พิเศษ(formula)
ตามรอยอารยธรรม
หากพูดถึงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ส่วนใหญ่จะนึกถึงการ ท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่มุ่งเน้นไปในเรื่องของธรรมชาติ
การรักษาสิ่งแวดล้อม ทะเล ป่า และน้ำ แต่ยังมีการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อีกรูปแบบหนึ่งที่คนทั่วไปไม่ค่อยได้คิดถึง
คือ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ วัฒนธรรม ที่มุ่งเน้นทั้งด้านความบันเทิง และเสริมความรู้เกี่ยวกับสถานที่สำคัญต่างๆ
ในประเทศไทย ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการท่องเที่ยวที่ได้รับทั้งความสนุกสนาน ได้พบเห็นสิ่งที่แปลกใหม่
อีกทั้งยังสอดแทรกความรู้เพิ่มเข้าไป เป็นกำไรแก่ชีวิต และสมองของเรา
เมื่อเร็วๆ นี้ "ฟอร์มูลา" ได้รับเชิญจาก บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด และโครงการธิงค์เอิร์ธ
ให้เข้าร่วมกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วัฒนธรรมภายใต้ชื่อโครงการ "ตามรอยอารยธรรม สู่ดินแดนสุวรรณภูมิ"
โดย บุญพีร์ พันธ์วร ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายประชาสัมพันธ์และกิจกรรมเพื่อสังคม ของ สยาม
นิสสัน ฯ หัวเรือใหญ่งานนี้ บอกถึงวัตถุประสงค์ของกิจกรรมดังกล่าวว่า เพื่อศึกษาความเป็นมาของชนชาติไทย
ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยในอดีตกาล ในดินแดนสุวรรณภูมิ หรือหากแปลให้ตรงก็คือ ดินแดนแห่งทองคำ
โดยจะมุ่งสู่จังหวัดต่างๆ ที่ครั้งหนึ่งในอดีตถือเป็นหัวเมืองหลักสำคัญของประเทศไทย ในเส้นทาง ลพบุรี-อ่างทอง-
สุพรรณบุรี-อู่ทอง-กาญจนบุรี
ลพบุรี
เช้าวันแรก คณะสื่อมวลชนสาขาต่างๆ พร้อมกันที่ อาคารสำนักงานใหญ่บริษัท สยามกลการ จำกัด ปทุมวัน โดย
นิสสัน ได้จัดเตรียมรถ นิสสัน ซันนี นีโอ ใหม่ 1,800 ซีซี 5 คัน พร้อม นิสสัน เออร์แวน เซดดี 30 ใหม่ 2 คัน
ให้ใช้เป็นพาหนะในการเดินทางครั้งนี้
จุดหมายแรกของการตามรอยอารยธรรม คือ จังหวัดลพบุรี
ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่อยู่ริมทะเลและเป็นเมืองท่าในอดีตกาล เราแวะชม วัดยาง ณ รังสี ตั้งอยู่ที่ตำบลตลุง
อำเภอเมือง ริมแม่น้ำลพบุรี มีพิพิธภัณฑ์เรือพื้นบ้าน ซึ่งก่อตั้งโดยชุมชนในละแวกวัด
ชาวบ้านมีความผูกพันอยู่กับแม่น้ำ โดยมีเรือพื้นบ้านรูปแบบต่างๆ กว่า 40 ลำ
ที่สร้างขึ้นด้วยภูมิปัญญาของชาวบ้านในอดีตแสดงไว้ภายในพิพิธภัณฑ์
บางลำคนในรุ่นปัจจุบันคงจะไม่เคยได้เห็นหรือเคยได้ยินชื่อมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น เรือมาด เรือหมู เรือพายม้า
เรืออีโปง เรือป๊าบ เรือแตะ เรือชะล่า เรือกระแชง เรือเข็ม และเรือแปลกๆ อีกมากมาย
จุดเด่นของวัดยาง ณ รังสี อีกจุดหนึ่งได้แก่ ต้นยางเก่าแก่ที่มีขนาดใหญ่มาก ต้องบอกว่าใหญ่จริงๆ
เพราะเราลองยืนจับมือล้อมรอบต้นยางต้องใช้คนถึง 15 คนโอบ
จากการสอบถามชาวบ้านในละแวกนั้นแล้วได้รับคำตอบว่า ต้นยางต้นนี้มีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี
แต่ไม่ทราบอายุที่แท้จริงว่าเท่าไร จึงไม่แปลกใจเลยว่าชื่อของวัดได้มาอย่างไร
ช่วงบ่าย เดินทางต่อไปยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สถานที่สำคัญที่สุดอีกแห่งหนึ่งของเมืองลพบุรี ชมพระราชวังเก่าสมัยพระนารายณ์
และได้ศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นอยู่ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมของผู้คนในสมัยพระนารายณ์
ซึ่งยังคงเก็บรักษาวัตถุโบราณต่างๆ ในสมัยนั้นไว้ให้เราได้ชมกันอย่างค่อนข้างสมบูรณ์
สุพรรณบุรี
วันรุ่งขึ้น เราตื่นแต่เช้าเพื่อมุ่งหน้าสู่จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์
โดยมีจุดหมายอยู่ที่ ร้านอาหารครัวแพปลาสุพรรณ
เพื่อล่องเรือชมทัศนียภาพและความเป็นอยู่ของชาวสุพรรณบุรีที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน
แม้สภาพในปัจจุบันจะมีสิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่เพิ่มขึ้นมาทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำ
แต่ก็ยังคงหลงเหลือบรรยากาศของบ้านเรือนในยุคเก่า
ทั้งที่ได้รับการบูรณะใหม่และที่ถูกปล่อยให้ทรุดโทรมตามกาลเวลา ตลอดจนการใช้ชีวิตตามวิถีชนบท
ภาพการเหวี่ยงแห หรือการดักข่ายจับปลา เพื่อนำปลานั้นมายังชีพหรือนำไปขายแลกเป็นเงินมาดำรงชีพ
ยังคงมีให้เห็นเหมือนในอดีต
อีกจุดหนึ่งที่น่าประทับใจในการล่องเรือท่องแม่น้ำท่าจีนในครั้งนี้ คือ บริเวณ อุทยานวังมัจฉา
ความยาวแม่น้ำช่วงนี้กว่า 1 กิโลเมตร
มีมวลหมู่ปลาน้อยใหญ่จำนวนมากแหวกว่ายอยู่ในสายน้ำโดยไม่กลัวเสียงเครื่องยนต์ของเรือที่แล่นผ่าน
และที่น่าชื่นชมอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่มีชาวบ้านคนไหนเข้าไปจับปลาในบริเวณนั้น
ทำให้ปลามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี และตรงจุดนี้ก็กลายเป็นจุดท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสุพรรณบุรี
สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่น่าสนใจ คือ อำเภออู่ทอง
ด้วยความที่ไม่มีแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากนัก จึงมักจะถูกมองข้ามไป
ทั้งที่เป็นอีกอำเภอหนึ่งที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมากเพราะเป็นเมืองท่าอีกเมืองหนึ่งที่มีการค้าขายกับ
ต่างชาติในอดีตกาล
ในการตามรอยอารยธรรม ดินแดนสุวรรณภูมิครั้งนี้
เราคงจะหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ไหนได้ไม่มากพอเท่าที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี
2509 ภายในได้รวบรวมโบราณวัตถุที่ค้นพบในเขตอู่ทอง สุพรรณบุรี และจังหวัดใกล้เคียงมาจัดแสดง
โดยจะเน้นเนื้อหาทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรทวารวดี เนื่องจากการศึกษาและค้นพบโบราณวัตถุต่างๆ
นั้นสอดคล้องกับยุคสมัยอาณาจักรโบราณที่นักวิชาการเรียกกันว่า ทวารวดี
ภายในพิพิธภัณฑ์ได้จัดหมวดหมู่ของโบราณวัตถุแบ่งเป็นยุคสมัยตั้งแต่สมัย ทวารวดี ไล่เรื่อยมาจนถึงลพบุรี
และในปัจจุบัน ที่เห็นแล้วสะดุดตาและเป็นที่สนใจของทุกคนในคณะ คือ ลูกปัด
ซึ่งจัดได้ว่าเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่งที่มนุษย์ไม่ว่ายุคสมัยไหนให้ความสนใจมานับพันๆ ปี ทำขึ้นมาจากวัสดุต่างๆ
แล้วแต่ในยุคนั้นสมัยนั้นจะหามาได้ ลูกปัดที่นำมาแสดงบ่งบอกให้ถึงภูมิปัญญาของคนในยุคสมัยนั้น
ลูกปัดแต่ละลูกมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป จนดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นมาเมื่อ 1,000 กว่าปีก่อน
หลายคนเห็นแล้วยังทักว่าเหมือนลูกปัดที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน แต่สีสันนั้นสวยกว่าหลายเท่า
จากการสอบถามจากนักวิชาการที่เป็นวิทยากรในการเข้าชมครั้งนี้
ต่างยืนยันว่าเป็นของจริงไม่ได้นำของเลียนแบบมาว่างโชว์อย่างแน่นอน ซึ่งลูกปัดเหล่านั้นมีอายุตั้งแต่ 100-1,300 ปี
ไฮไลท์ของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไม่ใช่อยู่แค่เพียงโบราณวัตถุต่างๆ เท่านั้น ยังมีอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือ
ชนชาติเผ่าพันธุ์กลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอพยพมาจากเขตสิบสองจุไทยในประเทศเวียดนามตอนเหนือ
เราเรียกชนกลุ่มนี้ว่า โซ่ง ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ลาวทรงดำ หรือผู้ไทยดำ แต่ ลาวโซ่ง หรือลาวทรงดำ
เป็นชื่อที่คนไทยเรียกชนกลุ่มนี้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในอู่ทองตั้งแต่ปี 2441
ซึ่งยังเป็นกลุ่มชนที่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีไว้อย่างเหนี่ยวแน่น
แม้วิถีชีวิตในปัจจุบันจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเครื่องแต่งกาย ผ้าซิ่น
และเสื้อก้อมสีดำที่จะยังคงใช้ในงานพิธีกรรมต่างๆ เช่น พิธีการเซ่นบรรพบุรุษ
ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทองนี้ ยังได้จัดสร้างบ้านของลาวโซ่งแบบดั้งเดิม ซึ่งในปัจจุบันหาดูได้ยากมาก
รูปทรงหลังคาจั่วยอดแหลม มีผนังกั้นบ้าน แบ่งออกเป็นห้องครัว ห้องนอน ห้องผีเรือน และมีชานนอกบ้าน
ใต้ถุนสูงเหมือนบ้านคนไทยภาคกลางทั่วไป และที่ขาดไม่ได้ คือ ยุ้งข้าวที่ทุกบ้านจะต้องมีที่เก็บข้าวเป็นของตัวเอง
ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของการดำรงชีวิตของชาวลาวโซ่ง
กาญจนบุรี
เราเดินทางต่อไปที่ตำบลหนองขาว จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนชาวหนองขาว
ที่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมท้องถิ่นไว้อย่างเหนียวแน่น
เราได้รับการตอนรับอย่างดีจากชาวหนองขาว ด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มสดใส แถมด้วยผ้าขาวม้า 100 สี
ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ผลิตขึ้นมาเป็น 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ หรือ OTOP ที่เราเรียกกันติดปาก
การเดินทางเข้าไปเยี่ยมชมวิถีชิวิตของชาวหนองขาวครั้งนี้ เราต้องเปลี่ยนจากรถเก๋งคันหรู
ยกพลขึ้นรถที่ชาวชนบทรู้จักกันดีคือ รถอีแต๋น ซึ่งให้บรรยากาศชนบทได้อย่างดี
ผู้นำชุมชนได้พาเราไปดูวิถีชีวิตของชาวบ้านที่เลี้ยงตาล มีการโชว์ปีนเก็บตาล
แถมยังนำตาลลงมาให้คณะได้ลิ้มลองรสตาลอันหอมหวานด้วย
จากนั้นไปดูบ้านทรงไทยโบราณที่มีอายุเกือบ 100 ปี ภายในบ้านทรงไทยหลังนี้
มีการสืบทอดความเชื่อจากบรรพบุรุษ เกี่ยวกับการรับทอดหม้อยายที่ครบถ้วนสมบูรณ์
คือเมื่อชายและหญิงบ้านหนองขาวแยกบ้านเรือนจากพ่อแม่แล้ว ต้องรับหม้อยายเพื่อความสงบสุขของครอบครัว
รวมถึงศาลพ่อแม่ซึ่งเป็นศูนย์รวมความเชื่อถือและพิธีกรรมของประชาชนชาวหนองขาว
และตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้านพอดี ซึ่งทุกครอบครัวในหมู่บ้านที่มีงานมงคลจะต้องจัดเครื่องบูชามาถวาย
เพื่อขอพรให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ท้ายสุด เราได้เดินทางกลับมาที่วัดหนองขาว ซึ่งเป็นวัดสำคัญประจำตำบล
ได้รับการต้อนรับจากขบวนกลองยาวของบรรดาเด็กในหมู่บ้านอย่างครึกครื้น
พร้อมเครื่องดื่มสมุนไพรและขนมพื้นบ้านหลากชนิดไว้คอยต้อนรับ
เรารู้สึกอบอุ่นและประทับใจในอัธยาศัยและไมตรีจิตของชาวหนองขาวเป็นอย่างมาก
การเดินทาง ตามรอยอารยธรรม สู่ดินแดนสุวรรณภูมิ
นับเป็นการเดินทางท่องเที่ยวอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้ทั้งความสนุกสนานและความรู้ใหม่ๆ ซึ่งเราคงหาไม่ได้
ถ้าไม่เข้าไปสัมผัสด้วยตนเอง เรายังเห็นได้ว่า วิถีชีวิตที่หากินอยู่กันอย่างพอเพียง
ก็สามารถสร้างความสุขให้แก่คนที่อยู่อย่างเพียงพอได้เช่นกัน แม้กระแสวัฒนธรรมโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
แต่ถ้าเรายังคงรักษ์วัฒนธรรม ประเพณีที่ดีงามไว้ ไม่โน้มเอียงไปตามกระแสทั้งหมด
วัฒนธรรมที่ดีงามของไทยคงจะไม่หมดสิ้นไปแน่นอน
ขอขอบคุณ บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด และโครงการ ธิงค์เอิร์ธ ที่ทำให้เราได้เห็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ
ที่ไม่เคยได้สัมผัส วัฒนธรรมดีๆ และประเพณีไทยเก่าๆ ที่ยังแฝงอยู่ในบางมุมของเมืองไทย
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51855