการเปลี่ยนอัลเทอร์เนเตอร์ให้มีขนาดเพิ่มขึ้นไม่ใช่ไปเปลี่ยนแบทเตอรีให้มีความจุเพิ่มขึ้นนะครับ เพราะถ้าต่อ ทางผลิตกระแสไฟฟ้ามาไม่พอแบทเตอรีที่ใหญ่ขึ้นก็ไม่ช่วยแก้ปัญหาแต่อย่างใด
หน้าที่อีกอย่างของแบทเตอรี ก็คือ จ่ายไฟให้แก่หน่วยความจำต่างๆ เช่น ในวิทยุรวมทั้งจ่ายไฟให้ระบบกันขโมยด้วย
ผู้ผลิตรถยนต์จะเป็นผู้เลือกว่าควรใช้แบทเตอรีความจุเท่าใดกับรถแต่ละรุ่น เขามีหลักพิจารณาดังนี้ครับ อย่างแรก ต้องมีความจุพอที่จะจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ "แรง" พอที่จะหมุนเครื่องยนต์ให้เร็วพอ ในสภาวะที่แย่ที่สุดของการติดเครื่องยนต์ ถ้าความจุไม่พอไม่ได้หมายความว่าประจุไฟฟ้าหมดก่อนเครื่องยนต์จะติดนะครับ ความสามารถในการจ่ายกระแสไฟฟ้าของแบทเตอรี ขึ้นอยู่กับขนาดหรือความจุของมันถ้าต้องการกระแสมาก ก็ต้องใช้แบทเตอรีลูกใหญ่ ที่มีแผ่นตะกั่วขนาดใหญ่ มีพื้นที่มากในการรับและจ่ายประจุไฟฟ้าเพื่อให้เกิดกระแส
เครื่องยนต์ของรถเรา ถึงจะเป็นรุ่นใหม่ มีระบบจุดระเบิด ระบบจ่ายเชื้อเพลิงชั้นเยี่ยม ก็ไม่ได้หมายความว่าหมุนขยับนิดเดียวแล้วจะ "ติด" จนทำงานได้นะครับ เครื่องยนต์ทุกเครื่องจะมีระดับการหมุนของเพลาข้อเหวี่ยงต่ำสุด ที่ยังสามารถติดเครื่องยนต์ได้ ถ้าหมุนช้ากว่าค่านี้มันจะไม่ยอมติด เพราฉะนั้นวิศวกรของโรงงานรถยนต์จะต้องเลือกขนาดแบทเตอรี ให้มันสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่มอเตอร์สตาร์ทได้พอ ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุด แล้วยังสามารถหมุนเครื่องยนต์ให้เร็วกว่าค่าต่ำสุดนี้ได้
สถานการณ์แย่ที่สุดในการหมุนเครื่องยนต์ โดยมอเตอร์สตาร์ทให้ติด ก็คือ อย่างแรก แบทเตอรีมีประจุอยู่ไม่เต็ม เช่น 70 % อย่างที่สองอุณหภูมิต่ำมาก เช่น จอดทิ้งไว้นอกบ้านในหน้าหนาวของประเทศที่มีฤดูหนาวจริงๆ สมมุติว่าราวๆ ลบยี่สิบองศาเซลเซียส ที่ความเย็นขนาดนี้ แบทเตอรีของเราเหลือความจุราวๆ ครึ่งเดียวของความจุมาตรฐานครับ เช่น ขนาด 60 Ah ก็จะเหลือสัก 30 Ah แล้วมีประจุอยู่ 70 % ในตัวอย่างของผม ก็เหลือ 20 กว่าๆ Ah เท่านั้นเอง
ยังไม่หมดครับ น้ำมันเครื่องของเรานั้น มีคุณสมบัติทางธรรมชาติที่ทำให้การติดเครื่องยนต์ในหน้าหนาว ยากยิ่งขึ้นไปอีก คือ ยิ่งเย็นมันจะยิ่งข้นยิ่งเหนียวหนืด มอเตอร์สตาร์ทจะต้องใช้แรงมากกว่าตอนติดเครื่องร้อนหลายเท่า ยิ่งต้องใช้แรงมากก็หมายถึงยิ่งต้อง "ดึง" กระแสไฟฟ้าสูงขึ้นจากแบทเตอรีวิศวกรจะต้องเลือกความจุให้มากพอที่จะติดเครื่องยนต์ในสภาวะที่ว่านี้ได้ครับ ก็ต้องทดสอบกันอย่างละเอียด ไม่ใช่เอาความจุมากๆ เข้าไว้แล้วจบ เพราะยิ่งความจุมาก ก็ยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น ยิ่งมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น และยิ่งแพงขึ้นอีกด้วย
ได้ความจุระดับติดเครื่องยนต์ในหน้าหนาวได้แน่แล้ว ก็ต้องมาดูว่ามีความจุพอสำหรับการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าของรถ ตอนดับเครื่องยนต์ได้นานเพียงพอหรือไม่ และเลือกความจุค่ามากสำหรับแบทเตอรีที่จะใช้ในรถรุ่นนั้นๆ โดยทั่วไปค่าแรก คือ ความจุสำหรับติดเครื่องตอนเย็นจัด จะเป็นตัวตัดสิน แต่ก็ไม่แน่เสมอไป ถ้าเป็นรถเครื่องยนต์เล็ก แต่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับใช้งานตอนดับเครื่องที่กินไฟ ค่าหลังก็อาจจะเป็น "คำตอบสุดท้าย" ได้เหมือนกัน
งานของโรงงานรถยนต์เรื่องแบทเตอรียังไม่จบครับ ต้องเลือกตำแหน่งที่อยู่ถาวรให้มันด้วยมีเงื่อนไขในการเลือกหลายข้อด้วยกัน ข้อแรก คือ ตำแหน่งจุดศูนย์ถ่วงของรถ เนื่องจากในแบทเตอรีของเรามีตะกั่วอยู่เพียบ น้ำหนักของมันจึงมีผลต่อตำแหน่งจุดศูนย์ถ่วงของรถอยู่พอสมควร ถ้าเป็นรถที่มีอุปกรณ์หนักบางอย่างอยู่ทางขวาเป็นพิเศษ วิศวกรเขาก็จะหาทางติดตั้งแบทเตอรีไว้ข้างซ้าย เพื่อให้ได้ความสมดุล ถ้าเป็นรถที่ "หัวหนัก" เป็นพิเศษจนถึงขั้นจะส่งผลด้านลบต่อพฤติกรรมของรถในโค้ง เขาก็จะเอาแบทเตอรีไปไว้ด้านหลัง เช่น อยู่ใต้เบาะนั่งด้านหลัง หรือเอาไปไว้ในที่เก็บของท้ายรถเลยก็ได้
ข้อที่สอง พยายามให้อยู่ใกล้มอเตอร์สตาร์ท จะได้ไม่เปลืองสายไฟ ไม่ใช่แค่ความยาวนะครับ เพราะสายไฟยิ่งยาว ความต้านทานก็จะยิ่งเพิ่ม ถ้าอยู่ไกล นอกจากจะต้องใช้สายไฟยาวแล้ว ยังต้องเพิ่มขนาดพื้นที่หน้าตัดของทองแดงด้วย คือ โดนสองต่อ ซึ่งก็จะส่งผลต่อต้นทุนและผลกำไรนั่นเอง
ข้อสาม หาที่ได้เหมาะสมมากทางเทคนิค แต่อยู่ในตำแหน่งที่เจ้าของรถและช่าง "เข้าถึง" ได้ยากก็ไม่ไหวเหมือนกันครับ ต้องให้เปิดตรวจระดับน้ำกรดได้สะดวกด้วย
ข้อสี่ ต้องไม่อยู่ในที่ที่ฝุ่นเข้าถึงได้ง่าย หรือมีน้ำกระเด็นสาดถึง
ข้อต่อไปค่อนข้างสำคัญ คือ ต้องไม่อยู่ในที่ร้อนจัด เพราะอายุการใช้งานจะสั้น เช่นไม่เอาไปติดตั้งไว้เหนือท่อไอเสีย
ข้อสุดท้ายก็สำคัญพอๆ กัน คือ ไม่อยู่ในส่วนที่มีความสั่นสะเทือนมากเพราะจะทำให้โครงสร้างภายในชำรุดเร็วเกินควรครับ
(อ่านต่อฉบับหน้า)
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52630