รอบรู้เรื่องรถ
ความเข้าใจผิดๆ เรื่อง "ผ้าเบรค"
กว่าเรื่องที่ผมเขียนอยู่นี้จะถูกพิมพ์ออกจำหน่าย ก็คงจะผ่านเทศกาลสงกรานต์ไปแล้ว จำนวนคนตายจากอุบัติเหตุในช่วงนี้ ไม่น่าจะต่างจากปีที่ผ่านมามากนัก เพราะมาตรการต่างๆ ล้วนเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุทั้งสิ้น ตราบใดที่ยังไม่มีการให้ความรู้ที่ถูกต้อง พร้อมกับการปลูกจิตสำนึกด้านความปลอดภัยของผู้ขับรถ โดยการตั้งมาตรฐานการหัดขับรถ การสอบใบขับขี่ รับรองว่าจะต้องตายเป็นเบือกันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ครับ ผมบอกวิธีมาหลายหนแล้ว จึงไม่ขอเสียเวลาเสียเนื้อที่ให้กับเรื่องนี้อีก
ผมสังเกตได้ว่า ในช่วงประมาณ 5-6 ปี ที่ผ่านมานี้ ผมต้องเหยียบเบรคขณะขับรถบ่อยขึ้นมาก และสิ่งที่ยืนยันว่าผมไม่ได้ทึกทักเอาเองตามความรู้สึก ก็คืออายุใช้งานของผ้าเบรค ซึ่งสั้นลงอย่างชัดเจนไม่มีข้อสงสัย เอาแบบวิชาการหน่อยตามสมัยนิยม ก็ต้องบอกว่าสึกมากกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ คือเป็นแบบนี้มาสองชุดแล้วครับ ตัวการก็คือบรรดาสันขวางตามถนน ซึ่งดูเหมือนยังไม่มีการตั้งชื่อภาษาไทยอย่างเป็นทางการ ที่มีไว้ป้องกันพวกที่ขับรถเร็วเกินความเหมาะสม บอกเป็นตัวเลขไม่ได้ครับ เพราะเป็นเรื่องสัมพัทธ์ บนถนนใหญ่ผิวดี การจราจรเบาบาง ความเร็วสัก 160 กม./ชม. ก็อาจไม่สูงเกินไป แต่ในซอยคับแคบที่มีคนเดินข้างทางพลุกพล่าน แค่ 30 กม./ชม. ก็ถือว่าเร็วเกินไปแล้ว เพราะฉะนั้น "สันขวาง" เหล่านี้ จึงถือกำเนิดขึ้นมาจากความจำเป็น เป็นการป้องกันอุบัติเหตุอันอาจจะเกิดจากการขับรถเร็ว เกินความเหมาะสมของสภาพแวดล้อม โดยการบังคับให้เบรคลดความเร็วลงเป็นระยะ ในเมื่อผู้ขับรถเกือบทุกคนขาดสำนึกถึงอันตรายที่จะเกิดแก่ผู้อื่น ผู้ที่รับผิดชอบหรือผู้ที่เสี่ยงอันตราย เขาก็ต้องหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ต้นตอของการขาดความรู้ความเข้าใจถึงอันตรายจากเหตุนี้ก็คือการไม่เคยได้เรียน ได้รับการสอนการอบรม จากครูของโรงเรียนสอนขับรถมาตรฐานนั่นเอง เชื่อไหมครับว่ามีผู้ขับรถจำนวนไม่น้อยเพิ่มความเร็วไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ไม่มีอุปสรรคหรืออะไรมากีดขวาง โดยไม่คำนึงถึงสภาพแวดล้อมเลย เหตุผลก็คือสบายดี เพราะถึงที่หมายเร็วดี
ความเร็วของรถบนถนนในเมือง ที่ประเทศพัฒนาแล้ว เขาเลือกเป็นค่าสูงสุดมาตรฐาน คือ 50 กม./ชม. นั้นเหมาะสมแล้ว ยอมให้เกินได้อีก 5 ถึง 10 กม./ชม. ถ้าลองขับความเร็วเท่านี้ บนถนนในเมืองที่ไม่มีรถขวางข้างหน้า พวกเราที่คุ้นเคยกับการเสี่ยง กับความไร้ระเบียบวินัย จะรู้สึกว่ามันช้าจนกลายเป็น "เรื่องตลก" พวกที่เขาพัฒนาแล้ว เขาผ่านอะไรมาก่อนพวกเราครับ มีการวิจัย การทดลอง การวิเคราะห์ การเก็บข้อมูล อย่างมากมาย ในประเทศเหล่านี้จึงมีการจับผู้ขับรถเร็วเกินกำหนดในเมืองด้วย
ในเมื่อไม่มีสิ่งที่ควรจะมี และไม่มีการทำในสิ่งที่ควรทำ พวกเราผู้ขับรถ ก็ต้องใช้ชีวิตอยู่กับการขับไปเบรคไป แล้วจึงเร่งความเร็วใหม่อยู่อย่างนี้ สำหรับพวกที่ถ้าไม่มีอะไรมาขวาง ก็จะขับเร็วขึ้นเรื่อยๆ นี้ ผมว่าก็สมควรแล้ว แต่สำหรับผู้ที่มีเหตุมีผล มีวิจารณญาณ ก็เป็นโชคร้ายที่ต้องเปลืองทั้งแรงทั้งผ้าเบรค และทั้งเชื้อเพลิง
ไหนๆ เอ่ยถึงผ้าเบรคแล้ว ผมเชื่อว่าผู้อ่านจำนวนมาก จะต้องเคยได้ยินคำว่า ผ้าเบรคอ่อน กับผ้าเบรคแข็ง เป็นศัพท์ที่ช่างซ่อมรถชอบใช้กันมาก เท่าที่สังเกตดู รู้สึกว่าฝ่ายดีหรือ "พระเอก" จะเป็นพวกที่ถูกเรียกว่าผ้าเบรคอ่อน หรือผ้าเบรคเนื้ออ่อน คือช่างจะจินตนาการเอาเองว่า ถ้ามันเบรคแล้วให้แรงเบรคสูง แล้วเงียบปราศจากเสียงใดๆ ก็จะชวนให้รู้สึกว่า มีอะไรนุ่มนิ่มไปประกบกับจานเบรค
ส่วน "ผ้าเบรคแข็ง" หรือ "ผ้าเบรคเนื้อแข็ง" คือฝ่ายเลวหรือ "ผู้ร้าย" เพราะเบรคไม่ค่อยอยู่เท่าที่ควรบางรุ่นส่งเสียงรบกวนด้วย ทั้งหมดนี้คืออุปทานไร้สาระทั้งสิ้นครับ ผมรู้จักแต่ผ้าเบรคแข็ง เพราะจับดูเนื้อแข็งทั้งนั้น
การผสมเนื้อผ้าเบรคให้ใช้งานได้ดี เป็นศาสตร์ชั้นสูงครับ ใช้วัสดุนานาชนิด ถึงกำหนดชนิดได้สัดส่วนของแต่ละอย่างก็มีผลต่อคุณสมบัติของผ้าเบรค ทำนองเดียวกับยางรถของเราครับ คือมีคุณสมบัติดีๆ หลายข้อด้วยกัน และมักจะขัดแย้งกันเอง ถ้าเน้นข้อดีข้อใดขึ้นมา ก็มักจะมีข้ออื่นด้อยลงไปทันที ผ้าเบรคที่ดี ต้องสึกช้า เงียบ ให้แรงเบรคสูง เกิดความร้อนที่ผ้าและจานไม่มาก ระบายความร้อนได้ดี ไม่กินเนื้อจานเบรคเร็วเกินไป ต้นทุนไม่สูงร้อนจัดแล้วยังเบรคอยู่ ทำยากจริงๆ ครับพอใช้ส่วนผสมที่เบรคอยู่ดี ก็จะกินเนื้อจานเบรคมาก หรือร้อนจัด หรือไม่เนื้อผ้าเบรคก็สึกเร็ว พอทำให้สึกช้า ก็เบรคไม่ค่อยอยู่ หรือไม่ก็มีเสียงรบกวน
ถ้าจะอนุโลมเรียกพวกที่มีเนื้อแข็งไม่มากนัก ว่าเป็นผ้าเบรค "เนื้ออ่อน" พวกนี้แหละครับที่เป็นผ้าเบรคคุณภาพต่ำ เบรคไม่ค่อยอยู่ แถมยังสึกเร็วด้วย แต่สึกเฉพาะตัวมัน ไม่กัดกินเนื้อจานเบรค นี่ยังเป็นพวก "ของแท้" มีตราหรือ "ยี่ห้อ" นะครับ ถึงมือพวกเราราคาราวๆ สามร้อย ต้นทุนของโรงงาน ทั้งในและนอกประเทศ รับรองว่าไม่ถึงห้าสิบบาท ใครทำผ้าเบรคขายถึงร่ำรวยไปตามๆ กัน แถมได้ลูกค้าในอุดมคติอยู่เกลื่อนถนนด้วย คือประเภทเห็นไฟแดงแล้วยังเร่งเพิ่มความเร็ว เพื่อจะไปเบรคจนหัวทิ่มจ่อท้ายคันหน้า เรื่องนี้ก็ต้องเรียนกันในโรงเรียนสอนขับรถมาตรฐานครับ
เพราะฉะนั้นเลิกฟังช่างพูดถึงเนื้อผ้าเบรคกันได้แล้วครับ ไม่มีแข็งมีอ่อนครับ มีแต่ดีหรือเลวหรือระดับปานกลาง ก็ต้องเลือกใช้กันตามความรู้ตามฐานะ สิ่งที่ผมอยากให้คำนึงถึงก็คือ อย่าเป็นคนเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายครับ ส่วนต่างของราคา มันไม่คุ้มกับการเสี่ยงภัย และอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่มีผ้าเบรครถรุ่นใดแพงเกินสัดส่วนของราคารถครับ ถ้าซื้อรถแพงได้ ก็ต้องซื้อผ้าเบรคแพงได้ จะบอกว่า "ก็ผมซื้อรถแพง แต่ใช้แล้วมา" ก็ไม่ได้ เพราะถ้าผ้าเบรคแพงเกินควร อะไหล่อื่นก็ต้องเข้าข่ายเดียวกันด้วย ถ้าเปลี่ยนอะไหล่อื่นไหว ก็ต้องเปลี่ยนผ้าเบรคไหวเหมือนกันครับ ถ้าไม่ไหวเพราะถูกขูดเลือดเกินไป ก็อย่าไปใช้มันครับ ขายแล้วซื้อรถอื่นมาแทนก็ย่อมได้
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2547
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52081