รอบรู้เรื่องรถ
ชีวิตคนไทยราคาเท่าไร ?
ยังจำได้ว่า ตอนผมเป็นเด็กอายุยังไม่ถึงสิบขวบ ชอบเล่นแต่รถ คือขอให้เป็นรถ ไม่ว่าแบบไหนก็ชอบทั้งนั้น ถ้าบังเอิญได้ของเล่นเป็นเรือ หรือเครื่องบิน ก็ชอบน้อยหน่อย ยังจำได้ว่าเคยได้ของเล่นเป็นรถเมล์โดยสารทำจากกระดาษ ไม่หนาและไม่บาง มีความแข็งพอที่จะพับตามรอยที่เขาทำมาให้ ติดกาวแล้วก็จะกลายเป็นตัวถังรถสวยงาม ใส่ล้อแล้วก็พอเข็นเล่นได้ เอาจริงจังอะไรไม่ได้นัก เพราะเน้นความสวยงามคล้ายของจริงเนื่องจาก มีลวดลายพิมพ์ไว้เหมือนของจริงมีประตูหน้าต่าง ห้องเครื่องยนต์พร้อม มีข้อแม้อยู่อย่างเดียวขณะเล่น คือห้ามใช้ความรุนแรงจะกดจะบีบไม่ได้ทั้งนั้น เพราะเจ้าส่วนต่างๆ ของรถเมล์กระดาษนี้มันจะหัก งอ ยุบบู้บี้ได้ทันที
ทุกครั้งที่เห็นรถเมล์โดยสาร และ "รถทัวร์" ของไทยเราพลิกหงาย หรือเสียหลักกลิ้งตกจากถนนไม่ว่าจะเป็นเหว หรืออะไรก็ตามที่ไม่ถึงกับลึกชันขนาดเหว ผมจะนึกถึงรถเมล์กระดาษในอดีตของผมขึ้นมาทันที เพราะมีความอ่อนแอไม่แตกต่างกัน หลังคาจะบี้แบนบดขยี้ผู้โดยสารจนตายกันเป็นเบือ เป็นการตายหรือบาดเจ็บโดยไม่จำเป็นเลยครับ เพราะที่จริงแล้ว หน้าที่ของหลังคาซึ่งนอกเหนือไปจากการกันแดด ลม ฝนแล้ว ก็คือการคุ้มภัยให้ผู้โดยสารกรณีที่รถพลิกหงายไปกระแทกกับอะไรก็ตาม โดยเฉพาะ "รถทัวร์" และรถโดยสารแบบที่ใช้ส่วนล่างสำหรับใส่สัมภาระของผู้โดยสาร
หลังจากอ่านเรื่องนี้แล้ว ลองคอยรถเหล่านี้ตามท้องถนนดูสิครับ จะเห็นว่าส่วนบนระดับเดียวกับที่ผู้โดยสารนั่ง เป็นกระจกเกือบทั้งหมด ไม่มีเสาหลังคาที่แท้จริงเลย ที่เรามองเห็นเสมือนเสาหลังคาเส้นเล็กๆ ระหว่างกระจกนั้น ที่จริงก็คือกรอบสำหรับยึดกระจกให้ติดอยู่ได้เท่านั้นเอง
นี่คือผลพวงของการ "ทำได้" แทนที่จะ "ทำเป็น" ครับ คือพวกเราต่อรถโดยสารได้ ให้มองดูเหมือนรถโดยสาร แต่ไม่ใช่รถโดยสารตามมาตรฐานสากล ซึ่งมีโครงสร้างที่ให้ความปลอดภัยเพียงพอ เป็นหน้าที่โดยตรงของกรมการขนส่งทางบกครับ ในการออกกฎควบคุมมาตรฐานโครงสร้างของรถโดยสารเหล่านี้ โครงสร้างของตัวถัง ซึ่งยึดติดกับโครงรถหรือแชสซีส์ ต้องมีความแข็งแกร่งเพียงพอ โดยเฉพาะเสาหลังคา จะต้องทำด้วยเหล็กขนาดเพียงพอ เนื้อควรจะเป็นแบบกึ่งเหล็กสปริง เพื่อไม่ให้พับงอได้ง่าย กรณีที่พลิกหงายหรือตกจากถนน ช่างไทยเราบัญญัติศัพท์แทนเหล็กสปริงไว้ว่า "เหล็กเป็น" ซึ่งหมายถึงการคืนรูปเดิมได้ ถ้าหมดแรงที่กระทำต่อมัน เป็นศัพท์ที่ดีมากคำหนึ่งครับ เสาหลังคาจริงนี้ จะต้องมีจำนวนเพียงพอเป็นช่วงตั้งแต่หน้ารถถึงท้ายรถ เพื่อป้องกันอันตรายต่อผู้โดยสารได้ทั่วถึงโดยให้มีระยะไม่ห่างกันเกินไป และต้องถูกยึดตรึงกับโครงรถด้วย
เท่าที่ผมเคยเห็นในรูปและจากจอโทรทัศน์ ก็เป็นจำนวนคนตายหลายร้อยคนแล้วครับ เพราะรถ "หลังคากรอบ" เหล่านี้ น่าจะเป็นเพียงหนึ่งในร้อยส่วนของที่เกิดขึ้น นั่นหมายความว่ามีคนต้องตายเพราะรถโดยสารไร้มาตรฐานเหล่านี้หลายพันคนแน่นอนครับ ผมนับเฉพาะจากการพลิกหงายหลังคากระแทกพื้นเท่านั้น ยังไม่รวมสาเหตุอื่นๆ ทั้งสิ้น
ย่าลืมศูนย์ล้อหลัง
ถ้าเอ่ยคำว่า "ตั้งศูนย์" หรือ "ตั้งศูนย์ล้อ" พวกเราก็จะนึกถึงล้อหน้ากันเสมอ โดยลืมไปว่าล้อหลังก็มี "ศูนย์" เหมือนกัน และต้องการปรับตั้งเช่นเดียวกับล้อหน้าถ้ามันคลาดเคลื่อนไปจากค่าที่ผู้ผลิตรถเขากำหนดไว้
เชื่อไหมครับว่า ศูนย์ล้อหลังสำคัญพอๆ กับศูนย์ล้อหน้า หรือไม่ก็อาจจะสำคัญกว่า เพราะในบางกรณี ศูนย์ล้อหลังที่ผิด ทำให้การทรงตัวของรถแย่กว่าตอนศูนย์ล้อหน้าผิดอีกครับ เป็นเหตุผลทางเรขาคณิตธรรมดานี่เอง มุมที่ล้อหลังเลี้ยวเพียงเล็กน้อย สามารถทำให้รถเลี้ยวได้มากสังเกตได้จากตอนขับรถถอยหลังในแนวตรง ขยับพวงมาลัยเพียงนิดเดียว รถจะเปลี่ยนทิศทางเร็วมาก ใครที่จะถอยหลังเร็วมากๆ ต้องละเอียดและชำนาญพอนะครับ
เนื่องจากล้อหลังไม่ได้ทำหน้าที่เลี้ยว จึงไม่มีค่ามุมคิงพิน และค่าแคสเตอร์ ค่าที่จะต้องตั้งมีเพียง โท และแคมเบอร์เท่านั้น ค่าโทคือค่าที่บอกว่าล้อเลี้ยวเข้าหรือเลี้ยวออก เป็นค่าที่สัมพันธ์กันด้วยระหว่างล้อซ้ายและล้อขวา ค่ารวมถูกต้องแล้วยังไม่พอนะครับ ค่าทั้งสองข้างควรเท่าหรือใกล้เคียงกันด้วย ถ้าค่ารวมถูกต้อง แต่ค่าแต่ละล้อต่างกันมาก เวลาแล่นทางตรง ตัวรถจะไม่เป็นแนวเดียวกับที่รถเคลื่อนที่ครับ ใครที่ขับตามหลังจะสังเกตได้ทันที คือตัวรถเฉียงแต่เคลื่อนที่ตรงไปตามแนวถนน ถ้าตัวรถตรงกับแนวที่เคลื่อนที่ (ก็คือค่าโทซ้ายและขวา)
ส่วนค่าแคมเบอร์ จะบอกว่าล้อแบะหรือหุบเพียงใด ถ้ายืนอยู่หลังรถแล้วมองล้อหลัง มุมแคมเบอร์จะเป็นศูนย์ ถ้าล้อตั้งฉากกับผิวถนนพอดี ถ้าด้านบนของล้อทั้งสองข้าง อยู่ใกล้กันมากกว่าด้านล่าง (ส่วนที่สัมผัสถนน) เราเรียกว่าล้อแบะ มุมแคมเบอร์จะมีค่าเป็นลบครับ มุมแคมเบอร์เป็นบวกของล้อหลังน่าจะสูญพันธุ์ไปแล้วนะครับ เพราะให้โทษมากกว่าให้คุณ
สมัยก่อนต้องใช้เพราะระบบรองรับแบบเก่าๆ ตั้งหลักตอนไม่บรรทุกน้ำหนักของผู้โดยสาร ด้วยแคมเบอร์เป็นบวก คือล้อหุบ ไม่อย่างนั้น พอบรรทุกเต็มที่ล้อจะแบะเกิน ช่วงล่างรุ่นใหม่ ไม่มีปัญหานี้อีกต่อไปแล้ว
ค่าโทที่ผิด จะส่งผลต่อการทรงตัวมากกว่าค่าแคมเบอร์ที่ผิดครับ
รถขับเคลื่อนล้อหน้าเกือบทั้งหมด จะมีช่วงล่างหลังแบบปรับศูนย์ล้อได้ พวกที่ปรับไม่ได้ (คือไม่ต้องปรับ เพราะไม่มีอะไรให้ปรับ) จะเป็นรถรุ่นราคาถูก หรือไม่ก็ใช้แบบคานแข็ง ส่วนรถขับเคลื่อนล้อหลังยุคนี้ ก็มักเป็นรถราคาสูงแทบทั้งนั้น มีที่ปรับศูนย์ล้อหลังแทบทุกรุ่นครับ เพราะเป็นรถทำความเร็วได้สูง ตัวอย่างพวกขับล้อหน้าที่ปรับศูนย์ล้อหลังได้ คือ โตโยตา เกือบทุกรุ่น มาซดา ฮอนดา และนิสสันหลายรุ่น ฯลฯ ส่วนรถขับเคลื่อนล้อหลังก็พวกรถจากเยอรมนี ส่วนพวกขับเคลื่อน 4 ล้อไม่ต้องสงสัยครับ ทั้งญี่ปุ่นและฝรั่ง ปรับศูนย์ล้อได้เสมอ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52223