รู้ลึกเรื่องรถ
วิ่งง่าย แต่หยุดยาก !
การทำให้รถที่กำลังแล่นอยู่ ลดความเร็วลงจนหยุดได้อย่างปลอดภัยนั้น
มองอย่างไม่คิดอะไรมากก็ไม่น่าจะมีอะไรยากเย็นนัก บางคนอาจบอกว่าไม่เห็นมีอะไรมากเลยหาอะไรที่มันมีความฝืด ทนร้อนได้และไม่สึกง่าย มาถูกับอะไรที่มันหมุนไปพร้อมกับล้อรถก็น่าจะเรียบร้อยแล้ว
คงพอเป็นไปได้ครับ ถ้าเป็นระบบห้ามล้อของจักรยานหรือรถสามล้อที่มีแต่เบรคของล้อหลังล้อเดียวอย่าง " ซาเล้ง" แต่การเบรคหรือการห้ามล้อรถเก๋ง 4 ล้อ
ที่พวกเราใช้กันอยู่นี้มีเงื่อนไขปลีกย่อยมากมายครับ มีล้อหน้าและล้อหลังซึ่งรับภาระหน้าที่ต่างกันมากมีล้อในโค้งและล้อนอกโค้ง มีล้ออยู่บนผิวลื่นและล้อที่อยู่บนผิวฝืด
แล้วยังมีตัวการสำคัญเข้ามามีบทบาทอย่างมาก ซึ่งก็คือมนุษย์ที่ยังต้องแบ่งเป็นสองฝ่ายคือฝ่ายเราซึ่งเป็นผู้ขับ กับฝ่ายอื่นซึ่งก็คือผู้ร่วมใช้ถนนนั่นเอง
เพราะฉะนั้นการเบรคให้ปลอดภัยทุกสถานการณ์ แล้วคงความสะดวกสบายด้วย
จึงเป็นศาสตร์ที่ทั้งกว้าง ทั้งลึก ละเอียดอ่อนซับซ้อนมากพอสมควรครับ ผมคงไม่ต้องมองอนาคตเอาแค่ที่มีใช้กันอยู่ในรถใหม่ของปีนี้ ถ้าจะศึกษากันทั้ง " ซอฟท์แวร์" และ " ฮาร์ดแวร์ " แล้วนั่งเรียนกันทั้งวัน จันทร์ ถึง ศุกร์ สองปีก็ยังไม่ครบครับ แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปเรียนวิชาอื่นๆ อีก ?แค่เล่าพอให้เห็นภาพพจน์ครับ นักศึกษาวิศวกรรมรถยนต์ จะเรียนพื้นฐานที่สำคัญส่วนรายละเอียดปลีกย่อยไปเรียนรู้ " ต่อยอด " กันตอนทำงานครับ สุดแต่ว่าใครจะไปทำงานแขนงไหนหรือไม่ก็เสริมตอนทำปริญญาโท และเอก
ความก้าวหน้าทางด้านอีเลคทรอนิคส์ ทำให้เรามีระบบเบรคแบบป้องกันล้อตาย หรือลอคได้โดยอัตโนมัติ เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยมในความเห็นของผม เพราะช่วยป้องกันผู้ใช้รถทั่วโลกไม่ให้บาดเจ็บและล้มตายได้มากมาย จากการเบรคฉุกเฉินบนถนนลื่นและไม่ลื่น
หลักการทำงานของมัน ผมเคยนำเสนอไปแล้ว แต่อาจจะผ่านมาหลายปี ถ้าเอามาอธิบายใหม่
คงหมดเนื้อที่ก่อนที่จะเข้าเรื่องที่ผมต้องการเขียนครับ
เอาเป็นว่าระบบนี้จะลดแรงเบรคที่ล้อแต่ละล้อได้อย่างรวดเร็วทันทีทันใด
ขณะที่ล้อกำลังจะลอคหรือตาย แล้วก็กลับให้แรงเบรคใหม่ได้ทันทีทันใดเหมือนกันตอนล้อกลิ้งต่อเหมือนกับเราเหยียบแป้นเบรคอย่างแรงแล้วปล่อย แล้วเหยียบซ้ำสลับกันไปแต่มันเก่งกว่าเราหลายเท่า เพราะทำแบบนี้ได้หลายครั้งในหนึ่งวินาที
รถจะใช้ระยะทางเบรคสั้นมากบนถนนลื่นเราสามารถออกแรงเหยียบแป้นเบรคได้แรงเต็มที่โดยไม่ต้องยั้งนอกจากนี้ตอนเบรคฉุกเฉินแล้วยังหยุดไม่ทัน
ก็ยังสามารถหมุนพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวหลบได้โดยไม่ต้องถอนเท้าจากแป้นเบรคด้วย
ระบบนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ "เอบีเอส" ครับ พอมีระบบอีเลคทรอนิคส์มาช่วยควบคุมแรง
เบรคได้อย่างว่องไวแม่นยำขนาดนี้ นักสร้างรถก็เลยสามารถนำมาดัดแปลงให้มันทำอะไรให้เราปลอดภัยและสบายขึ้นอีกมากมายในการขับรถ
อย่างแรกทำง่ายหน่อย คือเอามาใช้กลับทางกับตอนเบรคนั่นคือดัดแปลงเป็นระบบเสริมป้องกันล้อหมุนเกินกลิ้ง หรือที่นิยมเรียกกันว่าล้อหมุนฟรีนั่นแหละครับ
โดยใช้เซนเซอร์วัดความเร็วประจำล้อขับเคลื่อน ซึ่งก็คือเซนเซอร์ตัวเดียวกันของระบบเอบีเอส นั่นเองพอได้สัญญาณว่า ล้อขับเคลื่อนเร่งความเร็วเกินควร และยังหมุนเร็วกว่าล้อที่ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยนั่นแสดงว่าล้อนั้นหมุนฟรีแล้ว ระบบควบคุมจะ " หุบ " ลิ้นผีเสื้อ หรือลิ้นคันเร่ง(ถ้าเป็นลิ้นที่ถูกควบคุมด้วยไฟฟ้า) เพื่อลดกำลังของเครื่องยนต์ลง
แต่วิธีนี้อย่างเดียวยังช้าเกินไปครับ ต้องเบรคล้อที่กำลังเริ่มหมุนฟรีให้ทันการด้วย ซึ่งทำได้ไม่ยากใช้ระบบคุมแรงเบรคของเอบีเอส นั่นเองโดยนำพลังงานและความดันจากปั๊มไฟฟ้าของระบบเอบีเอสมาใช้ตามหลักการแล้วการทำงานของระบบป้องกันล้อหมุนฟรี หรือ แทรคชัน คอนโทรล นี้สูญเสียพลังงานของเชื้อเพลิงส่วนหนึ่ง ไปในรูปของความร้อนที่ผ้าเบรคและจานเบรคแต่ถือว่าน้อยมาก เพราะเป็นระยะเวลาที่สั้นไม่กี่วินาทีเท่านั้น
ขยับมาอีกขั้นคือการให้ระบบนี้เบรคล้อบางล้ออย่างรวดเร็วทันใจเพื่อป้องกันการเสียการทรงตัวของรถในโค้ง ไม่ว่าจะในขณะขับตามปกติแต่ใช้ความเร็วสูงไป
หรือเพราะเบรคหรือเร่งในโค้งแรงเกินไปก็ตาม ระบบจะเบรคล้อที่สมควรถูกเบรค ด้วยความไว ความแรง และระยะเวลาที่เหมาะเท่านั้นเช่นถ้าจะเสียหลักแบบท้ายเหวี่ยงออกนอกโค้งระบบนี้ก็จะเบรคล้อหน้าที่อยู่นอกโค้งเพียงล้อเดียวเพื่อต้านอาการ "ท้ายปัด"
ที่กล่าวมานี้เป็นผลพลอยได้ของ "เอบีเอส" ครับ ในส่วนที่เกี่ยวกับการเบรคโดยตรง
ก็ยังมีโอกาสพัฒนาไปได้อีกมากมาย ผมขอเล่าเฉพาะสิ่งที่มีใช้อยู่ในรถที่มีจำหน่าย
และแล่นอยู่บนถนนเรียบร้อยแล้วก่อนนะครับ ซึ่งดูเหมือนทางโรงงาน ไดมเลร์ไครสเลอร์จะวางตลาดเป็นรายแรก โดยติดตั้งในรุ่น เอสแอล ที่เริ่มออกจำหน่ายเมื่อสองปีที่ผ่านมาใช้ชื่อว่า เซนโซทรอนิค เบรค คอนโทรล ( SENSOTRONIC BRAKE CONTROL)หรืออย่างย่อว่า เอสบีซี เป็นชื่อทางพาณิชย์นะครับ ไม่ใช่ชื่อทางวิชาการ
ยุคนี้ทุกโรงงานจะต้องมีนักตั้งชื่อระบบต่างๆ ให้หรู น่าเลื่อมใส พร้อมตัวย่อกันทั้งนั้น
แทนที่จะใช้หม้อลมสุญญากาศช่วยผ่อนแรงแบบที่เรารู้จักกัน ระบบนี้ใช้ปั๊มไฮดรอลิค
สร้างความดันโดยตรง โดยมีหม้อพักเก็บความดันและรักษาความดันให้คงที่พร้อมใช้งานได้ทันทีทันใดแทนที่จะต้องออกแรงเหยียบเบรคมากน้อยตามต้องการ เหมือนรถทั่วไปที่ใช้หม้อลมแป้นเบรคของระบบนี้จะทำหน้าที่เปิดลิ้นควบคุมความดันของน้ำมันเบรคที่จะไปสู่ล้อ ซีตรอง และบีเอมดับเบิลยู บางรุ่นก็เคยมีใช้มานานแล้วนะครับ
เพียงแต่ไม่มีระบบอีเลคทรอนิคส์มาร่วมอย่างมากเหมือนสมัยนี้ มีดีก็ต้องมีเสียเป็นธรรมดาผู้ขับหลายรายติว่าความรู้สึกขณะเบรครถเบนซ์ที่ใช้ระบบนี้ "ไม่เป็นธรรมชาติ"
และควบคุมแรงเบรคได้ยาก
แต่ดูคุณสมบัติด้านอื่นของระบบนี้แล้วต้องบอกว่าคุ้มครับ เพราะทำอะไรเด็ด ๆ ได้หลายอย่าง เช่นเบรคนุ่มหรือ ซอฟท์ สตอพ (SOFT STOP) เขาเรียกมาอย่างนี้นะครับ ผมไม่ได้ตั้งเองใครที่เป็นคนละเอียดอ่อนพอสมควรจะรู้สึกว่าขณะที่เราเบรครถเพื่อหยุดอย่างนุ่นมวลนั้นตอนที่ล้อหยุดสนิท จะรู้สึกเหมือนเราเบรคแรงเกินไป ที่จริงแล้วไม่ได้แรงเกินครับ
แต่เป็นเพราะช่วงที่จานเบรคเสียดสีกับผ้าเบรคด้วยความเร็วต่ำ คือตอนที่ล้อเกือบหยุดหมุนนั้นแรงเสียดทานจะสูงขึ้นครับ แรงเบรคก็เลยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ถึงจะคอยลดแรงที่เหยียบก็ยังไม่ค่อยได้ผลเพราะหม้อลมที่ช่วยเสริมแรงเหยียบเบรค มันไม่ได้เสริมมากน้อยตามส่วนที่เราเหยียบครับเพราะการทำงานของมันก็ต้องอาศัยการเปิดลิ้นให้อากาศผ่าน ระบบเอสบีซีจะลดความดันของน้ำมันเบรคลงก่อนล้อหยุดหมุนเล็กน้อย รถก็จะหยุดอย่างนุ่มนวลและไม่ใช่หลับหูหลับตาลดนะครับ แต่เป็นระบบแสนรู้ที่ใช้ข้อมูลจากเซนเซอร์หลายอย่าง ถ้าคนขับเหยียบเบรคอย่างแรงหมายถึงต้องการหยุดด้วยระยะทางสั้นที่สุด ใช้เวลาน้อยที่สุดระบบนี้ก็จะยกเว้นการทำงาน เช่นเดียวกับตอนเข้าจอดในที่แคบ คือไหลมาด้วยความเร็วต่ำแต่แรกมันก็จะไม่ทำงาน เพราะถ้ามัวแต่เบรคนุ่มจะพาลจิ้มท้ายคันหน้าที่จอดอยู่ก่อนได้
อย่างที่สองที่ระบบนี้ทำได้ คือคอยรีดน้ำจากจานเบรคเป็นระยะ ขณะที่ขับทางไกลตอนฝนตกเพราะละอองน้ำจะเกาะที่จานเบรคจนชุ่ม พอเหยียบเบรคเราจะรู้สึกว่ามันทำงานช้าไปหน่อยเนื่องจากผ้าเบรคต้องอาศัยเวลาในการรีดน้ำออกจากจานเบรค เซนเซอร์วัดสัญญาณเม็ดฝนจะส่งข้อมูลให้ระบบควบคุม เพื่อให้ระบบเบรคทุกล้อทำงานเบาๆ เป็นช่วงๆเพื่อคอยรีดน้ำจากจานเบรค
อย่างที่สามเป็นการเบรครอหรือเบรคล่วงหน้า (PREFILL)เมื่อใดก็ตามที่คนขับถอนเท้าออกจากคันเร่งอย่างเร็ว เซนเซอร์จะส่งสัญญาณสู่ระบบควบคุมว่าคนขับต้องการเบรคแน่นอน ระบบนี้จะเบรคแบบเบาะๆ รอไว้เลย เพื่อให้ผ้าเบรคกดจานเบรครอไว้
ไม่ต้องสูญเสียทั้งเวลาและระยะทางเบรคขณะเบรคฉุกเฉิน ระบบนี้มีประโยชน์มากครับเพราะระยะทางไม่กี่เมตรก็ตัดสินแล้วว่า เราจะชนหรือไม่ ถ้าชนก็ยังตัดสินอีกว่าเสียหายมากหรือน้อยหรือไม่ก็ตัดสินว่าบาดเจ็บหรือตาย แต่ถ้ามีระบบนี้แล้วยังเหม่อหรือจ้อเรื่องไร้สาระด้วยโทรศัพท์มือถือก็คงไม่มีประโยชน์เพราะมันจะเริ่มทำงานเมื่อคนขับยกเท้าจากคันเร่งอย่างเร็วเพื่อเบรคเท่านั้น
หน้าที่ที่สี่ ไม่ถึงกับพิเศษมาก เพราะมีใช้กับรถอื่นมานานพอสมควรนั่นคือระบบป้องกันรถไหลเมื่อจะออกรถบนทางชัน ทำง่ายครับและมีหลายวิธีด้วยเซนเซอร์วัดมุมของตัวรถจะบอกว่ารถถูกเบรคหยุดอยู่บนทางชันหรือเปล่าถ้าใช่ระบบเบรคจะยังทำงานอยู่แม้คนขับจะยกเท้าออกจากแป้นเบรคแล้วเมื่อคันเร่งถูกเหยียบระบบเบรคจึงจะคลาย
ระบบสุดท้ายคือระบบช่วยเบรคตอนรถติด ซึ่งมีประโยชน์มากทีเดียวครับถึงจะไม่ใช่ความปลอดภัยโดยตรง แต่ก็ช่วยลดความเครียดได้มากโดยเฉพาะตอนรถติดระยะยาว
และต้องตามคันหน้าที่ขับ "ไม่เป็น" เบรคอย่างแรงทุกครั้ง ทำให้เราต้องรีบเบรคอย่างแรงตามไปด้วยระบบนี้จะรับรู้ว่ารถติดด้วยเซนเซอร์ความเร็ว ถ้าคนขับถอนเท้าจากคันเร่งค่อนข้างเร็วและรถมีความเร็วต่ำกว่า 15 กม. / ชม. ระบบอัตโนมัติจะเบรครอไว้ตั้งแต่เริ่มถอนคันเร่งถ้ายังไม่พอผู้ขับก็สามารถเหยียบเบรคเพิ่มได้ และถ้าพ่วงเข้ากับ เรดาร์วัดระยะห่างจากคันหน้าก็ให้มันเบรคและเร่งแทนเราได้เลยครับตอนรถติด ซึ่งโรงงานก็มีให้เลือกแล้ว แต่ต้องจ่ายเงินเพิ่มและยังช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าให้ปลอดภัยขณะขับตามได้ด้วย
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2547
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51929