พิเศษ(formula)
ใช้รถอย่างไรให้ประหยัดน้ำมัน ?
วิกฤตการณ์น้ำมันแพง ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนไทย และทุกครั้งเราก็จะได้ยิน (และปฏิบัติตาม) มาตรการ "ประหยัด" ของรัฐบาล ซึ่งเข้าทีบ้าง ไม่เข้าท่าบ้าง อย่างไรก็ตาม เราซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินซื้อน้ำมันโดยตรง ควรรู้วิธีการใช้เชื้อเพลิงอย่างประหยัด และได้ประสิทธิภาพมากที่สุด โดยไม่ต้องรอให้เกิดวิกฤตการณ์ขึ้นมาก่อน ซึ่ง "ฟอร์มูลา" มีข้อแนะนำดังนี้
วางแผนเดินทางล่วงหน้า
ก่อนเดินทาง ต้องวางแผนล่วงหน้า พยายามใช้ระยะทางให้น้อยที่สุด แต่ต้องคำนึงถึงสภาพการจราจร ในแต่ละเส้นทางด้วย แม้ระยะทางสั้น แต่รถติดอย่างหนัก จะเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่าการใช้ทางที่ขับในเกียร์สูงได้ แม้จะเสียค่าธรรมเนียมทางด่วน บางครั้งอาจคุ้มกว่า ใช้หลักง่ายๆ อย่างไม่เป็นทางการในการประเมินการใช้น้ำมันว่า บนทางด่วน รถของเราจะใช้น้ำมันประมาณครึ่งหนึ่งของการขับตอนรถติด เช่น บนทางด่วนได้ 10 กม./ลิตร อยู่ข้างล่างที่รถติดก็จะได้เพียง 5 กม./ลิตร หรืออาจไม่ถึงถ้ารถติดมากๆ
ลดน้ำหนักรถ
สัมภาระในรถควรมีแต่ของที่จำเป็นต้องใช้เท่านั้น อะไรที่ไม่จำเป็น ให้เอาออกไปเก็บไว้ที่บ้านหรือทิ้งไปครับ เพราะเราต้องใช้เชื้อเพลิงในการเร่งทุกครั้ง รถยนต์ที่มีมวล หรือน้ำหนักมากย่อมต้องใช้เชื้อเพลิงมากตามไปด้วย
ไม่ต้องอุ่นเครื่อง
เริ่มจากออกรถในตอนเช้า ต้องไม่มีการอุ่นเครื่องยนต์เด็ดขาด ซึ่งนอกจากจะเปลืองเชื้อเพลิงโดยเปล่าประโยชน์แล้ว ยังเพิ่มสารพิษ (ซึ่งมีมากขณะเครื่องยนต์เย็น) และยังทำให้เครื่องสึกหรอกว่าที่ควรด้วย ทั้งนี้เพราะเครื่องยนต์ที่เริ่มสตาร์ท และปล่อยให้ทำงานที่รอบเดินเบาโดยไม่มีโหลด (LOAD) จะร้อนช้ามาก เราต้องทำให้เครื่องยนต์ร้อนเร็วที่สุดเพื่อให้น้ำมันเครื่องใสขึ้น (คือข้นน้อยลง) จะได้เป็นฝอยกระจายไปหล่อลื่นผนังกระบอกสูบได้ดี นอกจากนี้เวลาเครื่องยนต์เย็น ระบบโชคอัตโนมัติจะปล่อยน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้ไอดีเข้มข้นเป็นพิเศษ แม้เครื่องยนต์ระบบหัวฉีดก็จะฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทำให้เกิดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
สรุป การอุ่นเครื่องให้โทษ 4 ประการพร้อมกัน คือ เครื่องยนต์สึกหรอเกินควร สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพ และเกิดไอเสียสารพิษเข้มข้นให้เราต้องหายใจเข้าไปโดยไม่จำเป็น
ติดเครื่องแล้ว จึงคาดเข็มขัดครับ จัดข้าวของที่ติดมือมาด้วย (ถ้ามี) ให้เข้าที่เข้าทาง ตรวจระดับเชื้อเพลิง ตรวจมุมกระจกหลังทั้ง 3 บาน ว่าอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งจะกินเวลาประมาณ 10 วินาทีเศษ เครื่องยนต์ก็พร้อมถูกใช้งานพอดีครับ ใส่เกียร์แล้วออกรถได้เลย
ขับให้ประหยัด
รถที่ใช้ระบบเกียร์ธรรมดา ควรออกรถด้วยความเร็วรอบของเครื่องยนต์ต่ำสุดโดยไม่สะท้านหรือดับถอนคลัทช์ขึ้นมา ช่วงที่รถเริ่มเคลื่อนตัวให้ยั้งการถอนคลัทช์ไว้อึดใจหนึ่งครับ แค่ประมาณ 1 วินาทีเศษเท่านั้น เพราะช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ผ้าคลัทช์กำลังเสียดสีกับฟลายวีลและผ้ากดคลัทช์ รถจะเคลื่อนตัวเร็วเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย จากนั้นถอนคลัทช์ให้สุดอย่างรวดเร็ว แล้วเหยียบคันเร่งให้ลึกเพื่อเร่งความเร็วราวๆ 50-75 % ของระยะทั้งหมด (อย่าเชื่อตำราเก่าที่บอกให้เหยียบแผ่วๆ ตื้นๆ) เราจะได้อัตราเร่งที่ดีโดยไม่ต้องใช้เวลามาก พอรอบเครื่องยนต์อยู่ที่ประมาณกว่า 2,000 รตน. รีบเปลี่ยนเกียร์สูงถัดไปทันที จากนั้นเหยียบคันเร่งลึกเช่นเดิม เมื่อเกิน 2,000 รตน. ก็เปลี่ยนเกียร์ถัดไปหรือจะใช้วิธีเลือกจังหวะเปลี่ยนเกียร์ตอนไหน ให้ถือหลักใช้รอบเครื่องยนต์ให้ต่ำที่สุด เมื่อเปลี่ยนไปเกียร์สูงสุดถัดไปแล้วเครื่องยนต์ไม่สะท้านเป็นตัวตัดสิน รถเครื่องใหญ่จะใช้เกียร์สูงที่ความเร็วรอบเครื่องยนต์ต่ำมากได้โดยไม่สะท้าน และทำเช่นนี้ไปทุกเกียร์จนถึงเกียร์สูงสุด (เช่นเกียร์ 5)
หรือจะสรุปให้เข้าใจง่ายๆ ต่อการปฏิบัติว่า "ให้เร่งอย่างแรงแต่อย่านาน รีบเปลี่ยนไปเกียร์สูงถัดไป" "ใช้เกียร์สูงสุดเท่าที่จะทำได้โดยเครื่องยนต์ไม่สะท้าน" หาทางใช้เกียร์สุดท้ายให้ได้ครับ อย่าแช่อยู่ที่เกียร์ 3 หรือ 4 แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ
สำหรับ การขับรถเกียร์อัตโนมัติให้ประหยัดนั้น แทบไม่ต้องทำอะไรมาก ให้ขับอย่างนุ่มนวลอย่ารุนแรงหรือกระแทกคันเร่ง ก็จะประหยัดในตัวอยู่แล้ว แม้จะเป็นเกียร์อัตโนมัติที่มีระบบเลือกเกียร์ตามความเหมาะสม แต่เราที่เป็นผู้ขับก็ยังมีส่วนร่วมในการควบคุมอยู่ดี ถ้าต้องการให้ได้อัตราเร่งดีพอสมควรในระดับที่ไม่ทำให้ผู้ที่ขับตามหลังรำคาญและยังประหยัดเชื้อเพลิง ให้เหยียบคันเร่งลึกพอสมควร เช่นประมาณไม่ถึงครึ่งหนึ่งของระยะทั้งหมด พอรถเพิ่มความเร็วพอประมาณในจังหวะเกียร์ 1 แล้ว ให้ถอนคันเร่งเล็กน้อยครับ เกียร์จะเปลี่ยนเป็นจังหวะที่ 2 ทันที แล้วเหยียบคันเร่งเพิ่ม ให้ความเร็วรอบของเครื่องยนต์ขึ้นมาถึงย่านปานกลางประมาณ 2,500-3,000 รตน. แล้วรีบถอนคันเร่งขึ้นมาพอสมควรแต่ไม่ถึงกับถอนจนสุด ระบบควบคุมจะเปลี่ยนไปเกียร์สูงสุดถัดไปทันที
เหยียบคันเร่งเพิ่มขึ้นจนความเร็วรอบเครื่องยนต์ถึงย่านปานกลางเช่นเดิม แล้วถอนคันเร่งแบบเดิม ทำเช่นนี้จนมาถึงเกียร์สูงสุด หรือตามแต่สภาพการจราจรจะอำนวย
ส่วนรถที่มีลอคอัพคลัทช์ ซึ่งทำงานโดยส่งกำลังเครื่องยนต์ถึงเพลาขับโดยไม่ผ่านทอร์ค คอนเวอร์เตอร์เพื่อประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง พอถึงเกียร์สูงสุด ต้องเพิ่มความเร็วให้พอจนระบบนี้ทำงานด้วย สังเกตได้ง่ายจากการที่ความเร็วรอบของเครื่องยนต์จะลดลงเล็กน้อย มีวิธีการตรวจสอบโดยลองเหยียบคันเร่งให้ลึกลงไปอีกเล็กน้อย จะเห็นว่าเข็มความเร็วรอบจะไม่สะบัดหรือสวิงขึ้นเหมือนก่อนที่ลอคอัพคลัทช์จะทำงาน ถ้าต้องการแซงแล้วมีเวลารวมทั้งระยะทางเพียงพอ ให้เหยียบคันเร่งลึกลงพอประมาณ เพราะถ้าเหยียบลึกเกิน ระบบจะปลดลอคอัพคลัทช์ทันที ส่วนจะเหยียบลึกมากเท่าไรให้ดูความปลอดภัยเวลาแซงเป็นหลัก
ทั้งเกียร์อัตโนมัติ และธรรมดา พอถึงเกียร์สุดท้าย (ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติลอคอัพคลัทช์ทำงานแล้วด้วย) ให้ใช้หลักยิ่งช้ายิ่งประหยัด ความเร็วประมาณ 60-70 กม./ชม. เหมาะที่สุดสำหรับผู้ที่เน้นความประหยัด
มีวิธีประมาณง่ายๆ ว่าเพิ่มความเร็วขึ้น 10 % จะเปลืองเชื้อเพลิงขึ้น 20 % หรือลดความเร็วลงไป 10 % ก็จะลดความเปลืองเชื้อเพลิงลงถึง 18-19 % เลยนะครับ ความเข้าใจที่ว่า ถ้าขับเร็วก็จะถึงเร็ว จึงเป็นเวลาที่สั้นกว่าที่เครื่องยนต์ต้องทำงานนั้นไม่ถูกต้องครับ เพราะแรงต้านอากาศแปรตามค่าความเร็วยกกำลังสอง ที่ย่านความเร็วต่ำจะไม่ส่งผลมากนัก เช่น ความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ 80 กม./ชม. จะสูงกว่า 60 กม./ชม. (ในเกียร์ 5 เหมือนกัน) เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ที่ความเร็ว 160 กม./ชม. จะต่างจากที่ 140 กม./ชม. มากทีเดียว ทั้งๆ ที่ส่วนต่างของความเร็วมีค่า 20 กม./ชม. เท่ากัน ทั้งนี้เพราะค่าความเร็วยกกำลังสองในแรงต้านอากาศของรถซึ่งเราต้องใช้เชื้อเพลิงไปทดแทนนั่นเอง
ถ้าไม่จำเป็น ขับช้าไว้ ได้ทั้งความประหยัดและปลอดภัยครับ แต่ที่สำคัญต้องคำนึงถึงการสภาพจราจรรอบข้างด้วย แม้จะไม่รีบร้อน ถ้าอยู่บนทางด่วนหรือทางหลวงจังหวัด ที่เรารู้สึกว่า ชาวบ้านเขาจะ "เสียขบวน" เดือดร้อนกันหลายคัน เพราะเราขับที่ความเร็วเพียง 65 กม./ชม. สามารถเพิ่มเป็น 75-80 กม./ชม. ได้ครับ โดยความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจะต่างกันน้อยมาก ได้ทั้งความสบายใจ และสมเหตุสมผลถูกต้องด้วย เพราะถนนหลวงไม่ใช่ของเราคนเดียว ถ้าจะขับช้าต้องอยู่ช่องทางด้านซ้ายเสมอครับ เหลือช่องทางด้านขวาให้รถที่วิ่งเร็วกว่าได้ใช้งาน
บำรุงรักษาสม่ำเสมอ
วิธีบำรุงรักษาเริ่มตั้งแต่ ไส้กรองอากาศ ซึ่งมีผลต่อกำลังของเครื่องยนต์ ถ้าถูกอุดตันมากอากาศจะไหลผ่านได้ยาก กำลังเครื่องยนต์จะตก ยิ่งถ้าเป็นรถเกียร์อัตโนมัติ จังหวะเปลี่ยนเกียร์และความนุ่มนวลขณะเกียร์เปลี่ยนจังหวะจะแปรปรวนไปหมด เพราะระบบความคุมจะใช้สัญญาณจากระยะที่ลิ้นคันเร่งเปิด เป็นข้อมูลในการเลือกจังหวะเกียร์ด้วย
ส่วนน้ำมันเครื่องก็ควรเปลี่ยนถ่ายตามระยะ เพราะน้ำมันเครื่องเสื่อมคุณภาพทำให้เกิดการสึกหรอของชิ้นส่วนเคลื่อนไหวทุกชนิดภายในเครื่องยนต์ เมื่อการหล่อลื่นทำได้น้อยลง ความผืดของชิ้นส่วนต่างๆ ทำให้เกิดการสิ้นเปลื่องเชื้อเพลิง เพราะต้องใช้แรงเพิ่มขึ้นในการทำให้ชิ้นส่วนต่างๆ เคลื่อนไหว
ต่อมาคือการปรับตั้งวาล์วและองศาจุดระเบิดให้ถูกต้อง หัวใจของความประหยัด ไม่ได้อยู่ที่ระบบจ่ายเชื้อเพลิง แต่เป็นจังหวะจุดระเบิดหรือ (IGNITION TIMING) เพราะถ้าส่วนผสมถูกต้อง แต่ถ้าจุดระเบิดในจังหวะที่สวนทางต้านกับลูกสูบ หรือตอนที่ลูกสูบวิ่งลงด้านล่าง จะไม่ได้พลังงานในรูปของความดันแกสในกระบอกสูบมาใช้อย่างเต็มที่ จังหวะจุดระเบิด จึงมีผลโดยตรงต่อกำลัง และความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ความดันลมยาง เป็นตัวการสำคัญอีกอย่างของความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง โดยเฉพาะที่ความเร็วต่ำ เช่นการใช้งานในเมือง แรงเสียดทานของยางที่มีต่อพื้นผิวถนนจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความดันลมยาง โดยเติมตามกำหนดในคู่มือใช้รถ
ศูนย์ล้อเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญ เพราะรถที่เลี้ยวเข้า (โท-อิน) มากเกินไป จะทำให้เกิดแรงต้าน และเปลืองเชื้อเพลิงได้เหมือนกัน และยังทำให้ยางสึกเร็วกว่าที่ควรหลายเท่าตัว
หากปฏิบัติตามวิธีที่เราแนะนำรับรองว่าจะสามารถลดรายจ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิงต่อเดือนไปไม่น้อยทีเดียว
ทางเลือกใหม่ เพื่อการประหยัด
แกส เอนจีวี
รัฐบาลส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกใหม่ เพื่อทดแทนการใช้น้ำมัน โดยเฉพาะ เอนจีวี (NGV: NATURAL GAS VEHICLE) หรือ แกสธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในยานยนต์ โดย เอนจีวีมีส่วนประกอบหลัก คือ แกส มีเธนที่มีคุณสมบัติเบากว่าอากาศ ส่วนใหญ่จะมีการใช้งานอยู่ในสภาพเป็นแกสที่ถูกอัดจนมีความดัน 3,000 ปอนด์/ตารางนิ้ว เก็บไว้ในถัง โดยเรียกว่า ซีเอนจี (CNG: COMPRESSED NATURAL GAS ) หรือ แกสธรรมชาติอัด
ปัจจุบัน แกส เอนจีวี มีให้ใช้กับรถแทกซี รถโดยสารขสมก. และรถบรรทุก โดยได้ทำการทดลองใช้กับรถ แทกซี จำนวน 1,700 คัน รถยนต์ส่วนบุคคล 186 คัน รถโดยสาร เอนจีวี ขสมก. 82 คัน รถใช้งานกรมอู่ทหารเรือ 21 คัน คิดเป็นปริมาณการใช้ เอนจีวี 2 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน
สำหรับรถที่จะใช้แกสธรรมชาติ เอนจีวี จะต้องเสียค่าติดตั้งอุปกรณ์ 62,000 บาท ซึ่งจากการวัดค่าความประหยัดจากรถแทกซีที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เฉลี่ย 500 กม.จะประหยัดกว่าการเติมน้ำมันประมาณวันละ 400 บาท
ส่วนสถานีบริการแกสธรรมชาติ มีกำหนดการก่อสร้างภายในปี 2551 จำนวน 120 สถานี ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนรถที่ใช้ประมาณ 44,500 คัน
แกสโซฮอล
แกสโซฮอล เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จากการผสมระหว่าง เอทานอล หรือ เอธิล แอลกอฮอล์ ( ETHYL ALCOHOL) ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์ ที่ได้จากการแปรรูปพืชจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น อ้อย ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ซึ่งมีความบริสุทธิ์ 99.5 % โดยปริมาตร ผสมกับ น้ำมันเบนซินชนิดธรรมดาไร้สารตะกั่ว (URL 91) ในอัตราส่วนเบนซิน 9 เอธานอล 1
แกสโซฮอล ที่ผลิตออกมา มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับ เบนซินพิเศษ ไร้สารตะกั่ว 95และสามารถเติมผสมกับน้ำมันที่เหลือในถังได้เลย โดยไม่ต้องรอให้น้ำมันหมดถังและผู้ใช้รถไม่ต้องปรับแต่งเครื่องยนต์แต่อย่างใด
ปัจจุบัน แกสโซฮอล มีให้บริการที่สถานีน้ำมันบางจาก และ สถานีน้ำมันของ ปตท. ซึ่งราคาถูกกว่าน้ำมันออคเทน 95 ลิตรละ 50 สตางค์
ไบโอดีเซล
ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำน้ำมันพืชชนิดต่างๆ หรือน้ำมันสัตว์มาสกัดเอายางเหนียวและสิ่งสกปรกออก และนำไปผ่านกระบวนการทางเคมี โดยเติมแอลกอฮอล์ เช่น เอธานอล หรือ เมธานอลและตัวเร่งปฏิกิริยา เช่นโซเดียมไฮดรอกไซด์ ภายใต้สภาวะที่มีอุณหภูมิสูง ทำให้ได้น้ำมันไบโอดีเซล
ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำมันดีเซลมาก สามารถนำไปเติมเครื่องยนต์ดีเซลได้ทุกชนิดทั้งเติมโดยตรงและผสมลงในน้ำมันดีเซล 20 %
ไทยไบโอเบนซิน
ผลิตโดยการนำข้าว หรือพืชชนิดต่างๆ มาตากแห้ง แล้วนำไปผ่านกระบวนการทางเคมี จึงนำมากลั่นเป็นน้ำมัน แล้วเติมเอธานอลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ ถือเป็นเบนซินสังเคราะห์ ที่ผลิตจากวัตถุดิบทางการเกษตร 100 % ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนน้ำมันเบนซิน 91 และ 95 แต่ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนา
ยางประหยัดน้ำมัน
ยางประหยัดน้ำมัน มิเชอแลง เอเนอร์จี เอกซ์เอม วัน ที่ใช้เทคโนโลยี ผสมสารซิลิคา ลงในเนื้อยางแทนคาร์บอน แบลค ซึ่งทำให้สูญเสียพลังงานน้อยลง เวลาเราเหยียบคันเร่ง จะเกิดพลังงานขึ้นมา แต่กว่าพลังงานจะไปถึงยางต้องสูญเสียไปกับสภาวะ เช่น เครื่องยนต์กลไกต่างๆ การต้านลมของตัวรถ และอื่นๆ
มิเชอแลง ได้ทำการทดสอบทั้งในห้องทดลอง และสภาพถนนจริง โดยทดสอบแบบเดียวกันทั้งระดับคันเร่ง ลมยาง เครื่องยนต์ อุณหภูมิใกล้เคียงกัน สภาวะอากาศใกล้เคียงกัน ซึ่งผลการทดสอบสามารถประหยัดเชื้อเพลิงได้ราว 5-10 %
อุปกรณ์ช่วยประหยัดน้ำมัน
ขณะนี้มีผู้ผลิตอุปกรณ์ช่วยประหยัดน้ำมันหลายชนิดออกมามาจำหน่าย ตั้งแต่อุปกรณ์ปรับอุณหภูมิน้ำมันให้เหมาะสมกับการจุดระเบิด (สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล) หรืออุปกรณ์สร้างกระแสลมหมุนก่อนเข้าห้องเผาไหม้ หรือแม่เหล็กจัดเรียงโมเลกุลน้ำมัน รวมถึงอุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์เพิ่มปริมาณออกซิเจนในอากาศก่อนเข้าห้องเผาไหม้ ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนการตัดสินใจ ว่าคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือไม่ และที่สำคัญใช้งานได้จริง ตามที่โฆษณาไว้หรือไม่ แต่ส่วนใหญ่จะไม่เป็นจริงตามโฆษณาหรือไม่คุ้มกับเงินที่เสียไป (เก็บเงินเอาไว้เติมน้ำมันดีกว่า)
ขอบคุณ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เอื้อเฟื้อสถานที่ในการถ่ายภาพประกอบ
ABOUT THE AUTHOR
ก
กองบรรณาธิการ
ภาพโดย : เกรียงศักดิ์ ปันสม/ราชวัตร แสงจันทรานิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : พิเศษ(formula)