ร่มไม้ชายศาล
2WD
พูดถึงค่านิยมหรือโรคเห่อในตอนนี้ คือ
"รถกระบะนำมาต่อตัวถังเป็นรถตรวจการณ์แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ"
กำลังฮอทฮิท ซื้อกันยกใหญ่ ใครไม่มีใช้กะเขาเชยระเบิด
งานนี้บริษัทผลิตรถกระบะถูกหวยอย่างมโหฬาร ทำขายไม่ทัน ราคาก็อัพขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นล้าน ปรับภาษีแล้วอีกหน่อยอาจถึง 2-3 ล้าน แต่คนไทยยังก้มหน้าก้มตาซื้อต่อไป
อะ ฮ้า คนไทยซะอย่าง ไม่เสียดมเสียดายเงินทอง ไม่เสียดายหยาดเหงื่อแรงงานที่งุดๆ หาเงินเอาไปประเคนให้เขา ก็ต่างชาตินั่นแหละสูบ เหลือเศษให้พี่ไทยนิดหน่อยเอง
โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เหตุการณ์อาจผันแปรได้เสมอ ถ้าเราประมาทจับจ่ายไม่บันยะบันยัง ถึงเวลาจะคางเหลือง ไม่มีใครช่วยเราได้ รถที่มีอยู่หะรูหะราก็กินไม่ได้
ย้อนกลับมาว่าเรื่องรถอีกที ก็อย่างที่พูด คนบ้านเราเห่อรถกระบะตรวจการณ์ เห่อรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ทั้งๆ ที่ร้อยวันพันปีไม่ได้ขับไปลุยที่ไหน
ที่น่าสงสารคือผู้ที่ไม่มีปัญญาซื้อรถแบบตรวจการณ์ ก็ตะเกียกตะกายเอารถกระบะมาใส่หลังคา เอามาตกแต่งภายใน หมดเงินเป็นกระตั๊ก เพื่อให้มองดูเป็นรถตรวจการณ์ จะได้หายคันหายอยาก ไม่งั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ
มีอยู่วันหนึ่งผมเห็นรถกระบะใส่หลังคาตกแต่งอย่างที่บอก ยิ่งกว่านั้นคือ พี่แกมีอารมณ์ขันหรืออารมณ์ประชดไม่ทราบได้ แกติดสติคเกอร์ข้างรถตัวโตเห็นชัดเจน ท่านเดาออกไหมว่าเขาเขียนว่าอย่างไร ขี้เกียจเดา ขอบอกซะเลย
"2WD"
ผมงี้ขำกลิ้ง เกิดอารมณ์ร่วมกับเจ้าของรถรายนี้ทันที จ๊าบมาก เยี่ยมมาก ตูมีรถขับเคลื่อนธรรมดาตูก็โชว์ให้เห็นซะเลย มีอะไรไหมพี่ ข้องใจไหมพี่ อะไรทำนองนี้
ครับอาการเห่อของคนบ้านเราไม่ใช่เพิ่งเกิด มีมานานนมแล้ว เมื่อก่อนรถยนต์จะมี 3 เกียร์ หมายถึงเกียร์เดินหน้า ต่อมาก็ 4 เกียร์ หลังสุดที่ใช้ในปัจจุบันคือ 5 เกียร์เดินหน้า
โห แรก ๆ เห่อมากๆ คนทำรถขายรู้สันดานเจ้าของรถ มีตัวหนังสือแปะไว้ข้างท้ายให้ด้วย ไม่หนำใจ เห็นไม่ชัด เจ้าของที่ชอบตกแต่งติดสติคเกอร์ให้มันเด่นชัดว่ารถข้า 5 เกียร์นะโว้ย อย่างนี้เป็นต้น
ครานี้มาดูคดีความซึ่งเป็นของตายกันซะที งวดนี้เกี่ยวกับรถเหมือนกันแต่เป็นทางอ้อม เห็นว่ามีแง่มุมที่เป็นประโยชน์แก่มิตรรักแฟนเพลงจึงนำเสนอ
เป็นเรื่องของการแย่งมรดก ผู้ที่เปิดเกมก่อนคือ "นายสะดือ" ชื่อพิลึก แต่ค่อยยังชั่วที่เป็นผู้ชายเลยไม่กระไรนัก นายสะดือ ยื่นฟ้องญาติพี่น้องของตนอันได้แก่ "นางนิดเดียว" กล่าวหาว่าพินัยกรรมที่ นางนิดเดียว เอามารับมรดกคือพินัยกรรมที่ทำขึ้นไม่ถูกต้อง เป็นโมฆะ
นางนิดเดียว ฟังชื่อแล้วหมดอารมณ์ สู้คดี อ้างว่าเป็นพินัยกรรมที่ถูกต้องไม่โมฆะ นายสะดือ ไม่มีสิทธิ์แหยม ไม่ได้แอ้มมรดกกะเขาหรอก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องของ นายสะดือ ให้ นางนิดเดียว ชนะคดี
โจทก์คือ นายสะดือ ราวีไม่เลิก ให้ "นายตระหนก" ทนายของตนยื่นอุทธรณ์โต้แย้งคำตัดสินของศาลชั้นต้น อ้างโน่นอ้างนี่ไปตามเรื่องว่าพินัยกรรมโมฆะชัวร์
ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ที่ฝ่ายโจทก์ยื่นขึ้นมาเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2531 แล้วมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยภายใน 10 วัน คือภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2531 ถ้าไม่นำส่งถือว่าทิ้งอุทธรณ์
การนำส่งสำเนาอุทธรณ์นี้เป็นกรรมวิธีที่ศาลให้ผู้อุทธรณ์ จ่ายค่าพานะค่าป่วยการแก่เจ้าหน้าที่ศาลผู้นำส่งโดยกำหนดอัตราไว้แน่นอนตาม ระยะทาง ยากง่ายสำหรับคดีที่ราษฎรฟ้องร้องกันเอง ไม่ว่าคดีแพ่งหรืออาญา ศาลจะกำหนดไว้ให้นำส่งหรือมาติดต่อจ่ายเงินค่านำส่งภายในกี่วัน ขมวดไว้ด้วยว่า ถ้าไม่นำส่งในกำหนดถือว่าทิ้งอุทธรณ์หรือทิ้งฎีกา เรื่องก็จบเห่ ยกเว้นแต่มีข้อแก้ตัวที่ฟังได้
วกกลับมาคดีนี้ เมื่อศาลสั่งรับอุทธรณ์ของ นายสะดือ และกำหนดให้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ดังว่าแล้ว นายสะดือ ก็ดี ทนายของ นายสะดือ คือ นายตระหนก ก็ดี หายหัวไปเลย ไม่มาติดต่อนำส่ง เวลาผ่านไปตั้งเกือบ 5 เดือน ข้ามปีจนถึงวันที่ 16 มีนาคม 2532 นายตระหนก ทนายของ นายสะดือ จึงมายื่นคำร้องต่อศาล
ในคำร้องอ้างว่าไม่ได้จงใจละทิ้งอุทธรณ์ สาเหตุเกิดจากทนายประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เข้ารักษาตัวและพักฟื้นเป็นเวลา 2 เดือนเศษ เมื่อรักษาตัวหายดีแล้วก็มีคดีที่คั่งค้างต้องดำเนินการโดยด่วนประกอบกับความพลั้งเผลอของทนาย จึงไม่ได้ติดต่อนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลย ขออนุญาตนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยต่อไป
ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นผู้รับอุทธรณ์จัดส่งคำร้องของฝ่ายโจทก์คือฝ่าย นายสะดือ ไปให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้สั่งว่าจะเอายังไง ผลปรากฏว่า
ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องของ นายตระหนก ทนายโจทก์ ถือว่าข้ออ้างฟังไม่ขึ้น
นายสะดือ คงแยกเขี้ยวเข้าใส่ นายตระหนก เป็นแน่แท้ ฐานปล่อยปละละเลยทำให้คดีของตนมีปัญหา นายตระหนก ปลอบโยนว่าไม่เป็นไร ยังมีลุ้น ว่าแล้วก็ยื่นฎีกาขึ้นไป ยืนยันว่าไม่ได้เจตนาทิ้งอุทธรณ์ งานนี้ทนายประสบอุบัติเหตุจริงๆ ขอศาลฎีกาได้โปรดเมตตา
ศาลฎีกาหรี่ตาซ้ายเล็งดูด้วยตาขวาแล้วชี้ขาดออกมาว่า
ตามคำร้องของทนายโจทก์อ้างว่าในช่วงนั้นประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ต้องรักษาตัวและพักฟื้นเป็นเวลานานถึง 2 เดือนเศษ แต่ไม่ได้บอกว่าประสบอุบัติเหตุวันใด บาดเจ็บมากน้อยแค่ไหน รักษาตัววันที่เท่าใดถึงวันที่เท่าใด ที่โรงพยาบาลไหน มีหลักฐานของโรงพยาบาลอย่างไร พักฟื้นตั้งแต่วันใดถึงวันใด ทั้งๆ ที่รายละเอียดเหล่านี้ทนายย่อมรู้ดี ทำให้เห็นว่าข้ออ้างไม่มีมูลความจริง
อีกอย่างทนายมายื่นคำร้องเมื่อพ้นกำหนดไปแล้วตั้ง 4 เดือนครึ่ง ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเนิ่นนานเกินสมควร ดูตามคำร้องบอกว่ารักษาพักฟื้น 2 เดือนเศษ แสดงว่าหายเป็นปกติไม่เกินเดือนมกราคม 2532 ไหงเพิ่งมายื่นคำร้องกลางเดือนมีนาคม 2532 แสดงว่าทนายปล่อยเวลาไม่มาติดต่อศาลตั้ง 2 เดือนเศษเมื่อหายเจ็บป่วย ข้ออ้างที่ว่าพลั้งเผลอ ก็ฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์ให้จำหน่ายคดีถูกต้องแล้ว
ศาลฎีกาพิพากษายืน
สรุปคือ นายสะดือ แพ้คดีเด็ดขาด ตามคำตัดสินของศาลชั้นต้น เพราะอุทธรณ์แล้วทนายหละหลวมละเลยไม่ดำเนินการต่อในกำหนด
ถามว่า นายสะดือ เล่นงานทนายได้ไหม คำตอบคือเล่นได้ ถ้าปรากฏชัดว่าทนายละเลย ขณะที่ตนเองก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะดำเนินการอย่างไร เรียกร้องค่าเสียหายจากทนายของตนได้
เป็นประจำล่ะครับ ถ้าไปศาลไม่ทัน ยื่นอะไรไม่ทันตามกำหนด คู่ความหรือทนายมักจะอ้าง "ไอ้ปืด" ซึ่งหมายถึง "รถ" มาเป็นแพะหรือข้อแก้ตัวไว้ก่อน เช่นรถติด รถเสีย เกิดอุบัติเหตุทางรถ จึงไปศาลไม่ทัน ยื่นไม่ทัน
ศาลท่านก็หยวนให้ตามสมควร เว้นแต่ในรายที่เห็นว่ารับฟังไม่ขึ้นอย่างเช่นคดีนี้ หมายถึงเสร็จโก๋
เรื่องโดย : "จอมยุทธ"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52108