โค้งอันตราย
คนมีสตางค์
เรื่องวุ่นวายยังคงคุกรุ่นกันอยู่แถวสามจังหวัดภาคใต้ อย่างไรเสียเราก็ประชาชนคนไทยด้วยกัน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไร ก็ยังเรียกกันว่าเป็นคนไทย ได้แต่หวังว่าความสงบสุขจะกลับคืนมาโดยเร็ว
ถึง ณ วันที่เขียนต้นฉบับนี้ ขอรายงานว่าคนไทยด้วยกันเอง ยังมีผู้ที่ร่ำรวยแบบเงียบๆ อยู่เยอะเห็นได้จากยอดจองรถ เมย์แบค ราคาค่างวดแค่คันละหนึ่ง 100 ล้านบาทไทย ตอนนี้มีผู้มั่งมีเงินทองสั่งจองไปแล้ว 4 คัน คงไม่ต้องบอกชื่อนามสกุลนะครับ ว่าใครจอง เพราะคนขายก็ไม่ยอมบอกเหมือนกัน แต่ก็พอจะรู้ระแคะระคายกันมั่งแหละน่า ว่าใครเป็นใคร
เรื่องรายได้ภาษีอากรเข้ารัฐนี่ ที่นี่ยินดีสนับสนุนครับ เพราะท่านซื้อไปไม่ได้หวังว่าจะเอามาวิ่งใช้งานกันแบบพวกเราๆ ท่านๆ หรอก คนโชคดีที่สุด คือคนขับรถของท่านนั่นแหละ เพราะรถประเภทนี้เจ้าของขับเองไม่ได้เสียด้วย ต้องมีคนขับ คอยดูแลรถ บุญของเจ้าของมีแค่ที่นั่งด้านหลัง เสียสตางค์ซื้อมาแล้ว ไม่ได้นั่งตรงที่นั่งคนขับหรอก เชื่อขนมกินได้เลย
คุยเรื่องมั่งมีเงินทองแล้วรู้สึกตาร้อนกันมั่งไหมครับ
มาคุยเรื่องสัพเพเหระกันดีกว่า ว่ามีใครรู้บ้างว่าตอนนี้ผู้บริหารกรุงเทพมหานคร นำเอาแนวคิดเรื่อง โครงการเมืองน่าอยู่ ที่องค์การอนามัยโลกสนับสนุนให้ดำเนินการ เพราะในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมีการเพิ่มของประชากรเมืองในอัตราสูง ทำให้ก่อปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ อนามัย ความยากจน และความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจและสังคม
ตอนนี้มีเมืองในยุโรป 11 เมืองที่ดำเนินการโครงการนี้ และ กทม. ก็เอามาดำเนินการอยู่ด้วยเช่นกัน
ปัจจุบัน กทม. มีพื้นที่ 1,568.737 ตร. กม. มีประชากรตามสำมะโนประชากร 5,604,772 คน และยังมีประชากรแฝง ที่เข้ามาใช้พื้นที่ของ กทม. รวมแล้วเข้ามาใช้บริการในพื้นที่ กทม. ประมาณ 10 ล้านคน/วันปัญหาก็เลยเกิดนานัปการ
ตอนนี้แนวคิดโครงการเมืองน่าอยู่ นำมาทดลองใช้ในเขตยานนาวา สาทร และบางคอแหลม ตามขั้นตอนเริ่มด้วย ขยายแนวคิดจากกลุ่มเล็กไปกลุ่มใหญ่ จากผู้ปฏิบัติลงสู่ชุมชน/จัดตั้งตัวแทนกลุ่มประชาชน แลองค์กรในท้องถิ่น ร่วมกันปรึกษาหารือ จัดลำดับความสำคัญของปัญหา หาแนวทางในการแก้ไข และร่วมมือกันแก้ไขปัญหาจากสาเหตุและความต้องการที่แท้จริง
ปัจจุบันได้ดำเนินการเพิ่มเป็น 50 เขต โดยคณะทำงานได้กำหนดตัวชี้วัด เพื่อประเมินสถานภาพเขตน่าอยู่ 3ด้าน คือ ด้านสุขภาพทางกายและสุขภาพทางจิตของประชาชน/ ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านการประกอบอาชีพและความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจของประชาชน
หลังจากการประเมินล่าสุด พบว่า ค่าคะแนนของตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ 24 ตัว ค่าคะแนนของตัวชี้วัดอยู่ในระดับปานกลางจนถึงดีมากถึง 18 ตัว และมีระดับที่ต้องแก้ไขปรับปรุง 5 ตัว คือ การมีส่วนร่วมในการเมืองท้องถิ่น/ คุณภาพแหล่งน้ำสาธารณะ/ การขนส่ง-จราจร/ การมีงานทำ และ การกระจายรายได้
เจ้าตัวชี้วัดห้าตัวที่ว่านี่น่าจะเป็นเป้าหมายในการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ที่กำลังจะมาถึงในเร็ววันนี้นะครับ
ส่วนตัวชี้วัดเล็กๆ น้อยๆ อย่าง ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนนี่ ท่าทางจะไม่ได้อยู่ในการประเมินนะครับ เพราะต้องถือเอาว่าเป็นหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่จะปกป้องคุ้มครอง ให้ความปลอดภัยแก่ประชาชนอยู่แล้ว
ก็นึกเอาว่าพวกเราอยู่กันอย่างปลอดภัยก็แล้วกันนะครับ
เรื่องน่ารู้ถัดมา เป็นเรื่องของกระทรวงใหม่ล่าสุด กระทรวงพลังงาน ที่มียุทธศาสตร์ในการทำงานเพื่อการแข่งขันของประเทศไทย ได้กำหนดให้มีการจัดหาไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานทดแทนในสัดส่วนร้อยละ 3-5 ของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด ก็เลยต้องหาแนวทางในการผลิตพลังงานทดแทน
หลังจากการศึกษา ได้มีการเปรียบเทียบรูปแบบของเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตพลังงานจากขยะมูลฝอยหลายรูปแบบ โดยได้ทดลองดำเนินการใน 3 แห่ง ได้แก่ โครงการที่จังหวัดระยองโครงการ SEPCO และโครงการภูเก็ต แต่ต้นทุนการดำเนินงานยังสูงอยู่
ปัจจุบันปริมาณขยะทั่วประเทศมีประมาณปีละ 14.24 ล้านตัน (วันละ 39,000 ตัน) หากนำขยะมูลฝอยมาผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้า นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังมีรายได้จากการขายไฟฟ้าและปุ๋ยอินทรีย์อีกด้วย
จากการศึกษาทดลองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้รูปแบบการผลิตที่มีต้นทุนต่ำ และสามารถแข่งขันตามกลไกตลาดได้ โดยรูปแบบใหม่จะได้ทั้งพลังงานไฟฟ้าและปุ๋ยอินทรีย์ และจังหวัดนำร่องที่มีศักยภาพในการดำเนินการ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร/นครราชสีมา/เชียงใหม่/สุราษฎร์ธานี และนราธิวาส
จังหวัดสุดท้ายนี่คงต้องคอยอีกนานนะครับ กว่าจะเริ่มโครงการได้
เรื่องใหญ่สุดเห็นจะเป็นการให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อป้องกันการต่อต้านด้วยวิธีการต่างๆ เพราะในกระบวนการผลิตเป็นที่แน่นอนว่า ต้องมีกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยตลบอบอวลแน่นอน แม้ว่าจะมีผลพลอยได้ สามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร
ตอนนี้ก็ฝากให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่พร้อมที่จะลงทุนในโครงการ นำไปศึกษาปรับปรุงรูปแบบที่เหมาะสม เพื่อเป็นต้นแบบการดำเนินงานในอนาคต
เรื่องสุดท้าย เรียนมาเพื่อทราบว่า ตอนนี้เรามี คณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนของประเทศ เรียกชื่อย่อว่า กพย. โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ
หน้าที่ของคณะกรรมการชุดใหม่นี้ คือการกำหนดกรอบ ทิศทางและยุทธศาสตร์การพัฒนาขีดความสามารในการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ และผลักดันให้มีการนำกรอบทิศทางและยุทธศาสตร์การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
งานนี้ยกให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของกพย. โดยกำหนดขั้นตอน วิธีการ และแนวทางดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายและแผนงานดังกล่าวรวมทั้งกำหนดหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องหรือองค์กรอื่นที่จะให้รับผิดชอบปฏิบัติงานดังกล่าวด้วย
ก็ได้แต่หวังว่าประเทศไทย จะสามารถพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศขึ้นไปให้ได้นะครับไม่ใช่แค่ประกาศปาวๆ ว่าเราจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ โดยไม่หันหลังดูความจริงของชีวิตกันบ้าง
แค่เรื่องปรับปรุงภาษีสรรพสามิตเรื่องเดียว ลากยาวกันมาเป็นปี ผู้คนในวงการก็ได้แต่คอยดูว่าท่านจะทำอย่างไรเพราะในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์นี่ อย่างไรเสียเราก็ต้องเดินตามนโยบายของบริษัทแม่ในต่างประเทศที่เขาต้องวางแผนกัน 5 ปี 7 ปี ล่วงหน้า ไม่ใช่ให้สัมภาษณ์รายวันกันอย่างบ้านเรา
แค่เรื่องวิศวกรรมยานยนต์อย่างเดียวเนี่ย ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมกันเสียที มีแต่ราคาคุย
มหาวิทยาลัยของรัฐที่เปิดสอน ก็เพิ่งมีแห่งเดียว แล้วมันจะยิ่งใหญ่กันได้ยังไงก็ไม่รู้นะครับหรือพูดกันแบบคนมีสตางค์ก็ไม่รู้นะ
รถราคาเป็น 100 ล้านยังขายได้ แล้วรถราคาไม่เกิน 4 แสน คงขายกันสนุกสนานนะครับ
เรื่องโดย : มือบ๊วย
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52041