ชีวิตคือความรื่นรมย์
จาก "ชมรมนักกลอน" ถึง "สโมสรสยามวรรณศิลป์"
แม้ว่าตุลาคม 2502 ยังสดใสอยู่ในคลองความคิดของข้าพเจ้า เสมือนหนึ่งวันวานเพิ่งผ่านไป แต่พอมองดูตัวเลขทีไร ก็ใจหายทุกที
ข้าพเจ้าคิดถึงเรื่องนี้เพราะเป็นเดือนตุลาคมหนึ่ง สอง-ข้าพเจ้าเพิ่งไปร่วม "ชุมนุมน้ำ(สี)ชา" กับเพื่อนสนิทที่ทำกิจกรรมนี้ด้วยกันมา (เหมือนเมื่อ 45 ปีที่แล้ว) เมื่อวันเสาร์ก่อนนี้ สาม-มีคนรุ่นเยาว์เข้ามาถามว่าข้าพเจ้าเห็นองค์กรที่ข้าพเจ้ากับเพื่อนตั้งเป็นชมรมมาเกือบกึ่งศตวรรษอยู่แล้ว รู้สึกอย่างไรบ้างที่ชมรม ฯ ซึ่งกลายเป็นสมาคมแล้ว ยังดูเหมือนยังหายใจรวยรินอยู่
สี่พวกนักกลอน-กวียังอยู่กันดีหรือ...อ้อ...และห้า...บทกวีที่ได้รับรางวัลซีไรท์ปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง...เออ...มีคำควรตอบมากพอสมควรอยู่ไม่น้อยนะนี่...
เมื่อปี 2502นั้น ข้าพเจ้าเรียนอยู่ชั้นอักษรศาสตร์ปีที่ 4 เริ่มมีชื่อเสียงในวงการกลอนพอประมาณเพราะนอกจากมีงานกลอนลงพิมพ์ในนิตยสารต่างๆ ประปรายแล้ว อาจารย์ นิลวรรณ ปิ่นทอง (ปัจจุบันคุณนิลวรรณ ปิ่นทอง นักหนังสือพิมพ์-บรรณาธิการรางวัลแมกไซไซ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้า ฯ ให้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จัตุตถาภรณ์) ได้กรุณาให้ข้าพเจ้าไปช่วยคัดกลอนที่จะนำลงในคอลัมน์ "แววกวี" ของ "ดรุณสาร" ทำให้ข้าพเจ้ารู้จัก และได้เพื่อนรุ่นน้องอีกหลายคน
ในขณะเดียวกัน เพื่อนฝูงนักกลอนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในตอนนั้น และต่างมีคอลัมน์กลอนที่ตนดูแลอยู่ คือ วิจิตร ปิ่นจินดา (เจษฎา วิจิตร)/สนธิกาญจน์ กาญจนาสน์ และ สวัสดิ์ ธงศรีเจริญ ฯลฯ ก็มาชวนไปพบกันในการทำบุญเลี้ยงพระที่โรงพยาบาลสงฆ์ ถนนศรีอยุธยา ข้าพเจ้ากับเพื่อนสนิท 4 คนจากสำนักอักษรศาสตร์คือ มะเนาะ ยูเด็น/วินัย ภู่ระหงษ์ และโกวิท สีตลายัน ก็ไปร่วมคุยด้วย เมื่อรับประทานอาหารหลังทำบุญแล้ว เราจึงถือโอกาสคุยกัน และได้ความเห็นว่าน่าจะมีศูนย์กลางการพบปะเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ช่วยเหลือกันหรือร่วมกันจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อสนับสนุนส่งเสริมวงการกวีนิพนธ์ให้รุ่งเรือง แล้วเราก็ตกลงตามชื่อที่ มะเนาะ เสนอว่า "ชมรมนักกลอน"
ที่ตั้งเช่นนั้น เพราะเราเห็นว่าการตั้งเป็น "ชมรม" เป็นการรวมตัวกันหลวมๆ ไม่เป็นทางการ ต่อให้มั่นคงแข็งแรงแล้วจะปรับแปรเป็นอย่างไรก็แล้วแต่การณ์จะเป็นไป
ส่วนที่เราใช้ชื่อว่า "นักกลอน" นั้น เราหมายถึง "ผู้สนใจหรือเชี่ยวชาญในการแต่งบทร้อยกรอง" และไม่เรียกตนเองว่าเป็น "กวี" เพราะพวกเราเห็นตรงกันว่า กวีเป็นผู้ที่ต้องเก่ง-เชี่ยวชาญการเขียนบทกวีเป็นที่ยอมรับของคนทั่วๆ ไป และที่สำคัญที่สุดคือต้องเป็นคนอื่นเรียกด้วยความยกย่อง มิใช่เรียกตัวเองว่าเป็นกวี
ความเข้าใจเช่นนี้ ภายหลังมีคนไม่เห็นด้วย เขาเห็นว่าคนที่เขียนบทร้อยกรอง แม้ไม่เป็นบทกลอนที่มีฉันทลักษณ์อย่างกวีแต่เก่าก่อน แต่มีลีลาสำนวนโวหารเป็นเชิงกวี ก็เรียกกวีได้ ว่ากันอย่างนั้น (แม้แต่ "บทกวี" บางคนในปัจจุบันยังเรียกว่า "กวี" เหมือนกันกับตัวคนเลย)
เป็นอันว่าเราประกาศเอาวันที่ 4 ตุลาคม 2502 เป็นวันกำเนิด "ชมรมนักกลอน" โดยมีผู้ร่วมก่อตั้งที่ไปชุมนุมวันนั้น 15 คน นอกจากที่เอ่ยนามมาแล้วก็มีสุภาพสตรีที่อายุมากกว่าเราอยู่ 2-3 คนคือ คุณ นลินี อินทรกำแหง (ปัจจุบันคือ คุณนาริณี ธารประภัทร) คุณ ชยศรี สุนทรพิพิธ (ชาลี ) นักลอนและนักเขียนโด่งดังจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬา ฯ-คุณ นรี นันทวัทน์/คุณรำภีร์ สอนอำไพ (ผู้ใช้นามปากกา ช่อฟ้า บราลี มาจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬา ฯ) คุณ ศิริเพ็ญ ภิบาลกุล อีกสองสาวเป็นน้องเล็ก ดูเหมือนอยู่ชั้นเตรียมอุดมคือ พวงศรี สิงหเสนี กับ จันทร์เพ็ญ วิเชียรพันธุ์ ส่วนผู้ชายคนที่ 8 มากับ คุณสวัสดิ์ ชื่อ กวี มานะวุฒิ ไม่ปรากฏว่าว่ามีผลงานกลอนอย่างไรหรือไม่
เมื่อตอนที่เพื่อนฝูงดำเนินการ โดยชักชวนเพื่อนคนเขียนกลอนมาร่วมเป็นสมาชิก ตั้งกรรมการบริหารนั้น ข้าพเจ้าผู้บุญน้อยหรือโชคดีก็ไม่รู้ ต้องไปเป็นครูอยู่ที่นครพนมเสีย 9 ปี โดยไม่เคยสมัครเป็นสมาชิกชมรม (เพราะถือว่าเป็นสมาชิกก่อตั้ง) และไม่เคยเป็นกรรมการตำแหน่งใดเลย (เคยถูกยุให้ไปลองสมัครเป็นนายก ฯ ครั้งหนึ่งในช่วงที่เป็นสมาคมแล้ว โชคดีที่น้องๆ รุ่นหลังเขาไม่เอาด้วย รู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูก และขอบคุณด้วยความจริงใจที่ไม่ได้รับเลือกในครั้งนั้น ที่พูดนี้ด้วยความสัตย์จริง) ตลอดเวลาที่ไม่อยู่กรุงเทพ ฯ นั้น ถ้าลงมาประจวบเวลาเขาจัดประชุม-ชุมนุมหรือจัดกิจกรรม ข้าพเจ้าก็ถูกชักชวนเข้าร่วมด้วยเสมอ จึงพอรู้บ้างไม่รู้บ้าง ว่ากิจการชมรมลึกๆ เป็นอย่างไร
จนกระทั่งปี 2512 ซึ่งข้าพเจ้าลาออกจากอาชีพครู ลงมาทำงานในฝ่ายประชาสัมพันธ์บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ก็เป็นเวลาที่ "ชมรมนักกลอน "กลายเป็น" สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย" ไปแล้ว ซึ่งพวกนักกลอนอาวุโสเพื่อนร่วมอุดมการณ์กับข้าพเจ้าต่างไม่เห็นด้วย
เลยตั้งกลุ่มรวมกันทำกิจกรรมของเรา ในฐานะพวก "ชมรมนักกลอน" (เก่า)
ประมาณปี 2510-11 หลังจากประธานชมรมคือ อนันต์ สวัสดิพละกับเพื่อนๆ จัด "เรือเพลง" (ซึ่งสนธิกาญจน์ เป็นหัวเรือใหญ่มาแต่ต้น และตลอดจนเลิกไป) ได้ร่วมกันแต่งนิราศชื่อ "นิราศกรุงเก่า" กว่าจะรวบรวบ-เรียบเรียง-จัดทำบรรณาธิการสำเร็จ เราก็พบปะกันเป็นประจำ แม้เมื่อหนังสือสำเร็จแล้ว เวลามาชุมนุมเราจึงเรียกการชุมนุมนั้นว่า "ชุมนุมน้ำชา" และด้วยเหตุที่มักชุมนุมกันในวันอาทิตย์ เราจึงเรียกชื่อให้เต็มรูปว่า "ชุมนุมน้ำชาวันอาทิตย์"
กิจกรรมใน "ชุมนุมน้ำชาฯ"นั้น นอกจากจะเชิญวิทยากรหรือแขกเกียรติยศมาเป็นผู้นำสนทนา-อภิปราย-ปาฐกถาหรือโต้วาทีแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำบ่อยครั้งคือเล่นสักวา โดยเฉพาะเมื่อกรมศิลปากรหรือสถาบันการศึกษาเชิญให้ไปจัดกิจกรรมดังกล่าวเสมอๆ
การใช้ชื่อ "ชุมนุมน้ำชาวันอาทิตย์" (แถมยังตั้งคำขวัญว่า "ทำเล่นๆให้เป็นงาน"เข้าด้วย) เราก็เห็นว่าน่าจะตั้งชื่อกลุ่มให้เป็นที่น่าเลื่อมใสหน่อย เราจึงตกลงกันได้ที่ชื่อ "สโมสรสยามวรรณศิลป์" โดยอำพล สุวรรณธาดา นักร่างโครงการ (ตั้งแต่ชมรมวรรณศิลป์จุฬา ฯ เป็นต้นมา) เป็นผู้ร่างข้อบังคับเราก็ใช้ชื่อนี้ทำกิจกรรมทางวรรณกรรมของกลุ่มต่อมา
จนกระทั่ง มีคนนำผลการจัดกิจกรรมของเรา ไปเสนอคณะกรรมการจัดงานวันอนุรักษ์มรดกไทยปี 2533 สโมสร ฯ ก็ได้รับยกย่องเป็นกลุ่มเอกชนที่ไม่เป็นทางการกลุ่มหนึ่งที่มีผลงานอนุรักษ์วัฒนธรรมดีเด่น ได้รับพระราชทานโล่และเข็มที่ระลึก จากพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โดยนายกสโมสร (คือผู้เขียน) เข้ารับพระราชทาน ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณและเป็นสิริมงคลยิ่ง หาที่สุดมิได้
นอกจากนั้น ในกาลต่อๆ มา พวกเราได้รับพระมหากรุณา โปรดเกล้าฯให้เข้าเฝ้าถวายการแสดงสักวา และพวกเราหลายคนได้ตามเสด็จไปร่วมแสดงสักวาอีกหลายครั้ง
ถ้านับแต่วันกำเนิด จนถึง วันที่ 4 ตุลาคม 2547นี้ "ชมรมนักกลอน" ก็มีอายุ 45 ปีเต็ม เวลาช่างติดปีกบินได้รวดเร็วอะไรเช่นนั้น ผู้ร่วมก่อตั้งที่จากไปทีละคนตามลำดับคือ สนธิกาญจน์
วิจิตร ชยศรี โกวิท สวัสดิ์ ส่วนที่เหลือขอให้อยู่ยั้งยืนยงอยู่ด้วยกันไปนานๆ ก่อน ยังไม่ควรด่วนจากกันไปเลย
เมื่อมีคนถามถึงวงการกวี ทุกวันนี้ผู้เขียนก็ได้แต่บอกว่าแม้จะมีคนเขียนบทกวีอยู่มาก แต่การพิมพ์บทกวี-วัฒนธรรมการอ่านบทกวีในประเทศนี้ก็เป็นที่น่าเศร้า สามปีมีการประกวด "บทกวีสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน" (ซีไรท์) สักครั้งหนึ่ง ก็จะมีการพิมพ์ออกมาคึกคักสักครั้ง แต่ที่ยืนของกวีในวงวรรณกรรมไทยก็คงน่าสงสารอยู่เช่นเดิม ไม่ค่อยมีบทกวีดีๆ ออกมาให้คนอ่านชื่นใจบ่อยนัก แม้บนชั้นวางหนังสือตามร้านหนังสือ บทกวีก็หามีวางให้เห็นไม่บ่อยนัก (นอกจากฤดูส่งประกวดซีไรต์ดังว่าแล้ว) นอกจากนั้นการพิมพ์บทกวีก็เพียงออกมาเพื่อส่งเข้าประกวดมากกว่า เพราะจะพิมพ์จำนวนน้อยๆ (เนื่องจากเจ้าของสำนักพิมพ์ไม่ยอมพิมพ์ เพราะพิมพ์มากก็ขายไม่ได้ เว้นแต่ว่า เล่มใดเข้ารอบสุดท้าย พอมีคนสนใจบ้าง ยิ่งถ้าได้รับรางวัลซีไรท์ก็ขายดีหน่อย แต่ก็จะขายได้ดีอย่างของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์/จิรนันท์ พิตรปรีชา/ไพวรินทร์ ขาวงาม และ คมทวน คันธนู ฯลฯ นั้นยากแสนยาก เช่นเดียวกับที่ค่าตอบแทนก็แสนจะน่าใจหาย แม้กระทั่งเขียนฟรีทุกวันหรือทุกสัปดาห์ ก็ยังมีเลย
แม้ว่าทุกๆ ปี ในเดือนสิงหาคม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์จะจัดแข่งขันประชันกลอนมานานแล้ว ทุกปีมีนักกลอนเข้าแข่งขันทั้งนักเรียนและประชาชนก็มาก แต่ไม่ค่อยได้เห็นว่า เมื่อได้รับเงินรางวัลและโล่พระราชทาน (โล่จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ) ไปแล้ว ก็ไม่เห็นว่ามีกวีเกิดมาให้ชื่นใจบ้างเลย
ดังนั้น อย่าถามเลยว่าผู้เขียนเห็นว่าวงการกวีบ้านนี้เมืองนี้เป็นอย่างไร ก็ได้แต่บอกว่าเศร้าใจที่เมืองไทย ไม่ใคร่มีบทกวีดีๆ บนชั้นวางหนังสือเฉกเช่นหนังสือประเภทอื่นให้เลือกหยิบเลือกซื้อได้ชื่นใจเหมือนในบ้านอื่นเมืองอื่น
ดูเหมือนจะมีคำถามสุดท้ายค้างอยู่เรื่องหนึ่ง ข้าพเจ้าก็มีวิธีตอบแบบยุติคนถามได้ว่า "เล่มที่ได้รับรางวัลนั้น ยังไม่ได้อ่านเลย" แต่ว่าเคยอ่านบางชิ้นของ เรวัตร พันธุ์พิพัฒน์ ก็ดูเข้าที่อยู่ ส่วนเล่มอื่นๆ เท่าที่ได้เปิดอ่าน (เพราะซื้อมาแล้ว บางเล่ม) ก็อยากจะถามกรรมการ อย่างที่คนอ่านกลอนเป็นหลายคนที่ถามว่า
อย่าถามต่อเลยดีกว่า เดี๋ยวผิดใจกันเปล่าๆ หนังสือที่ตัวเองพิมพ์เองก็ยังค้างเงินโรงพิมพ์อยู่เลย
(ฮา..ไม่ออก)
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52227