สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
จอห์น ฟิงค์
ตั้งแต่เริ่มเข้ามาในประเทศไทย ฟอร์ด มีการลงทุนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้สินค้า การบริการ รวมถึงสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
"ฟอร์มูลา" สัมภาษณ์พิเศษ จอห์น ฟิงค์ รองประธานอาวุโส ฝ่ายการตลาด การขาย และบริการ ฟอร์ด ประเทศไทย
ฟอร์มูลา : คุณมองว่าแนวโน้มของอุตสาหกรรมยานยนต์ในเมืองไทยจะเป็นอย่างไร ?
จอห์น : อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเติบโตอย่างมาก คาดว่าในปี 2553 จะมียอดขายถึง 1 ล้านคัน บรรยากาศการลงทุนดี ซึ่งไม่ใช่เฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์เพียงอย่างเดียว และเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เนื่องจากมีการเปิดเขตการค้าเสรีเพิ่มมากขึ้น เป็นปัจจัยให้เศรษฐกิจไทยเติบโต นับว่าเป็นแนวโน้มที่ดี รถพิคอัพมีส่วนแบ่งการตลาดถึง 60 % ซึ่งเป็นตัวชี้การเติบโตของตลาดเมืองไทย และตลาดที่น่าจับตามองอีกตลาดหนึ่งก็คือตลาดรถเล็ก กับตลาดรถเครื่องยนต์ขนาดเล็ก ที่จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ฟอร์มูลา : การเติบโตของ ฟอร์ด จะเป็นไปในแนวทางใด ?
จอห์น : การเติบโตของ ฟอร์ด ประเทศไทย จะเน้นการลงทุนใน 3 ประเด็นหลัก คือ การลงทุนในเรื่องการพัฒนาบุคลากร การขยายดีเลอร์ อีกอย่างหนึ่งคือเรื่องของสินค้าที่จะเน้นคุณภาพเป็นหลัก นอกจากนี้ยังเน้นในเรื่องความพึงพอใจของลูกค้าที่มีกระบวนการอย่างมากในเรื่องนี้
การวัดความพึงพอใจของลูกค้า ฟอร์ด ทำทุกเดือน และการทำเป็นไตรมาส ก็ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยปีที่แล้วดีขึ้น 10 % และในปีนี้ตั้งเป้าให้ดีขึ้นอีก 20 % ซึ่งจะมีการวัด 2 ส่วน คือ ก่อนซื้อและการบริการหลังการขาย
ทั้งนี้ผู้จำหน่าย ฟอร์ด ที่จะได้รับรองตามโครงการ BLUEOVAL CERTIFIED จะต้องมีโชว์รูมและศูนย์บริการที่ได้ตามมาตรฐาน บริการ BRAND@RETAIL ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ทั่วโลก สำหรับเป็นมาตรฐานในการจัดตกแต่งโชว์รูมและศูนย์บริการ ฟอร์ด โดยสามารถสะท้อนความเป็น
ฟอร์ด ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งการจัดแสดงยานยนต์ การตกแต่งภายในโชว์รูม และศูนย์บริการ
และ QUALITYCARE คือการยกระดับการบริการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สามารถให้บริการที่ดีและน่าประทับใจมากที่สุดสำหรับลูกค้า ซึ่งมีกระบวนการมาตรฐาน 12 กระบวนการ และจะทำให้ลูกค้ารู้สึกได้ถึงความแตกต่างในด้านความแม่นยำ ความเชื่อมั่นวางใจบริการ รวมถึงการต้อนรับที่อบอุ่นของพนักงานที่ได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี ผู้จำหน่ายต้องมีทีมช่างผู้ชำนาญที่มีจำนวนเพียงพอและต้องมีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับทีมบริการลูกค้าเพื่อให้ดำเนินการตามกระบวนการมาตรฐานทั้งหมดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยขณะนี้มีผู้จำหน่าย ฟอร์ด ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน QUALITYCARE และโครงการ BLUEOVAL CERTIFIED แล้ว 14 แห่ง ส่วน BRAND@RETAIL ได้ปรับปรุงแล้ว 4 แห่ง คือ พิษณุโลก/ลำปาง/เพชรบุรี และราชบุรี และอยู่ระหว่างดำเนินการอีก 38 แห่ง
ฟอร์มูลา : การปรับโฉมโชว์รูมใหม่นี้เป็นการลงทุนของใคร ?
จอห์น : การลงทุนในเรื่องการก่อสร้างจะเป็นของดีเลอร์ ฟอร์ด จะช่วยในเรื่องการออกแบบการเลือกวัสดุอุปกรณ์ เพื่อให้ได้ราคาที่เหมาะสม และให้มีมาตรฐานเดียวกัน ส่วนดีเลอร์เดิมการปรับเปลี่ยนโฉมใหม่ก็จะเป็นการลงทุนของดีเลอร์
ฟอร์มูลา : นอกจากการปรับโฉมโชว์รูมใหม่ จะมีการขยายดีเลอร์เพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ ?
จอห์น : การขยายดีเลอร์จะเน้นไปที่ การปรับโฉม การขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นรวมถึงการแต่งตั้งดีเลอร์ใหม่ ทั้งนี้เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่การให้บริการ ซึ่ง ฟอร์ด ตั้งเป้าไว้ทั้งหมด 120แห่ง จากปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 91 แห่ง
ฟอร์มูลา : เมื่อมีความพร้อมในเรื่องของดีเลอร์แล้ว คุณวางแผนเรื่องของสินค้าไว้อย่างไร ?
จอห์น : ฟอร์ด ลงทุนถึง 2 หมื่นล้านบาท ในประเทศไทย ดังนั้นในเรื่องของสินค้า ฟอร์ด มีแผนการผลิตสินค้าใหม่เข้ามาบุกตลาดอย่างแน่นอนในช่วง 2 ปีข้างหน้านี้ ส่วนปัจจุบันในรุ่นที่จำหน่ายอยู่ก็มีการปรับโฉมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรถเก๋ง รถพิคอัพหรือรถกิจกรรมกลางแจ้ง ซึ่งจะเห็นว่ามีการเคลื่อนไหวตลอดเวลาให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ
ฟอร์มูลา : ในเรื่องกลยุทธ์การแข่งขัน ฟอร์ด วางแผนไว้อย่างไร ?
จอห์น : สินค้าแต่ละตัวมีความแตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามสินค้าของ ฟอร์ด ออกแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เช่น รถพิคอัพ เน้นความสะดวกสบายภายใน รถกิจกรรมกลางแจ้งเน้นความเป็นสปอร์ท ความปลอดภัย ทัศนวิสัยที่ดี รวมถึงการเน้นสินค้ามาตรฐานเดียวกันทั่วโลก มีความคุ้มค่า คุ้มราคาที่สุด โดยนโยบายนี้ใช้แล้วประสบความสำเร็จทั่วโลก เมื่อลูกค้าประทับใจ ฟอร์ด ก็จะเป็นลูกค้า ฟอร์ด ตลอดไป
ฟอร์มูลา : ในอดีต ฟอร์ด ถือว่าเป็น รถพิคอัพ อเมริกันเพียงเจ้าเดียว แต่ปัจจุบันมีคู่แข่งสัญชาติเดียวกันคุณมีความคิดเห็นอย่างไร ?
จอห์น : สินค้าใหม่ คือ เชฟโรเลต์ โคโลราโด นั้น เป็นคู่แข่งกันมาตั้งนานแล้ว แต่ในสหรัฐอเมริกา ฟอร์ด เป็นรถขายดีมาตลอด ส่วนในเมืองไทย ฟอร์ด มองว่า เชฟโรเลต์ โคโลราโด ไม่ใช่รถอเมริกันแท้เหมือนกับฟอร์ด ที่เป็นรถอเมริกันพันธุ์แกร่ง
ฟอร์มูลา :การเข้ามาเปิดตลาดของ เชฟโรเลต์ โคโลราโด นั้น จะมาชิงส่วนแบ่งการตลาดของใคร ?
จอห์น : เชฟโรเลต์ โคโลราโด จะมาชิงส่วนแบ่งการตลาดทุกเจ้าในตลาดแต่ไม่มากนัก เนื่องจากในปัจจุบันตลาดมีการเติบโตอย่างมาก และ เชฟโรเลต ์ เพิ่งเข้ามาเปิดตลาด อย่างไรก็ต้องมีการเติบโตอยู่แล้วเพราะเริ่มจากศูนย์
ฟอร์มูลา : ในมุมมองของคุณ การที่บริษัทแม่เข้ามาลงทุนในเมืองไทยทุกยี่ห้อ คุณมองว่าการแข่งขันต่อไปในอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์จะเป็นอย่างไร โดยล่าสุด นิสสัน เข้ามาถือหุ้นใหญ่ในเมืองไทย ?
จอห์น : สาเหตุที่บริษัทต่างๆ เข้ามาลงทุนในประเทศไทยนั้นเนื่องจากมีการเจริญเติบโตอย่างมาก รวมถึงการเปิดเสรีการลงทุน ทำให้ดึงดูดนักลงทุนเข้ามา นอกจากนี้ทำให้เกิดการแข่งขัน ทำให้ผู้บริโภคได้รับสิ่งที่ดีขึ้น ฟอร์ด พบกับการแข่งขันในตลาดมาแล้วทั่วโลก จึงมองว่าจะไม่เกิดผลกระทบแต่อย่างใดกับบริษัท แต่จะเกิดผลดีกับผู้บริโภคได้รับสินค้าที่ดีขึ้น ผู้ผลิตก็ต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ฟอร์มูลา : คุณคิดว่าภาพรวมของตลาดรถในปีนี้จะเป็นอย่างไร ?
จอห์น : ตลาดโดยรวมปีนี้น่าจะมากกว่า 6 แสนคัน หรือเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณกว่า 10 % ฟอร์ด จะโตใกล้เคึยงกับตลาดหรือมากกว่า เนื่องจากมีการลงทุนเพิ่มขึ้น มีสินค้าใหม่ มีกลยุทธ์การตลาดที่ดีรวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ ตามนโยบายและแผนงานที่วางไว้ ส่วนตลาดรถพิคอัพก็จะโตไปพร้อมกับตลาด และ ฟอร์ด ก็จะมีการลงทุนในแง่การพัฒนาสินค้า ส่วนตลาดรถกิจกรรมกลางแจ้ง หรือ เอสยูวี ฟอร์ด เป็นผู้นำในตลาดอยู่แล้ว มีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 26 % ในปัจจุบัน ส่วนรถพิคอัพปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ประมาณ 6-7 % แต่ในอีก 2-3ปีข้างหน้าตั้งเป้าไว้ที่ 10 %
ฟอร์มูลา : จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของคุณ รถที่ร่วมออกแบบรุ่นแรกคือ รุ่นใดและมองว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร ?
จอห์น : ผมไม่ได้ออกแบบรถ แต่ร่วมการออกแบบชิ้นส่วนคือ รุ่น เอฟ 67 ส่วนความแตกต่างที่เห็นได้ชัด คือ ตลาดในเมืองไทยเติบโตเร็วมาก และเป็นเรื่องที่ท้าทาย ตื่นเต้น รวมถึงประทับใจวัฒนธรรมไทย องค์กร การทำงานของคนไทยที่มีความตั้งใจ มองว่า ฟอร์ด ประเทศไทย มีโอกาสเติบโต อนาคตสดใส โดยความร่วมมือกันในอาเซียน
ส่วนเรื่องการทำตลาดรถเก๋งในอินเดีย จนประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้น เป็นเรื่องที่ดี แต่เมืองไทยพยายามจะนำประสบการณ์ที่มีทั้งหมดมาใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่ถ้าจะให้พูดระหว่างประเทศไทยกับอินเดียแตกต่างกันอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของพัฒนาการ ทั้งในแง่อุตสาหกรรม ตลาดของผู้บริโภค ซึ่งตลาดของไทยผู้บริโภคมีความรู้ มีอำนาจต่อรอง ซึ่งจะไปเทียบเท่ากับตลาดในยุโรป อเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย โดยผู้บริโภคจะเป็นผู้ชี้อนาคต
ฟอร์มูลา : ตรงจุดนี้ทำให้คุณรู้สึกอย่างไรต่อการบริหารงานในเมืองไทย ?
จอห์น : ผู้บริโภคคนไทยส่วนใหญ่พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับรถ และมีประสบการณ์การขับรถมาแล้วหลายยี่ห้อ ตลาดในเมืองไทยจึงเน้นสินค้าที่มีเทคโนโลยีทันสมัย ราคาเหมาะสม และมีความทนทาน ฟอร์ด เพิ่งเข้ามาเมืองไทยเพียงไม่กี่ปี ต้องใช้เวลาในการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า และสิ่งที่ดีที่สุด แล้วเมื่อถึงเวลานั้นก็จะเป็นการบอกกันปากต่อปาก ซึ่งจุดนี้จะย้อนกลับมาที่ยอดขายของบริษัทต่อไปในอนาคต
ฟอร์มูลา : สำหรับ ฟอร์ด ในไทย คุณวางเป้าหมายไว้อย่างไร ?
จอห์น : เป้าหมายแรก คือ เป็นบริษัทรถยนต์อเมริกันบริษัทแรกที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 10 % อันดับที่สองคือ เมื่อแนะนำรถ ฟอร์ด แต่ละรุ่นสู่ตลาดแล้วประสบความสำเร็จอย่างมากและอันดับต่อมาคือ ให้ ฟอร์ด อยู่ในใจลูกค้าติดอันดับ 1 ใน 3
ฟอร์มูลา : มีความคิดเห็นอย่างไรกับโครงการ อีโคคาร์ ในเมืองไทย ?
จอห์น : เป็นโครงการที่มีความคิดริเริ่มดีมาก ซึ่งในปัจจุบัน ฟอร์ด รอหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่ชัดเจนที่สุด ซึ่งหากมาตรการยังไม่ชี้ชัดก็ยังไม่สามารถสรุปว่าจะเป็นรุ่นใด ผมมองว่าความตั้งใจของภาครัฐต้องการสร้างรูปแบบ เทคโนโลยีใหม่ ไม่ใช่เป็นการนำเทคโนโลยีรุ่นใดรุ่นหนึ่งมาผลิต แต่ต้องการสร้างรถเซกเมนท์ใหม่ให้เกิดขึ้นในโลกนี้ เพื่อส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ฟอร์ด ก็จะมีการวิจัยและพัฒนารถรุ่นใหม่เพื่อให้ตรงกับสเปคที่กำหนดขึ้น และประโยชน์ที่ไทยจะได้รับมากที่สุด คือ การจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น และคิดว่ารัฐบาลทำเร็วที่สุดแล้วในเรื่องนี้
ฟอร์มูลา : คุณทำอย่างไรจึงทราบถึงความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ?
จอห์น : เน้นที่การทำวิจัยในด้านต่างๆ หลายๆ ด้าน เพื่อให้เข้าไปให้ถึงจิตใจของลูกค้าให้ได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย คือ ไม่ได้เพียงถามแต่ว่าอะไรคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ แต่จะเจาะลึกลงไปถึงการใช้สินค้านั้นใช้อย่างไร ใช้แบบไหน ขับรถอย่างไร เพื่อเจาะให้ลึกเข้าถึงความต้องการจริง ๆ เพื่อปรับปรุงสินค้าให้ได้ตรงกับความต้องการของลูกค้า
นอกจากนั้นยังมีในเรื่องของโครงสร้างภาษี ที่การปรับแต่ละครั้งนั้นจะมีผลต่อการซื้อของลูกค้า เพราะหากภาษีมีการเปลี่ยนแปลงอาจส่งผลไปถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรถที่จะซื้อ รวมถึงเทคโนโลยี ที่ลูกค้าให้ความสนใจอย่างมาก และเป็นเรื่องสำคัญที่จะมีการพัฒนารถในแต่ละรุ่น ซึ่งจะใช้เวลา 3-4 ปี เนื่องจากมีขั้นตอนในการผลิตหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วน ซัพพลายเออร์ เป็นต้น
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : เกรียงศักดิ์ ปันสม
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52123