เล่นท้ายเล่ม
นาย "ขวาน" ทอง
กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว...คนไทยคนหนึ่งเกิดในแผ่นดินไทย เป็นเพศชาย พ่อแม่ตั้งชื่อว่านายทองเพราะลูกคนนี้ทำให้ครอบครัวมีความร่ำรวยมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์
และความร่ำรวยนั้นคือเงินและทอง ต่อมาก็มีเพชรและมรกตแล้วก็มีไปทั้งหมดที่ครอบครัวของนายทอง อยากจะมีพ่อแม่นายทอง ก็มีความชื่นชมในบุตรคนนี้จนไม่ได้สนใจว่านายทองควรจะดำเนินชีวิตอย่างไรต่อไปลืมแม้กระทั่งการเล่าเรียนของนายทองซึ่งค่อนข้างไม่ได้คะแนนดีสักเท่าไรเพราะนายทองเป็นเด็กที่มีความคิด เป็นความคิดแบบ ออริจินอล (ORIGINAL) ไม่เหมือนใคร
เวลาเรียนหนังสือ นายทองก็จะเป็นนักเรียนคนเดียวในห้องที่เถียงครูประจำชั้น
ครูสอนเรื่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า นายทองก็จะเถียงครูว่า ยังมีสี่เหลี่ยมคางหมูให้เรียนทำไมครูไม่พูดถึงหรือไม่บางวันนายทองก็จะสอนครูว่า วันนี้อย่าเรียนเรื่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าเลยเรามาเรียนเรื่องสามเหลี่ยมกันเถอะ
ครูประจำชั้นคนนี้ของนายทองเป็นผู้หญิง ดันรู้ความคิดของนายทองว่า
เรื่องสามเหลี่ยมที่นายทองพูดถึงน่ะคืออะไรของครู
นายทองมีความสนใจในเรื่องที่นายทองไม่รู้ โดยเฉพาะภาษาซึ่งมนุษย์ในโลกนี้ใช้กันมากคือภาษาอังกฤษนายทองเคยหนีโรงเรียนไปดูหนังและหนังทุกเรื่องที่ได้ดูก็ได้ยินแต่หนังที่พูดกันเป็นภาษาอังกฤษจึงลงความเห็นว่า ชาตินี้จะต้องพูดอังกฤษให้ได้
นายทองให้ความสนใจกับภาษาอังกฤษ ทั้งๆ ที่โรงเรียนที่นายทองเรียนเป็น 1 โรงเรียน 1 อำเภอเป็นโรงเรียนในชนบทห่างไกลปืนเที่ยงครูสอนภาษาอังกฤษก็สอนไปตามตำราไม่ได้มีวุฒิภาวะถึงระดับครูฝรั่งตามโรงเรียนฝรั่งในพระนครเพราะครูสอนภาษาอังกฤษของนายทองนั้นก็คือครูประจำชั้นนายทองนั่นเอง ไม่ใช่ สเปเชียลิสต์
(SPECIALIST) มาจากต่างประเทศที่ไหน
อำเภอของนายทองมีงานประจำปี มีคนไปเที่ยวกันมาก ในบรรดาคนไปเที่ยวก็มีฝรั่งไปเที่ยวด้วยเหมือนกันนายทองตื่นเต้นมากเพราะมีโอกาสได้พูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งนักท่องเที่ยว และฝรั่งก็ชื่นชมนายทองเห็นนายทองเป็นเด็กอายุเพียงสิบขวบแต่พูดฝรั่งได้
พูดได้ แต่พูดไม่เป็นฝรั่งฟังรู้เรื่องเพราะสังเกตนิ้วมือและสังเกตความรู้สึกจากใบหน้าของนายทองเป็นหลัก
นายทองก็รู้สึกว่า ตัวเองชักเป็นเทวดามากขึ้นกว่าความเป็นมนุษย์
ในงานประจำปีของอำเภอ มีการฉายหนังกลางแปลงเป็นประสบการณ์ใหม่ของนายทองเพราะนายทองเริ่มเห็นหนังที่พูดจาแตกต่างไปจากหนังที่ตนเองเคยดูในโรงหนัง คือพูดภาษาไทยกันทั้งเรื่อง นายทองมีความสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามใคเพราะคิดว่าถ้าถามแล้วคนที่ถูกถามจะดูถูกหาว่าตนเองไม่รู้เรื่องรู้ความ
แต่ถ้าถามใครสักคน นายทองก็จะรู้ทันทีว่าที่หนังพูดภาษาไทยนั้นเพราะเป็นหนังไทย สร้างโดยคนไทยแสดงโดยคนไทย
ปกตินายทองชอบดูหนัง เพราะรู้สึกว่าหนังสอนให้นายทองรู้จักคิด รู้จักการสร้างภาพ
มีจินตนาการมากมาย แม้แต่เวลาที่พระเอกนางเอกผู้ร้ายพูดกันนายทองก็ตื่นเต้นในน้ำเสียงเป็นอันมากทุกอย่างนี้ทำให้นายทองมีความเบื่อหน่ายในการดูหนังไทย
ตอนแรกนายทองก็เบื่อเพราะหนังไทยพูดไทย รู้เรื่องเร็วกว่าเนื้อเรื่องจะเดินมาถึง
ต่อมานายทองก็เบื่อหนักเข้าไปอีกเพราะเนื้อหาของเรื่องค่อนข้างจะเหมือนชีวิตคนไทยที่อยู่ล้อมรอบตัวนายทอง ไม่มีอะไรใหม่
พระเอกรวย นางเอกจน พระเอกหอบเอาเงินสดมาให้นางเอก 10 ล้านขอแต่งงานด้วย
นางเอกไม่ยอมเห็นว่าพระเอกดูถูกความรัก
นางเอกรวย พระเอกเป็นแค่คขับรถ แต่นางเอกรักมากจนกลายเป็นศัตรูกับพ่อแม่
เกือบจะวางแผนฆ่าหั่นศพกันอยู่แล้ว พอดีมีคนแปลกถิ่นมาพบพระเอก ขอให้พระเอกแก้ผ้าดูก้นเห็นปานแดงที่ก้นก็พากันก้มลงกราบไหว้ ว่าพระเอกเป็นรัชทายาทพลัดถิ่นมาเป็นแบบนี้ อย่าว่าแต่นายทองจะเบื่อเลย แม้แต่ผมเองที่เป็นคนเล่าเรื่องนี้ก็เบื่อมากๆ เหมือนกัน
ครั้นนายทองโตขึ้น พ่อแม่ของนายทองก็จัดการส่งนายทองเข้ามาอยู่กรุงเทพ ฯ
ซื้อบ้านและที่ดินกว้างขวางใหญ่โต แต่นายทองกลับเห็นว่าคับแคบแทบไม่มีอากาศหายใจ
ที่นายทองคิดเห็นเช่นนั้น เป็นเรื่องถูกต้องเพราะความกว้างขวางใหญ่โตที่พูดถึงนี้เป็นเพียงอาณาเขตที่นายทองอาศัยอยู่ออกนอกเขตเมื่อไรความคับแคบก็จะอุบัติขึ้นทันที ในถนนมีแต่รถยนต์ ในน้ำมีแต่ความสกปรกในโรงเรียนก็เต็มไปด้วยนักเรียน
ชีวิตในระยะเริ่มแรกของนายทองที่เมืองปืนเที่ยงจึงเป็นความอึดอัดต่อมาก็กลายเป็นความเหงาเพราะนายทองก็คือคนกรุงคนหนึ่งในจำนวนล้านๆ คนที่แออัดกันอยู่
นายทองไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากไปกว่า เป็นคนกรุงกับเขาคนหนึ่งเท่านั้น
ซึ่งต่อมานายทองก็คิดได้เองและคิดไปไกลว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้ทุกคนหันมาสนใจตัวเองเหมือนสมัยที่อยู่บ้านนอก
บทศึกษาของนายทองไม่ได้มาจากตำรา แต่มาจากคนกรุงที่อยู่รอบตัวนายทอง
ความมีชื่อเสียงของคนเหล่านั้นได้ถูกนายทองนำไปคิด นำไปเลียนแบบ เริ่มจากความเป็นนักแสดงนายทองพยายามจะเป็นนักแสดงทั้งๆ ที่หน้าตาของนายทองหมดโอกาส
เพราะนักแสดงส่วนมากเป็นลูกครึ่ง หน้าตาไม่เหมือนหน้าตาคนไทยแบบนายทองที่เป็นคนไทยแท้
เมื่อนายทองเป็นนักแสดงไม่ได้และลงความเห็นว่าชาตินี้คงเป็นนักแสดงไม่ได้แน่ นายทองก็เริ่มเห็นว่าน่าเป็นผู้แทนราษฎร
ซึ่งเมื่อนายทองเกิดความคิดเช่นนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรงของนายทองเลยที่นายทองจะกลายเป็นนักการเมือง เล่นการเมืองเพราะนายทองมีอะไรก็ได้ที่อยากจะมี เนื่องจากความร่ำรวยที่ไม่รู้จักหยุดในครอบครัวของตน
นายทองตกลงใจเล่นการเมือง พวกของนายทองก็มากขึ้นในบรรดาพวกของนายทองต่างก็แก่งแย่งกันเป็นคนสนิทอย่างที่เข้าใจกันว่า เป็น นายเวรซึ่งอันที่จริงเป็นเวรของนายทองมากกว่า เมื่อมีพวกมากนายทองก็ตั้งพวกเป็นพรรค
นับแต่ชีวิตเปลี่ยนเป็นนักการเมืองแล้ว นายทองเริ่มพูดคำใหม่ๆ ที่ตนเองไม่เคยพูดมาก่อนเช่นคำว่า"ชาติ" คำว่า "ประเทศ" คำว่า "ประชาชน" และสุดท้ายก็หนีคำว่า "ไทย" ไปไม่พ้น
ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่นายทองมองดูแผนที่ประเทศไทยด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกว่าเมื่อครั้งยังเป็นเด็กนักเรียนในชนบทสมัยนั้นมองดูแผนที่ทีไร ครูประจำชั้นจะบอกนายทองว่า นี้คือนายทอง เพราะนี้คือขวานทองมาถึงสมัยนี้นายทองมองแผนที่แล้วก็เกิดความคิดว่าจะทำอย่างไรดีกับขวานทองอันนี้
ห้วงเวลาที่นายทองเป็นนักการเมือง ประเทศของนายทองยากจนนายทองซึ่งเป็นคนเกิดมาในตระกูลพ่อค้าก็คิดแบบพ่อค้า เห็นว่าวิธีเดียวที่ประเทศชาติจะรวยขึ้นมาได้
ต้องค้าต้องขาย หรือไม่อย่างน้อยก็ต้อง ลีซิง
ปรากฏว่าความคิดของนายทองกลายเป็นความคิดแบบใหม่ผู้คนในประเทศของนายทองพากันนิยมชมชอบนายทองเป็นอย่างมากและถ้านายทองอยากเป็นนายกก็คงเป็นได้แต่นายทองยังเป็นนายกไม่ได้เพราะนายทองยังเป็นแค่นักการเมือง
แม้นายทองยังไม่ได้เป็นนายก แต่นายทองก็สนใจคำว่า "นายก" วันหนึ่ง เห็นเมืองเมืองหนึ่งชื่อนครนายก เกิดความคิดว่าเมืองของนายกน่าจะอยู่ที่นครนายกสอดคล้องต้องกันกับเหตุผลหลายประการ อย่างน้อยๆก็จะเป็นเมืองที่ไม่มีความแออัดเพราะเป็นเมืองใหม่
ดีไม่ดี อาจแบ่งเขตให้ฝรั่งเช่า กลายเป็น เขตเช่าแบบเดียวกับที่ฝรั่งเคยเช่าเมืองเซี่ยงไฮ้ หรือเมืองมาเก๊าฮ่องกงเจริญงอกงามตามแบบนานาประเทศ
การค้าของนายทองนั้นเป็นระดับสากลนายทองจึงพยายามยกประโยชน์ให้กับคนต่างประเทศหลอกล่อให้เข้ามาใช้เงินมีธนาคารอยู่เท่าไรนายทองก็พยายามขายให้คนต่างประเทศ มีที่ดินตรงไหน คอนโดถนนสายไหนพอจะขายให้ฝรั่งได้นายทองก็จะทำ ใครจะทักท้วงติงอย่างไรนายทองก็ไม่ฟัง
อยู่มาวันหนึ่งนายทองดันมีความคิดใหม่เอี่ยมเสนอพรรคพวกว่าทำเนียบรัฐบาลนี้ควรขายให้ฝรั่งไปเสียเถอะ เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์สาระอะไรความคิดนี้ไม่มีใครเห็นด้วยทั้งๆ ที่รักใคร่ชอบพอนายทอง แต่ก็ต้องเชิญนายทองลงจากเก้าอี้ชีวิตของนายทองก็พังครืน ไม่ได้เป็นนายก
ทั้งหมดนี้ จะไปโทษนายทองก็ไม่ได้ ชีวิตของนายทองไม่ได้แตกต่างกว่าคนอีกหลายคนและความผิดของนายทองนั้นมีอย่างเดียว คือนายทองไม่ได้เรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทยและมีชีวิตอยู่ห่างไกลจากความเป็นไทยเหลือคณานับ...!
เรื่องโดย : บรรเจิด
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2547
คอลัมน์ Online : เล่นท้ายเล่ม
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51939