มุมมองนักออกแบบ
ออสติน มีนี
ตำนาน ออสติน มีนี ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1959 (หลัง โฟล์คเต่า 21 ปี) โดยการออกแบบ ของ เซอร์ อเลค อิสซิโกนิส (SIR ALEC ISSIGONIS) ด้วยความที่ไม่ได้ตั้งใจที่จะออกแบบรถ มีนี ให้เป็นตำนานยิ่งใหญ่อะไร คล้ายกับโฟล์ค เต่า ที่ต้องการออกแบบรถที่เรียบง่าย ประหยัด ปลอดภัยสำหรับบรรทุกผู้โดยสาร 4 คน ด้วยเครื่องยนต์เริ่มแรกเพียง 850 ซีซี 34 แรงม้า เท่านั้น
จุดที่ต่างจาก โฟล์ค เต่า ก็คือ จะต้องออกแบบรถที่มีขนาดตัวถังภายนอกเล็กที่สุดแต่ที่มีพื้นที่ภายในกว้างที่สุด ด้วยรูปทรงเรียบง่าย และขนาดกะทัดรัด ดูน่ารักกว่ารถทั่วไปในยุคนั้นจึงไปโดนใจบรรดาแม่บ้านทั้งหลายเป็นอันดับแรก
ต่อมา จอห์น คูเพอร์ (JOHN COOPER) นักสร้างรถแข่งชื่อดัง เกิดมองเห็นจุดแข็งว่ามีสมรรถนะการขับขี่ที่คล่องตัว และสามารถตกแต่งให้มีสมรรถนะดีขึ้นอีกได้ เจ้า มีนี คูเพอร์ "คันแรกจึงเกิดขึ้นในปี 1961 และตามติดด้วย คูเพอร์ เอส ซึ่งกลายเป็นรถยนต์ระดับซูเพอร์สตาร์ จากการลงแข่งขันในรายการ มนติ การ์โล แรลลี และได้แชมพ์ติดต่อกันถึง 4 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 1964-1667 ในช่วงปี 1960-1969 เป็นยุคทองของ ออสติน มีนี อย่างแท้จริง ใครๆ ก็อยากได้เจ้า มีนี มาครอบครอง ไม่เว้นแม้แต่คนดังๆ ระดับโลก เช่น เธอะบีเทิล และ เอนโซ แฟร์รารี เป็นต้น และแน่นอนคนดังเหล่านี้คงจะไม่ซื้อ มีนี ไปในแบบสแตนดาร์ด บริษัทตกแต่งรถชื่อดังหลายแห่งจึงหันมาตกแต่งกันอย่างมากมาย จากรถธรรมดาราคาถูก จนกลายเป็นรถยนต์ราคาแพงได้อย่างสบายๆถ้าให้วิเคราะห์ก็น่าจะเป็นการสร้างแบรนด์จากการแข่งขันแรลลีระดับโลก ทำให้ โลโก หรือชื่อของ "ออสติน มีนี" มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากรถราคาถูกทันที
ต่อมาในยุค '70 มีการเปลี่ยนรุ่นเป็น มีนี คลับแมน ที่ถูกออกแบบให้หน้าตาทันสมัยขึ้นแต่กลับกลายเป็นยุคมืดของ มีนี ไป เหตุน่าจะมาจากการออกแบบที่ดูแล้ว แต่ไม่ลงตัวไม่มีความคลาสสิคเหมือนรุ่นก่อน
ต่อมาในยุค '80 ยอดขายของ มีนี ก็เริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ จน บีเอมดับเบิลยู เข้ามาซื้อกิจการและพยายามทุกวิถีทางโดยใช้กลยุทธ์ "รุ่นพิเศษ" ซึ่งทำไปกว่า 40 รุ่น จนถึงปี 1990 มีนี คูเพอร์ก็ถูกนำมาผลิตใหม่อีกครั้ง เพื่อป้อนตลาดญี่ปุ่นเป็นหลัก ด้วยการนำเทคโนโลยีรถยนต์สมัยใหม่มาใส่อย่างครบครัน ในที่สุด มีนี คันสุดท้ายก็ถูกผลิตออกมา และปิดฉากตำนาน มีนี ยุคแรกอย่ายาวนาน ในเดือนตุลาคม ปี 2000 ด้วยยอดการผลิตกว่า 5.3 ล้านคัน
จากการวิเคราะห์ ประวัติของรถยนต์ทั้ง 2 รุ่น ทั้ง โฟล์คสวาเกน บีเทิล (เต่า) และ ออสติน มีนี พอสรุปได้ว่า รถทั้ง 2 รุ่นมีตำนานที่ใกล้เคียงกัน โฟลค์ เต่า นั้นเกิดก่อนมากว่า 20 ปี ทำให้ มีนี พอจะได้เรียนรู้แนวทางการทำตลาดให้ประสบความสำเร็จพอสมควร ความต่างก็คือขนาดของตัวถังภายนอกที่เล็กจนโดดเด่น ด้วยเครื่องยนต์ ขับเคลื่อนล้อหน้าวางด้านหน้าทำให้ห้องโดยสารมีพื้นที่กว้างสำหรับผู้ใหญ่ 4 คนอย่างสบายๆ ส่วน โฟลค์ เต่านั้นโดดเด่นด้วยรูปทรง การออกแบบตัวถังรถที่แตกต่างแปลกตา เครื่องยนต์วางด้านท้ายขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งสลับกับ มีนี ที่วางหน้า ขับหน้า แต่แนวคิดในการเพิ่มเนื้อที่ภายในรถใกล้เคียงกัน
ด้านการสร้างแบรนด์ นั้น โฟลค์ เต่าใช้การสร้างกระแสด้วยภาพยนตร์ "HERBIE" ในปี 1968 ทำให้ชื่อของ โฟลค์ เต่า มีมูลค่าเพิ่มขึ้นตั้งแต่ยุคนั้น แต่ก็ยังคงเป็นรถที่มีราคาไม่แพงอยู่เช่นเดิมกลุ่มเป้าหมายเดิมคือ ทุกคนสามารถซื้อหามาใช้กันได้
แต่สำหรับ มีนี นั้น จะต่างกันเพราะ มีนี สร้างแบรนด์จากการได้แชมพ์แรลลี มนติ การ์โล ถึง 4 สมัย และตามติดการปลุกกระแสด้วยภาพยนตร์ เรื่อง "ITALIAN JOB" ในปี 1969 ตามแนวทางของ โฟล์ค เต่า และในยุคปลายๆ ที่ บีเอมดับเบิลยู เข้ามาซื้อกิจการ ก็มีการนำเอา มีนี รุ่นเก่ามาปรับปรุงใหม่ใส่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย สมัยใหม่เข้าไปมากมาย ทำให้ลูกค้าของ มีนี ขยับขึ้นมาจากระดับกลางเป็นระดับบน ซึ่งน่าจะเป็นกลยุทธ์ของ บีเอมดับเบิลยู ที่จะเตรียมพร้อมที่จะออก มีนี ใหม่ รองรับลูกค้าระดับบนนั่นเอง
เธอะนิว บีเทิล เปิดตัวอย่างสวยงามในปี 1998 จึงทำให้ บีเอมดับเบิลยู มั่นใจ และประหยัดแรงในการทำตลาดไปได้เยอะ เพราะไม่ต้องลุ้นว่าเจ้า มีนี ใหม่นี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ จึงมอบหมายหน้าที่การออกแบบให้กับ ฟแรงค์ สตีเฟนสัน ซึ่งเขาได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า "มีนี คูเพอร์ ใหม่ ถือเป็นความภูมิใจของผมเลย และค่อนข้างเกร็งเล็กน้อย เพราะผมเป็นลูกครึ่งอเมริกัน-สเปน แต่กลับมาทำงานที่บริษัทเยอรมัน และต้องออกแบบรถยนต์ที่ถือว่าเป็นตัวแทนของประเทศอังกฤษ ทุกอย่างถูกบีบและมีแรงกดดันพอสมควร ชนิดผิดพลาดไม่ได้เลย" ซึ่งในที่สุดเขาก็ไม่ทำให้ บีเอมดับเบิลยู ผิดหวังเพราะ มีนี คูเพอร์ ใหม่ เปิดตัวหลังจาก นิว บีเทิล 3 ปี ซึ่งถือว่า บีเอมดับเบิลยู มองการตลาดได้ทะลุปรุโปร่ง เพราะสามารถสร้างทั้งชื่อเสียง และรายได้ให้กับ บีเอมดับเบิลยู บริษัทแม่ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
กลยุทธ์การทำตลาดมีทั้งกลุ่มระดับกลางถึงสูงในต่างประเทศแต่สำหรับบ้านเราถูกวางราคาไว้ที่ลูกค้าระดับสูง แม้แต่ภาพยนตร์เรื่อง "THE ITALIAN JOB" ก็กลับมาสร้างใหม่เพื่อกระตุ้นกระแสในปี 2003
นับว่าการออกแบบในสไตล์ย้อนยุคของรถทั้ง 2 รุ่นคือ โฟล์คสวาเกน นิว บีเทิล และมีนี คูเพอร์ ได้ให้ความรู้ด้านการใช้มูลค่าของแบรนด์ เดิมทีมีอยู่ มาต่อยอดเพิ่มมูลค่าได้อีกหลายเท่าตัว และยังได้เรียนรู้การใช้กลยุทธ์ทางการตลาดในอดีตที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับตลาดในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกไม่ช้าเราคงจะได้เห็นการออกแบบสไตล์ย้อนยุคนี้อีกหลายๆ ยี่ห้อ และหลายๆรุ่นอย่างแน่นอน
เรื่องโดย : แมน ดีไซจ์น
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : มุมมองนักออกแบบ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52602