บันทึกธุรกิจ(formula)
เผยโฉมไอ้จิ๋วไฮโซ
เผยโฉมไอ้จิ๋วไฮโซ
บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1
จะออกขายปลายปีนี้
เยอรมนี-แม้ว่ายังเหลือเวลาอีกหลายเดือนจึงจะออกจำหน่ายในตลาด แต่เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี่เอง ยอดผู้ผลิตรถยนต์คุณภาพแห่งแคว้นบาวาเรีย ผู้เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า"ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" ได้เปิดเผยโฉมหน้า และรายละเอียดของรถยนต์นั่งอนุกรมใหม่เอี่ยมคือ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 (BMW 1-SERIES) ออกมาแล้ว พร้อมประกาศยืนยันว่า เฉพาะรถพวงมาลัยขวา จะเริ่มออกจำหน่ายในเดือน กันยายน 2004 นี้
ย้อนหลังไป 4 ปีก่อน คือเมื่อวันศุกร์ที่ 17 มีนาคม 2000 ซึ่งเป็นวันที่ บีเอมดับเบิลยู ประกาศข่าวการขายกิจการผลิตรถ โรเวอร์ (ROVER) กลับคืนให้แก่คนอังกฤษ ในวันเดียวกันนั้น ผู้ผลิตรถยนต์แห่งแคว้นบาวาเรียได้ให้ข่าวแก่สื่อมวลชนด้วยว่า กำลังมีแผนที่จะออกแบบ และพัฒนารถแฮทช์แบคขนาดเล็ก ซึ่งจะแทรกอยู่ตรงกลางระหว่างรถ มีนี (MINI) กับรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 คอมแพคท์ (BMW 3-SERIES COM PACT) รถที่ถูกกล่าวถึงในวันนั้น ก็คือ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 ที่เห็นอยู่ขณะนี้
ในระยะแรก "ไอ้จิ๋ว"ของ บีเอมดับเบิลยู จะมีตัวถังเพียงแบบเดียว คือตัวถัง 5 ประตู แฮทช์แบค ยาว 4.236 ม. กว้าง 1.750 ม. และสูง 1.430 ม. ที่เห็นในภาพ ส่วนที่จะตามในช่วง 2-3 ปีถัดไป จะมีทั้งตัวถัง 4 ประตูซาลูน ตัวถัง 5 ประตูตรวจการณ์ ตัวถัง 2 ประตูคูเป และตัวถังเปิดประทุน โดยที่ตัวถัง 2 แบบหลังนี้ อาจจะเปลี่ยนรหัสอนุกรมเป็น บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-2 (BMW 2-SERIES)
ตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบคของ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 เป็นผลงานรังสรรค์ของ คริส แชพแมน (CHRIS CHAPMAN) นักออกแบบดาวรุ่งชาวอเมริกัน โดยมีนักออกแบบชาวอเมริกันชื่อดังอีกผู้หนึ่งคือ คริส เบงเกิล (CHRIS BANGLE) เป็นผู้กำกับดูแล รูปทรงองค์เอวของ "ไอ้จิ๋ว" เห็นได้ชัดว่า เดินตามแนวทางที่กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของรถ บีเอมดับเบิลยู ไปแล้ว นั่นคือ ลักษณะของเปลือกตัวถังที่ผสมผสานขึ้นจากพื้นผิวเว้า และพื้นผิวนูน ที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า CONCAVE AND CONVEX
โดยปกติ รถแฮทช์แบคขนาดเล็กที่มีจำหน่ายในตลาดขณะนี้ ร้อยทั้งร้อยจะใช้ระบบวางเครื่องหน้าและขับเคลื่อนล้อหน้า แต่ในกรณีของ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 เจ้าของเครื่องหมายการค้าใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาวไม่สนว่าคนอื่นจะทำยังไง และยังคงยึดมั่นอยู่กับระบบที่ใช้อยู่ในรถทุกๆ อนุกรมที่ติดตรา บีเอมดับเบิลยู นั่นคือ วางเครื่องหน้าตามยาว และขับเคลื่อนล้อหลัง แถมยังประกาศด้วยว่า ตั้งเป้าหมายการผลิตรถอนุกรมนี้ไว้ที่ระดับ 150,000 คัน/ปี โดยกำหนดตำแหน่งในตลาดให้เป็นรถระดับ พรีเมียม (PREMIUM) และเป็นรถที่ทำให้ผู้ขับสะใจ (DRIVER'S CAR) รวมทั้งไม่เคยคิดที่จะแข่งขันในเรื่องความคุ้มค่าเงินหรือยอดขาย กับรถขนาดเดียวกันอย่าง โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ (VOLKSWAGEN GOLF) หรือ ฟอร์ด โฟคัส (FORD FOCUS) แต่อย่างใด
รูปทรงองค์เอวโดยรวมของ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 ตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบค น่าจะกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ยังรักษาเอกลักษณ์ของรถ บีเอมดับเบิลยู ไว้ได้ดีในทุกๆ ส่วน โดยเฉพาะส่วนจมูก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเสาค้ำยันหลังคาคู่หลังซึ่งเรียกกันในภาษาอังกฤษว่า C-PILLARS มีขนาดค่อนข้างหนา แถมหน้าต่างบานหลังก็ค่อนข้างจะแคบ จึงน่าจะคาดการณ์ได้ว่า ทัศนวิสัยการมองหลังคงไม่สู้จะดีนัก ส่วนค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศซึ่งบ่งบอกความลื่นลม นับว่าทำได้ดีพอสมควร คือ 0.29
บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 พวงมาลัยขวา จะเริ่มออกจำหน่ายในตลาดอังกฤษ เดือน กันยายน 2004 นี้ สนนราคาค่าตัวเป็นเงินปอนด์จะเริ่มต้นที่ 15,600 หรือเท่ากับประมาณ 1.09 ล้านบาทไทย เมื่อคิดอัตราแลกเปลี่ยน 1 ปอนด์ เท่ากับ 70 บาท
ย่อยข่าว
* ญี่ปุ่น-หลังจากออกจำหน่ายในตลาดมาแล้ว 14 ปี กับ 11 เดือน ยอดขายของรถสปอร์ทพันธุ์ยุ่นยอดฮิท มาซดา เอมเอกซ์-5 (MAZDA MX-5) ก็สามารถผ่านหลักไมล์ สำคัญไปได้อีกหลักหนึ่ง เมื่อรถคันที่ 700,000 หลุดจากสายการผลิตที่เมืองฮิโรชิมา ในประเทศญี่ปุ่นไปเรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มาซดา เอมเอกซ์-5 รุ่น แรกทำยอดขายทั่วโลกได้ถึง 430,000 คันในช่วงเวลา 8 ปี ส่วนรถรุ่นที่ 2 ซึ่งเริ่มจำหน่ายเมื่อปี 1998 ขณะนี้ยอดขายผ่านหลัก 270,000 คันไปแล้ว มาซดา กำลังรีบเร่งออกแบบรถรุ่นที่ 3 ที่พัฒนาจากรถแนวคิด มาซดา อีบูกิ (MAZDA IBUKI) ซึ่งปรากฏตัวที่งานมหกรรมยานยนต์โตเกียวครั้งล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคมปีกลาย รถรุ่นใหม่ ซึ่งมีกำหนดออกจำหน่ายในปี 2005 นี้ จะมีตัวถังให้เลือกใช้ 2 แบบ คือ ตัวถังเปิดประทุนหลังคาผ้าใบเหมือนรถ 2 รุ่นแรก กับตัวถังคูเป-กาบริโอเลต์หลังคาแข็ง ซึ่งไม่ได้ใช้ระบบหลังคาของ คาร์มันน์ (KARMANN) หรือ เออลิเอซ (HEULIEZ) ดังที่รถประเภทเดียวกันของค่าย โอเพล/เปอโฌต์/เรอโนลต์ และ เมร์เซเดส-เบนซ์ใช้อยู่ในขณะนี้ แต่จะใช้ระบบที่พัฒนาขึ้นเอง
* สวิทเซอร์แลนด์-เจ้าของเครื่องหมายการค้า "สิงห์เผ่น" เปิดเผยโฉมหน้าของรถเปอโฌต์ 307 (PEUGEOT 307) ตัวถัง 4 ประตูซาลูน ซึ่งออกแบบและพัฒนาสำหรับผู้ใช้รถในสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้ว โดยนำรถแบบดังกล่าวออกแสดงเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ค่าย "สิงห์เผ่น" จะใช้โรงงานในเมืองจีนของ ดง เฟง มอเตอร์ส (DONG FENG MOTORS) เป็นที่ผลิต และจะเริ่มนำออกจำหน่ายในฤดูร้อนปีนี้ โดยมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้เพียง 2 ขนาดเป็นเครื่องเบนซิน 4 สูบเรียง ความจุ 1.6 และ 2.0 ลิตร
* สหรัฐอเมริกา-แม้ว่าตลาดรถยนต์นั่งและรถกระบะในเมืองคาวบอยยังคงแข็งแกร่งแต่ในรอบปี 2003 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป เจ้าถิ่นผู้ผลิตรถยนต์ระดับ "บิกธรี" ล้วนมียอดขายตกต่ำลงด้วยกันทั้งนั้น ที่แย่กว่าเพื่อนคือ ยักษ์รอง ฟอร์ด (FORD) ในส่วนของรถนำเข้าที่มียอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้น ผู้นำตลาดคือ อเมริกัน ฮอนดา (AMERICAN HONDA) ซึ่งเชือดเฉือน บีเอมดับเบิลยู/มีนี (BMW/MINI) ไปหวุดหวิดด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 9
* สหรัฐอเมริกา-ตามผลการสำรวจของ ดูปองต์ ออโทโมทีฟ (DU PONT AUTOMO TIVE) ผู้ชำนาญการด้านสีรถยนต์ ขณะนี้สียอดนิยมของผู้ใช้รถทั่วโลกคือ สีเงิน และเฉพาะในทวีปอเมริกาเหนือ ในรอบปี 2003 สีรถซึ่งเป็นที่นิยมสูงสุด 10 อันดับแรก คือ
1. เงิน 20.2 %
2. ขาว 18.4 %
3. ดำ 11.6 %
4. เทา/เทาเข้ม 11.5 %
5. น้ำตาลอ่อน 8.8 %
6. น้ำเงิน/น้ำเงินเข้ม 8.5 %
7. แดง 6.9 %
8. เขียว/เขียวเข้ม 5.3 %
9. แดงสด 3.8 %
10. แดงเข้ม 0.9 %
* ฝรั่งเศส-ผู้จัดงาน มหกรรมยานยนต์ปารีส ในฝรั่งเศส กระจายข่าวไปทั่วโลกแล้วว่า ในปีนี้งานแสดงรถยนต์รายการดังกล่าว จะมีขึ้นในช่วงเวลา 16 วัน คือระหว่างวันเสาร์ที่ 25 กันยายน ถึงวันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม และทุกวันจะเปิดให้ชมงานเวลา 10.00-22.00 น.โดยเก็บค่าบัตรผ่านประตู 10 ยูโร หรือ ประมาณ 500 บาทไทย ผู้สนใจสามารถหารายละเอียดได้จากเวบไซท์ www.mondial-automobile.com มหกรรมยานยนต์ปารีสครั้งก่อนซึ่งมีขึ้นเมื่อปี 2002 มีผู้เข้าชมงาน 1,447,753 คน
* อังกฤษ-สรุปผลกันแล้ว ปรากฏว่า ในรอบปี 2003 รถขายดีที่สุด 5 อันดับแรกของเมืองผู้ดี ได้แก่
1. ฟอร์ด โฟคัส 129,054 คัน
2. วอกซ์ฮอลล์ โคร์ซา 108,387 คัน
3. ฟอร์ด ฟิเอสตา 95,887 คัน
4. วอกซ์ฮอลล์ อัสตรา 90,241 คัน
5. เรอโนลต์ กลีโอ 83,972 คัน
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2547
คอลัมน์ Online : บันทึกธุรกิจ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52101