ชีวิตคือความรื่นรมย์
ราชาศัพท์ และวัฒนธรรมในละครย้อนยุค
ในบรรดาความบันเทิงราคาถูกสำหรับชาวบ้านไทยๆ คงหนีไม่พ้นละครโทรทัศน์ เพราะเป็นบริการที่ส่งไปเยือนถึงในบ้าน ซึ่งคนดูอาจจะ นั่ง-นอน-นุ่งผ้าขาวม้า-หรือแต่งชุดนอนดูสบายๆ จนกลายเป็นความเคยชินเสมือนเป็นแนววัฒนธรรมประจำวันไปเสียแล้ว
สมัยเล็กๆ ผู้เขียนชอบอ่านหนังสือมาก อาจเป็นเพราะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จำกัดตามประสาเด็กบ้านนอกจนๆ พอโตขึ้นมา ได้มีโอกาสเข้าไปเรียนในอำเภอ-และต่อมาที่จังหวัด ความสนใจก็ขยายไปเป็นหนังและละครบ้าง แต่ก็มีโอกาสน้อยเต็มที
แต่หนังและละครนั้น เมื่ออายุมากขึ้น ความปรารถนาที่จะออกไปหาก็น้อยลง เว้นแต่มันจะมาหาเราที่บ้านผ่านตัวนำมาคือโทรทัศน์ โดยเฉพาะภาพยนตร์ดีๆ เรื่องต่างๆ ทาง ยูบีซี
ความบันเทิงซึ่งเสมือนจำเป็นสำหรับคนในสังคมทุกวันนี้ เพราะแม้ตนจะไม่ชอบ แต่คนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกในบ้าน (รวมทั้งผู้ช่วยแม่บ้าน) ก็ต้องให้โอกาสเขาได้ดูไปกับเราด้วย นั่นคือละครโทรทัศน์ ซึ่งอุดมสมบูรณ์ทั้งก่อน และหลังข่าวยามเย็น ยามค่ำ ตลอดจนยามดึก และดึกๆ
แต่น่าเสียดายที่คุณภาพละครที่เสนอนั้น ไม่น่าสนใจเท่าที่ควร สมัยที่มีกองบริหารวิทยุกระจายเสียง และวิทยุโทรทัศน์ หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า "กบว." พวกผู้ผลิตก็อ้างว่า กองนี้ เคร่งครัดมากไปจนกระดิกตัวไม่ได้ ครั้นกรมประชาสัมพันธ์ไม่มาเคร่งครัดในเรื่องนี้ ปล่อยให้แต่ละช่องหรือสถานีควบคุมกันเอง ผู้ปกครองก็มาโทษว่าทางการไม่น่าปล่อยปละละเลย ปล่อยให้ละครน้ำเน่าครองจอ และเต็มจอด้วยรายการเกมโชว์ที่ไร้สาระ จนในแต่ละปี คณะกรรมการต้องพยายามหารายการที่ดี มีสาระและประโยชน์จริง เพื่อนำมาเสนอและยกย่องให้รางวัล ซึ่งหาได้ยากลงทุกที
ในฐานะที่เคยเป็นเด็กไกลปืนเที่ยงมาก่อน ต่อมาเมื่อได้ศึกษาเล่าเรียนในสถาบันที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ และโชคชะตาบันดาลให้เกิดมารักภาษาไทย ได้เรียนรู้วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมที่ดีของชาติมาบ้าง ทำให้รำลึกว่า หน้าที่การอนุรักษ์และส่งเสริมการใช้ภาษาไทย และวัฒนธรรมที่ดีของไทย ตามแนวพระราชดำริและพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ย่อมเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน
ผู้เขียนจึงถือเป็นหน้าที่ที่ควรนำสิ่งที่ตนรู้ มาเผยแพร่ และปรารถนาให้อนุชนได้สำนึก นำไปประพฤติปฏิบัติ
ในการใช้ภาษานั้น สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนวิตกกังวลอยู่เสมอคือการใช้ราชาศัพท์ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะนี่คือวัฒนธรรมที่ดีของไทย เป็นการสั่งสมทางภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย ที่สำคัญยิ่ง เรามีสถาบันกษัตริย์ ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทรงคุณค่าคู่ชาติไทยไปอีกนานเท่านาน คนไทยจึงควรจะรู้ ใช้ให้ถูกต้อง และเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้รู้ และใช้ให้เป็น
แม้ว่าเรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ จะออกมาไม่ทันช่วงเวลาละครโทรทัศน์ที่กล่าวถึงออกอากาศ แต่ก็คงจะมีละครย้อนยุค (ที่ในภาษาบันเทิงเขาเรียกว่าละครพีเรียด (PERIOD) ถูกนำมาเสนออยู่อีกบ่อยๆ ต่อไป และในการสร้างครั้งใหม่ ถ้าผู้สร้างนำไปปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง ก็จะเป็นคุณประโยชน์แก่เยาวชนและชาติไทยในอนาคตเป็นแน่นอน
ท่านผู้อ่านคงเห็นด้วยกับผู้เขียนว่า ละครย้อนยุคนั้นมีเสน่ห์น่าดู อย่างน้อยก็การแต่งกาย ความประพฤติ การปฏิบัติ กิริยามารยาท ตลอดจนภาษาที่ใช้ ฯลฯ จะแตกต่างกับความคุ้นเคยในชีวิตประจำวันไม่น้อย ยิ่งได้จำลองมาด้วยความถูกต้องมากเพียงใด ก็ยิ่งเป็นคุณแก่ประเทศชาติและพลเมืองรุ่นหลังมากเพียงนั้น
เท่าที่พอจะยกมากล่าวได้อย่างย่นย่อในเนื้อที่สั้นๆ ของคอลัมน์นี้สัก 2 เรื่อง คือการใช้ราชาศัพท์ และการประพฤติปฏิบัติต่อบุคคลที่อยู่ในราชสกุล
ประการแรก การกราบเจ้านายพระบรมวงศานุวงศ์ มีองค์กรเกี่ยวกับวัฒนธรรมแห่งหนึ่ง ได้ทำเป็นวิดีทัศน์ออกมาเผยแพร่ ทั้งคำบรรยาย และภาพตัวอย่างการกราบ บอกชัดเจนว่าให้กราบคร่อมไปบนเข่าข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งผิดกับความเป็นจริงตามประเพณีไทยปฏิบัติกันมา
การกราบบุคคลที่เป็นเจ้านายผู้สูงศักดิ์ ในขณะที่ท่านประทับกับพื้นหรือประทับเก้าอี้อยู่นั้น ผู้เข้าเฝ้าควรปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้
(หนึ่ง) ก่อนจะก้มลงกราบ ทรุดตัวลงนั่งพับเพียบกับพื้น ให้มีระยะห่างพอสมควร ไม่ห่างหรือชิดจนเกินไป ต้องนั่งเบี่ยงตัวเฉียงไปข้างใดข้างหนึ่งเพียงเล็กน้อย หลบเข่าทั้งสองไปข้างใดข้างหนึ่งแล้วแต่ถนัดและเหมาะสม ไม่หันหน้าตรงผู้ที่จะกราบ แล้ววางท่อนแขน (จากศอกถึงปลายมือ) ข้างที่หันเข้าหาเจ้านายนั้นลงทาบกับพื้น แล้วค่อยทอดแขนข้างที่เหลือลงไปประกบ พร้อมก้มตัวโน้มตามลงไป ให้หน้าผากจรดปลายนิ้ว โดยไม่ต้องกระดกปลายนิ้วให้สูงกว่านั้น
(สอง) กราบเพียงครั้งเดียว ไม่ใช่ สามครั้งอย่างกราบพระหรือการถวายบังคม
(สาม) ต้องกราบอย่างตั้งมือ คือ ฝ่ามือสองข้างประกบกันไว้อย่างนั้นในเวลากราบลงกับพื้น ไม่แยกออกให้ฝ่ามือแบนราบอย่างกราบพระ ที่เรียกกันว่า ไม่กราบแบมือ
(สี่ ) ค่อยๆ ก้มศีรษะให้หน้าผากลงไปจรดมือที่ตั้งอยู่นั้น ไม่ใช่กระดกปลายนิ้วชี้ขึ้นมาจรดหน้าผากหรือจมูก อย่างที่มีบางคนเข้าใจ (เช่นในวิดีทัศน์ชุดที่กล่าวถึงแต่ต้น) คิดว่าสวยและคิดว่าถูกต้อง ทั้งที่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น และไม่ใช่นั่งพนมมือขึ้น แล้วก้มลงกราบอย่างกราบพระ ที่สำคัญยิ่งคือ ต้องไม่กราบคร่อมเข่าเป็นอันขาด
(ห้า) เวลาจะตอบคำถามหรือทูลอะไร ควรนั่งตัวตรงมือประสานกันบนตัก และไม่นั่งเท้าแขน ถ้าเฝ้าอยู่ในระยะใกล้มาก จะยังคงใช้ปลายแขนข้างที่หันเข้าหาเจ้านายนั้น ทอดลงทาบกับพื้นเหมือนตอนที่จะกราบ เรียกว่าหมอบก็ได้
(หก) เวลาจะเลิกกราบ คงปฏิบัติย้อนกลับตามขั้นตอนที่กล่าวมาแล้ว
(เจ็ด) ถ้าต้องกราบทูล หรือตอบคำถามอยู่นาน เวลาจะถอยออกมา ต้องกราบอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆถอยออกมา ให้ได้ระยะพอสมควรก่อน จึงลุกขึ้น ถวายคำนับก่อนจะหันหลัง ไม่ใช่ลุกขึ้นทันทีและหันหลังในทันที
ประการที่สอง ราชาศัพท์สำหรับหม่อมเจ้า อย่างในละครเรื่อง ระเบียงรัก บ้านทรายทอง เคหาสน์สีแดง ฯลฯ
(หนึ่ง) สามัญชนใช้สรรพนามแทนตนว่า "กระหม่อม" หรือ "หม่อมฉัน" ใช้สรรพนามบุรุษที่สองว่า "ฝ่าพระบาท" สำหรับพระองค์เจ้าขึ้นไป และ "ฝ่าบาท" สำหรับ "หม่อมเจ้า" ใช้สรรพนามบุรุษที่สามแทนหม่อมเจ้าที่กล่าวถึงนั้นว่า "ท่าน" "ท่านชาย" หรือ "ท่านหญิง" หรือถ้าเป็นคนที่สนิมสนม อาจจะเอ่ยพระนามว่า "ท่านชายดนัย" "ท่านชายพจน์" "ท่านหญิงรัตน์" ฯลฯ แต่ไม่ใช่ใช้สรรพนามบุรุษที่สามว่า "ฝ่าบาท(เสด็จมา)" หรือ "ไปทูลฝ่าบาทซี" ดังเช่นในหนังจีน หรือในละครเรื่อง ระเบียงรัก และในละครหลายๆ เรื่องที่แล้วๆ มา
(สอง) เมื่อหม่อมเจ้า (ชาย) สององค์ทรงปฏิสันถารกัน องค์ที่อาวุโสสูงกว่าอาจใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งว่า "ฉัน" หรือถ้าสนิทกันอาจใช้ฐานะที่นับถือกัน เช่น "อา" "ลุง" "พี่" ฯลฯ หรืออาจละไว้ในฐานที่เข้าใจ ส่วนสรรพนามบุรุษที่สองจะใช้ว่า "ท่าน"
ส่วนองค์ที่อาวุโสน้อยกว่าจะเรียกองค์ที่อาวุโสกว่าว่า "ท่าน" "ท่านชาย" หรือ "ท่าน" (ตามด้วยฐานะเช่น) "ท่านลุง" "ท่านอา" หรือ "เจ้าพี่" ฯลฯ ใช้คำรับว่า "กระหม่อม" (ซึ่งมักกล่าวสั้นๆ ว่า "หม่อม") และใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งแทนองค์เองว่า "หม่อมฉัน" หรือ "กระหม่อม" ก็ได้
(สาม) คำราชาศัพท์ธรรมดาที่ใช้เสมอๆ ควรรู้ไว้ให้ถูกต้อง เช่น คำกริยาราชาศัพท์ที่ใช้เป็นสามัญจำนวนมาก มีทั้งที่ใช้ "ทรง" นำหน้าคำกริยาธรรมดา เช่น ทรงฟัง ทรงยินดี ทรงขอบใจ ฯลฯ หรือใช้"ทรง" นำหน้าคำนามสามัญ จะกลายเป็นคำกริยาราชาศัพท์ เช่นทรงม้า ทรงรถ ทรงศีล (รับศีล) ทรงธรรม (ฟังเทศน์) ฯลฯ และที่ไม่ใช้ "ทรง"นำหน้าเช่นเสวย (เหวย) บรรทมตื่น เสด็จ ประทับ ทูล (ไม่ใช่ว่าเป็นหม่อมราชวงศ์ แต่ "ขอพูดโทรศัพท์กับท่านชาย") บรรทม รับสั่ง (ไม่ใช่ "ตรัส" หรือ "ทรงตรัส" อย่างที่ชอบใช้ในละคร) โปรด ประชวร ผนวช ประพาส ฯลฯ คำที่เป็นกริยาราชาศัพท์เหล่านี้ ไม่ใช้ "ทรง"นำหน้าเพราะเป็นราชาศัพท์อยู่แล้ว
(สี่) คำว่า "ขอบพระทัย" นั้นเป็นคำที่มีผู้ใช้ผิดมากที่สุด โดยเข้าใจว่าคนทั่วๆ ไปใช้กับเจ้านาย แทนคำว่า "ขอบใจ" "ขอบคุณ" หรือ "ขอบพระคุณ" ที่ถูกต้องแท้จริงนั้น ท่านผู้รู้ และเจ้านายท่านใช้เมื่อ เจ้านายในพระราชวงศ์ที่ทรงมีอาวุโสสูงกว่า ใช้ "ขอบพระทัย" พระราชวงศ์ผู้ที่ทรงมีอาวุโสน้อยกว่าหรือทรงศักดิ์เสมอกัน ส่วนเจ้านายผู้อ่อนอาวุโสมักใช้ว่า "เป็นพระกรุณา" หรือ "เป็นพระคุณ" กับพระราชวงศ์ที่ทรงอาวุโสสูงกว่า โดยเฉพาะสามัญชนไม่ควรไปใช้คำว่า "ขอบพระทัย" ต่อเจ้านายไม่ว่าจะอาวุโสอย่างไร นี่เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ยังมีเรื่องที่น่ากล่าวถึงอีกมากที่ควรนำมาเล่าสู่กันฟัง เป็นความรู้ที่ควรรู้อย่างยิ่ง โดยเฉพาะสื่อมวลชน และผู้ผลิตละครหรือภาพยนตร์พึงจดจำและนำไปใช้ให้ถูกต้อง
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52391