ประกันภัย
ประกันแบบมีความเสียหายส่วนแรก
หลังจากที่เราได้พูดคุยทำความเข้าใจเรื่องของความเสียหายส่วนแรกในการประกันภัยรถยนต์ประเภท ต่างๆไปแล้วใน 2 ฉบับที่ผ่านมา ทำให้หลายท่านหายสงสัยกันไประดับหนึ่ง ที่ว่าทำไมในกรมธรรม์ภาคสมัครใจทุกฉบับไม่ว่าจะเป็นประเภท 1, 2 หรือ 3 ล้วนแล้วแต่มีการกำหนดเงื่อนไขให้ผู้เอาประกันภัยต้องมีส่วนรับผิดชอบเองในความเสียหายแรกในการเกิดอุบัติเหตุบางกรณีด้วยทั้งที่เราทำประกันแบบไม่มีความเสียหายส่วนแรก (EXCESS หรือ DEDUCTIBLE CLAUSE) ก็ตาม ทั้งนี้เป็นไปตามเงื่อนไขกรมธรรม์มาตรฐานที่กรมการประกันภัยกระทรวงพาณิชย์กำหนดนั่นเอง
การที่กรมธรรม์กำหนดเงื่อนไขให้ผู้เอาประกันภัยหรือผู้ขับขี่ต้องมีส่วนร่วมในความรับผิดชอบในความเสียหายส่วนแรกด้วยนั้นก็เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยหรือผู้ขับขี่มีความระมัดระวังในการใช้รถตลอดจนดูแลรักษารถที่เอาประกันภัยให้อยู่ในลักษณะปลอดภัย ไม่ใช้เมื่อมีการทำประกันภัยแล้วก็จะผลักภาระทั้งหมดไปให้บริษัทรับผิดชอบทั้งหมดไม่ว่าจะเกิดจากเหตุใดๆ ก็ตาม ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นบริษัทประกันภัยก็คงจะอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบมาก และต้องขาดทุนอย่างแน่นอน ถ้าจะให้บริษัทประกันอยู่ได้ บริษัทก็ต้องเพิ่มเบี้ยประกันให้สูงขึ้นอย่างมากเพื่อที่จะได้คุ้มครองอย่างไม่มีข้อจำกัด ซึ่งภาระก็จะกลับมาตกกับผู้เอาประกันในฐานะเจ้าของรถที่จะต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยที่แพงมาก จนผู้เอาประกันไม่อาจรับได้
ดังนั้นการที่ผู้เอาประกันภัยต้องมีส่วนรับผิดชอบในความเสียหายส่วนแรกบางกรณีจึงทำให้เกิดความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย คือทั้งฝ่ายบริษัทผู้รับประกันและเจ้าของรถในฐานะผู้เอาประกัน และทำให้สามารถที่จะกำหนดเบี้ยประกันภัยเหมาะสมมากขึ้น
โดยความเป็นจริงแล้ว ในการทำประกันภัยรถยนต์ผู้เอาประกันก็อยากจะเคลมให้คุ้มกับค่าเบี้ยประกันที่จ่ายไป ยิ่งถ้าสามารถเคลมได้มากกว่าเบี้ยประกันที่จ่ายด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ดูเหมือนตนเองได้กำไรมากขึ้นเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามบริษัทประกันภัยก็อยากจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้น้อยกว่าเบี้ยประกันภัยที่ได้รับเพราะถ้าจ่ายได้น้อยเท่าใดก็จะทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นเท่านั้น บริษัทก็จะหาทุกวิถีทางที่จะปฏิเสธเคลมไม่จ่ายหรือจ่ายให้น้อย
ความคิดและพฤติกรรมของทั้ง 2 ฝ่ายที่ต่อสู้กันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 40-50 ปี ต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันว่า " ขี้โกง" ทำให้เราเห็นธุรกิจประกันภัยต้องล้มลุกคลุกคลานตลอดมา บางบริษัทก็ล้มละลายเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เสียหาย ให้กับอู่ซ่อม และร้านอะไหล่ หลายบริษัทก็เพิ่มทุนครั้งแล้วครั้งเล่าหาเงินมาเติมตลอด หรือมิฉะนั้นก็หาผู้ร่วมทุนใหม่ทั้งทุนไทยทุนนอก หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ขายบริษัทไปเสียเลย จนทุกวันนี้เราก็จำชื่อของหลายบริษัทไม่ได้เพราะเปลี่ยนมาเป็นชื่อแปลกๆ ไม่เคยได้ยิน หลายคนยังสงสัยว่ามีประกันภัยชื่อนี้ด้วยหรือ ? ถ้าย้อนไปดูข้อมูลการรับประกันภัยของบริษัทก็จะรู้เลยว่าบริษัทที่มีปัญหาส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทที่รับประกันภัยรถยนต์ในอัตราส่วนที่สูงกว่า 90 % ของเบี้ยประกันภัยรวมของบริษัท เป็นส่วนใหญ่
ทั้งนี้เพราะเจ้าของรถยนต์มักจะขาดความระมัดระวังในการใช้รถ และไม่ค่อยจะดูแลรักษารถ ทำให้รถมีร่องรอยขีดข่วน หรือเฉี่ยวชนกับเสา หรือสิ่งของอื่นๆ บ่อยครั้งมาก และมักจะหาช่องทางเคลมค่าเสียหายเพื่อซ่อมแซมรถตัวเอง (รถประกัน)ให้ดูดี ดูใหม่ตลอดเวลา ในปี 2542-2543 ทางสมาคมประกันวินาศภัยจึงได้จ้างบริษัทจากต่างประเทศที่มีประสบการณ์ด้านการประกันภัยรถยนต์มาสำรวจวิจัยเพื่อเสนอต่อกรมการประกันภัยให้มีการกำหนดพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยและเงื่อนไข กรมธรรม์รถยนต์ใหม่ ก่อนที่บริษัทที่รับประกันภัยรถยนต์จะล้มละลายมากขึ้น เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าสินไหมทดแทน
หลายคนคงจำได้ว่าช่วงนั้นกรมการประกันภัยได้มีการประกาศว่ามีบริษัทประกันภัย 11 บริษัท มีปัญหาทางการเงิน และอยู่ในการกำกับและดูแลอย่างใกล้ชิดของกรมการประกันภัย ต่อมาก็มีบริษัทรัตนโกสินทร์ประกันภัยล้มละลายไป อีกหลายบริษัทก็ต้องขายกิจการให้นายทุนกลุ่มใหม่เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนผู้บริหารกันไป
ผลจากการสำรวจวิจัยของบริษัทผู้เชี่ยวชาญก็พบความจริงว่าถ้าจะให้บริษัทประกันภัยอยู่ได้มี 2 วิธี วิธีแรกคือต้องเพิ่มเบี้ยประกันภัยอีก 50 % หรือ 100% สำหรับรถบางประเภทที่มีสถิติการเคลมสูง อีกวิธีคือต้องกำหนดเงื่อนไขกรมธรรม์ที่ให้ผู้เอาประกันมีส่วนรับผิดชอบเองอย่างน้อย 3,000-5,000
บาทแรก ซึ่งสมาคมประกันวินาศภัยได้นำผลการสำรวจวิจัยร่วมหารือกับกรมการประกันภัยในฐานะภาครัฐที่กำกับดูแลธุรกิจประกันภัยเพื่อทำการปรับปรุงพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยและเงื่อนไขกรมธรรม์ใหม่
สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปให้คำนวณเบี้ยประกันภัยตามปัจจัยเสี่ยงแต่ละประเภทรถ ขนาดเครื่องยนต์ น้ำหนักรถ อายุรถ ลักษณะการใช้งาน ค่าอะไหล่ ค่าแซมซ่อม ผู้ขับขี่ ฯลฯ โดยเบี้ยประกันจะสูงกว่าพิกัดเดิมเฉลี่ยประมาณ 5- 40 % แล้วแต่จะอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงใด โดยรถทุกคันที่ประกันประเภท 1 ผู้เอาจะต้องมีส่วนรับผิดชอบในความเสียหายส่วนแรกในการซ่อมรถตนเอง และมีส่วนลดให้กับรถที่มีประวัติดีไม่มีเคลมต่อเนื่องสูงถึง 50 % และถ้าประกันแบบระบุชื่อผู้ขับขี่ ก็จะได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 5-20 % ตามแต่ช่วงอายุ เพิ่มความเชื่อถือในตัวผู้ขับขี่แต่ละคน
พิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ใหม่ ดูโดยรวมแล้วก็เป็นธรรมดี และน่าจะลดอัตราการเคลมแบบจุกจิกที่ทำให้บริษัทต้องจ่ายค่าเสียหายในส่วนที่ซ่อมรถประกันอันเป็นปัญหามาตลอดลงไปได้ แต่เมื่อกรมการประกันภัยประกาศใช้พิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยใหม่แบบที่รถทุกคันที่ประกันประเภท 1 ต้องรับผิดชอบเอง 3,000 บาทแรก เฉพาะในการซ่อมรถประกัน ปรากฏว่าสังคมโดยรวมก็ปฏิเสธไม่ยอมรับเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งประชาชนและสื่อมวลชนกันทั้งเมืองจนกรมการประกันภัยต้องยอมยกเลิกเงื่อนไขที่ให้ผู้เอาประกันภัยต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบเองในความเสียหายส่วนแรก 3,000 บาท และให้เพิ่มเบี้ยประกันภัยที่เป็นส่วนลดในความเสียหายส่วนแรกคืนกลับเข้าไป
ดังนั้นพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยที่ประกาศใช้อยู่ในปัจจุบันจึงไม่มีความเสียหายส่วนแรกในการซ่อมรถประกัน ซึ่งทำให้เบี้ยประกันทุกวันนี้ถูกบ่นกันว่าแพงมาก แต่ก็ยังเปิดช่องทางให้เลือกในการได้รับส่วนลดเบี้ยประกันสำหรับความเสียหายส่วนแรกไว้ โดยถ้าผู้เอาประกันคนใดอยากจะซื้อประกันประเภท 1 แบบมีความเสียหายส่วนแรกก็ให้บริษัทลดเบี้ยประกันภัยให้ตามส่วน กล่าวคือ มีความเสียหาย 1,000 บาทแรกก็ได้ส่วนลดเบี้ยประกันภัยทันที 1,000 บาท ถ้ามี 2,000 บาท ก็ให้ส่วนลดเบี้ยประกันลง 2,000 บาท ถ้ามี 3,000 บาท ก็ลดเบี้ยประกันลง 3,000 บาทเป็นต้น
ในช่วงแรกๆ ของการใช้พิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยใหม่ๆ ก็จะไม่มีใครซื้อประกันภัยแบบมีส่วนความเสียหายส่วนแรก เพราะสังคมไทยยังเคยชินกับการประกันภัยรูปแบบเดิมๆ ผลที่ตามมาก็คือการเคลมในส่วนของการซ่อมรถตัวเองก็ยังคงสูงเช่นเดิมแม้เบี้ยประกันภัยจะสูงขึ้นก็ตามแต่พฤติกรรมผู้เอาประกันภัยไม่ได้เปลี่ยนเลย
ผู้เขียนได้เคยเสนอแนวคิดให้บริษัทประกันภัยเพิ่มส่วนลดเบี้ยประกันให้อีก 50-100 % ของการทำประกันแบบมีความเสียหายส่วนแรกในการซ่อมรถตนเอง เช่น ถ้าทำประกันแบบมีความเสียหายส่วนแรก 1,000 บาท ก็ให้ส่วนลดเบี้ยประกัน 1,500-2,000 บาทไปเลย ถ้ามี 2,000 บาท ก็ลดเบี้ยประกัน 3,000-4,000 บาท ถ้ามี 3,000 บาท ก็ลดเบี้ยประกัน 4,500-6,000 บาท ทั้งนี้แล้วแต่ประเภทรถและทุนประกัน เพื่อเกิดความจูงใจ ให้ผู้เอาประกันสนใจทำประกันภัยแบบมีความเสียหายส่วนแรกมากขึ้นเพราะสามารถประหยัดเบี้ยประกันได้มากกว่า
ปัจจุบันมีหลายบริษัทก็นำแนวคิดของผู้เขียนมาใช้ทำให้ผู้เอาประกันเริ่มซื้อประกันแบบมีความเสียหาย ส่วนแรกเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ มีเจ้าของรถหลายรายมาปรึกษาผู้เขียนว่าควรซื้อประกันภัยแบบมีความเสียหายส่วนแรกหรือไม่ ถ้าจะมีควรซื้ออย่างไรจึงจะคุ้มที่สุด
ขอแนะนำว่าควรซื้ออย่างยิ่งโดยเฉพาะถ้าเป็นคนที่ขับรถดีจากประวัติที่ผ่านมาแต่ละปี ไม่มีเคลมเลยหรือเคลมไม่เกิน 1 ครั้งเพราะนั่นหมายถึงคุณประหยัดเบี้ยประกันแน่ๆ ในปีนั้นถึง 2 ต่อ คือได้ทั้งส่วนลดประวัติดีที่ไม่มีเคลม และส่วนลดจากการรับผิดชอบส่วนแรกเอง หรือแม้หากเกิดอุบัติเหตุค่าเสียหายเล็กน้อยไม่เกินความเสียหายส่วนแรก ก็ไม่ต้องแจ้งเคลมซ่อมรถประกันเอง ยังไงก็ยังมีกำไรเพราะยังประหยัดเบี้ยประกันได้ 2 ต่ออยู่ดี ยังไม่ต้องเสียเวลาไปเคลมประกัน หากมีอู่ซ่อมที่ไว้วางใจก็สามารถนำรถเข้าไปซ่อมได้เองในราคาที่ตกลงเองไม่ต้องรอประกันภัย ส่วนค่าเสียหายส่วนแรกที่ควรซื้อไม่ควรต่ำกว่า 3,000 บาท เพื่อจะได้บริหารเงินส่วนลดเบี้ยประกันมาเป็นค่าซ่อมได้ง่ายขึ้น
"ยุคนี้เป็นยุคที่คนบริหารเงินเก่งคือคนฉลาด เรามาทำประกันแบบฉลาดๆกันดีกว่า
เรื่องโดย : กฤชกมล
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2547
คอลัมน์ Online : ประกันภัย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52079