รอบรู้เรื่องรถ
เมื่อไรจะปราบ "ตีนผี" ?
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ผมกำลังขับรถกลับบ้านในตอนค่ำวันหนึ่ง ก็เห็นแสงไฟกะพริบมาแต่ไกลพร้อมกับเสียงไซเรน ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ เป็นรถของมูลนิธิที่พวกเราคุ้นเคยกันดีและครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมพบรถเหล่านี้ ในสถานการณ์เช่นนี้
ซึ่งก็คือดูเสมือนว่ากำลังอยู่ในช่วงวิกฤติ ที่จะตัดสินความเป็นความตายของใครคนหนึ่งเพราะขับตะบึงแบบไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น บังเอิญครั้งนี้รถของผมและรถมูลนิธิชื่อดังคันดังกล่าวอยู่ใกล้กับซอยที่มีโรงพยาบาลที่เป็นที่หมายของเขาพอดี ผมเลยยอมออกนอกเส้นทางเพื่อตามไปดูสักหน่อยว่าการรับและการลำเลียงผู้บาดเจ็บของโรงพยาบาลจะเร่งด่วนสมกับที่รถนี้สร้างความหวาดเสียว และเสี่ยงต่อการก่ออุบัติเหตุเสียเองมาตลอดทางหรือไม่แล้วผมก็พบคำตอบที่ผมสงสัยมานานแล้ว นั่นคือผู้บาดเจ็บที่ก้าวลงจากรถ ยังเดินได้สบายเป็นแผลที่เท้าข้างหนึ่งซึ่งไม่หนักหนาอะไรนัก
ผมนำมาเล่าเพราะเชื่อว่าน่าจะมีผู้อ่านจำนวนไม่น้อย เคยสงสัยเช่นเดียวกับผม
แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นหลักของเรื่องที่ผมจะเขียนในฉบับนี้ครับเพราะไม่ว่าจะมีผู้บาดเจ็บสาหัสอยู่ในรถหรือไม่ก็ไม่สมควรขับรถในแบบที่อาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้
เป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก ที่เชื่อว่าการรีบเดินทางไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย
หรือการนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล เป็นสิ่งคู่กับการขับรถอย่างบ้าระห่ำทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีขอบเขตความเหมาะสมครับผมเคยอ่านบทความเกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุและภัยธรรมชาติอย่างถูกวิธีในประเทศที่พัฒนาแล้วเขาบอกว่าหัวใจสำคัญคือการปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บอย่างถูกต้องก่อนครับส่วนการนำส่งโรงพยาบาล ซึ่งจำเป็นต้องรวดเร็วพอสมควร เป็นเรื่องรองลงมาแม้จะไม่มีความรู้ในด้านนี้ แต่ผมลองใช้สามัญสำนึกและเหตุผลแบบตรรกะพิจารณาดูก็เข้าใจได้ทันทีว่าต้องเป็นความจริง ยกตัวอย่างเช่น หากโรงพยาบาลอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุมากเช่นต้องเดินทางสักครึ่งชั่วโมงหรือเกินกว่านั้น ถึงจะขับแบบบ้าระห่ำเพียงใดก็คงไปถึงเร็วกว่าขับเร็วแบบปลอดภัยสัก 5 ถึง 10 นาที (ถ้าไม่คว่ำตายกลางทางเองหรือชนผู้อื่นตายระหว่างทางเสียก่อน) หากปฐมพยาบาล ณที่เกิดเหตุมาไม่เพียงพอหรือไม่ถูกหลักวิชาการ ผู้บาดเจ็บก็อาจจะเสียชีวิตตั้งแต่กลางทาง
ประเทศเราไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศด้อยพัฒนาหรือที่พวกต่างชาติซึ่งถนัดการเหยียดหยาม ตั้งชื่อว่า"โลกที่สาม" เพราะฉะนั้นหมดยุคของ "ตีนผี" ในการช่วยชีวิตประชาชนไปนานแล้วครับการยกย่องพฤติกรรมในการขับของพนักงานเหล่านี้ เป็นค่านิยมที่เลวร้ายและอันตรายอย่างยิ่ง
ผมยังจำได้ว่า เมื่อครั้งที่เกิดเพลิงไหม้โรงแรมขนาดใหญ่พอสมควร ที่หาดนาจอมเทียน เมืองพัทยาที่พวกเราคงยังไม่ลืม เพลิงลุกอยู่นานมาก จนต้องอาศัยความช่วยเหลือจากนักกู้ภัยของมูลนิธิหลายแห่งปรากฏว่ามีอยู่คันหนึ่งพลิกคว่ำกลางทาง จนไฟลุกไหม้เสียเอง จากการขาดทักษะและค่านิยม "ตีนผี"ของคนขับ ดูในข่าวแล้วหดหู่จริงๆ
ถึงเวลาปรับปรุงคุณภาพและสมรรถนะของหน่วยกู้ภัยเหล่านี้แล้วครับผู้ขับรถแต่ละคันควรผ่านการคัดเลือก กลั่นกรองอย่างละเอียดถี่ถ้วนกำจัดค่านิยมยกย่องความบ้าระห่ำโดยลูกน้อง และเพื่อนร่วมงาน ในแบบ "ยิ่งบ้า ยิ่งเก่ง"จัดพนักงานเหล่านี้เข้ารับการอบรมวิธีขับรถแบบถูกต้องและปลอดภัยซึ่งผมเชื่อว่าจะใช้ค่าใช้จ่ายน้อยมาก และคุ้มค่าอย่างยิ่ง หน่วยงานที่มีศักยภาพในการให้การอบรมอาจไม่คิดค่าใช้จ่ายก็ได้ หากเป็นพนักงานของมูลนิธิที่เกี่ยวกับการกุศล ที่ผมพอทราบแน่ว่ามี คือหน่วยงานของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศบริษัทหนึ่ง
ผมเห็นว่าน่าจะมีการแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบให้ชัดเจน ระหว่างหน่วยดับเพลิง
(ซึ่งเดิมขึ้นกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) กับมูลนิธิเหล่านี้ ในต่างประเทศที่เจริญแล้ว
ตำรวจดับเพลิงหรือหน่วยดับเพลิง จะมีหน้าที่กู้ภัยช่วยเหลือประชาชนครับหน่วยงานนี้จะมีพนักงานที่ผ่านการอบรมมาอย่างดี ทั้งด้านเทคนิคและจริยธรรมผู้คนรักใคร่และยกย่อง ลูกหลานใครได้เป็นพนักงานถือเป็นเกียรติอย่างสูงของครอบครัวและวงศ์ตระกูลเลยทีเดียวเกือบทุกคนมีสำนึกที่พร้อมจะตายในหน้าที่ เช่นเดียวกับทหารหาญยามออกรบเพื่อชาติ
หันมาดูหน่วยดับเพลิงของไทยแล้วก็วังเวงใจครับ เพื่อนผมคนหนึ่งมีบ้านอยู่ในซอยที่แออัดพอสมควรเขาบอกว่าที่บ้านต้องมีเงินสดเตรียมพร้อมไว้ตลอดเวลา และต้องเป็น "ก้อนใหญ่" พอสมควรด้วยครับเพราะหากบ้านข้างเคียงเกิดไฟไหม้ แล้วไม่มีเงินจ่าย
พนักงานดับเพลิงก็จะไม่มีน้ำสำหรับฉีดเลี้ยงเพื่อต้านเพลิงให้บ้านของเขา
ผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุหรือเหตุร้ายต่างๆ ต้องการช่วยเหลือและปฐมพยาบาลด้วยพนักงานที่มีความรู้ถูกต้องเพียงพอ และที่สำคัญต้องมีอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัยด้วยครับ เราต้องการรถพยาบาลที่ทันสมัยพร้อมบุคลากรในที่เกิดเหตุ
ไม่ใช่รถพิคอัพดัดแปลงเล็กน้อย ใช้งานครอบจักรวาลได้ทั้งขนศพเน่าเฟะ ทั้งรับคนเจ็บส่งโรงพยาบาล
คืนวันขึ้นปีใหม่ที่เพิ่งผ่านมา ผมเห็นสรุปข่าวร้ายที่สำคัญในรอบปีเห็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิเหล่านี้แบกคนแล้ววิ่งนำไปใส่รถพิคอัพ ด้วยลีลาท่าทางที่ผมคิดว่าผู้นั้นเสียชีวิตแล้ว
แต่พอฟังคำบรรยายจึงทราบว่าเป็นร่างของนิสิตหญิงของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ที่ถูกคนร้ายจับเป็นตัวประกันโดยการใช้มีดจ่อที่ลำคอแบกกันเหมือนท่อนไม้หรือศพที่ปราศจากชีวิตแล้ว ซึ่งที่จริงควรจะมีเปลรองรับ และรีบใส่รถพยาบาลแอมบูแลนศ์ (AMBULANCE) แท้ๆ เพื่อปฐมพยาบาลกลางทางผมต้องยอมรับว่าพนักงานทั้งสามหรือสี่คนที่แบก ล้วนมีเจตนาดีในการช่วยเหลือหญิงสาวเคราะห์ร้ายรายนี้แต่เป็นวิธีตามมีตามเกิดที่ให้โทษได้มากครับ
พอเห็นข่าวดังกล่าว ภาพเหตุการณ์ครั้งนี้ซึ่งยังอยู่ในความทรงจำของผม ก็เด่นชัดขึ้นมาอีกครั้งเสมือนเพิ่งได้ชมภาพข่าวไปเมื่อวานนี้เอง ผมจำได้ว่า แม้เพียงเศษเสี้ยวของช่วงเวลาหลายชั่วโมงของเหตุการณ์จริงที่ผมได้เห็นในโทรทัศน์เพียงไม่กี่นาทีก็ยังมีโอกาสเกินกว่าหนึ่งครั้ง ที่สามารถช่วยตัวประกันได้ผมเชื่อว่าหากบังเอิญนักศึกษารายนี้ มีญาติหรือบิดาเป็นทหารหรือตำรวจและอยู่ในเหตุการณ์ก็อาจจะช่วยชีวิตเธอไว้ได้มันเป็นการปฏิบัติงานที่อ่อนหัด ปราศจากความรับผิดชอบ ปราศจากการประสานงานที่เลวร้ายจริงๆของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นฝูง ไม่มีใครทราบว่าหากพรุ่งนี้เกิดเหตุการณ์เช่นเดิมกับลูกหลานของพวกเราจะเป็นเช่นเดิมหรือไม่
ผมไม่ได้มีอคติกับมูลนิธิใดนะครับ เพราะยังคงไปบริจาคทรัพย์ที่วัดหัวลำโพงอยู่ตามที่โอกาสจะอำนวยเพียงต้องการเห็นการช่วยเหลือที่ถูกต้องและปลอดภัย ต่อประชาชนชาวไทยเท่านั้น
กำลังจะจบเรื่องนี้ ก็เห็นข่าวรถมีนีบัสพลิกทับผู้โดยสารตาย ไปหลายราย ย่านถนนรามคำแหงเพราะคนขับเมายังดีที่คราวนี้มันหนีไม่รอด แถมยังเล่นลิ้นแก้ตัวได้อย่างยียวนอีกด้วยเป็นรถสายเดียวกับที่ผมต้องเผชิญกับมันทุกเช้า ทุกคัน มารยาททรามเหมือนกันหมดแม้รถติดเป็นแพมันก็ยังเปลี่ยนลู่วิ่งไปตลอดทาง แค่เห็นว่าลู่ข้างๆเคลื่อนล้ำหน้าไปเพียงครึ่งคันรถใครที่ขัดขวางมันและอยู่ในที่ๆ ไม่มีคนมากนัก มันก็จะถืออาวุธที่มีอยู่ในรถพวกมันทุกคันลงมาทำร้ายที่ผมแปลกใจมากก็คือ ตำรวจจราจรไม่เคยจัดการอะไรกับเดนนรกพวกนี้มีใครเคยเห็นตำรวจจราจรจับรถมีนีบัสบ้างไหมครับ ? ผมอยากถามผู้บัญชาการตำรวจจราจรว่าท่านปล่อยให้คนพวกนี้อยู่เหนือกฎหมายได้อย่างไร ?
ถ้าให้ทายและใช้ภาษาหนังสือพิมพ์รายวัน ผมก็เชื่อว่า ผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกทับเสียชีวิตก็คง "ตายฟรี"หรือเกือบฟรี พวกเราต้องเลิกประเมินชีวิตของผู้ไม่ใช่ญาติพี่น้องของเรา ต่ำจนเกินไปคนไทยเราจะห่วงแต่ญาติพี่น้อง พ่อแม่ ลูกหลานเท่านั้น ต้องเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ด้วยการเห็นคุณค่าของชีวิตผู้บริสุทธิ์ที่เราไม่รู้จักด้วย ช่วยกันกำจัดทรชนหลังพวงมาลัยพวกนี้ให้หมดไปเถิดครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51967