บทความ
ป้ายทะเบียน
ไม่เคยคิด ไม่เคยคาดหมายมาก่อนเลยว่าแค่ป้ายทะเบียนรถในเมืองไทยจะมีความหมายถึงขั้นโกอินเตอร์โด่งดังไปทั่วโลก
ป่านนี้คงมีการบันทึกเอาไว้เป็นสถิติโลกในกินเนสส์บุคออฟเรคอร์ดแล้วก็เป็นได้
โดยปกติแล้วป้ายทะเบียนที่กรมการขายส่งทางบกออกให้กับรถยนต์ที่ไปขอจดทะเบียนใหม่จะมีมูลค่าเพียงแค่ 200 บาท ( 2 แผ่นสำหรับติดด้านหน้ารถและติดด้านท้ายรถ)ซึ่งเป็นอัตราค่าป้ายทะเบียนที่ทางการเรียกเก็บเป็นอัตราสามัญเหมือนกันหมด
แต่เพราะเกิดมีค่าความนิยมของคนที่ต้องการป้ายทะเบียนรถที่มีเลขดีเลขสวยเลขอันเป็นมงคลถูกต้องตามโฉลกเกิดขึ้น เรื่องมันก็เลยเถิดไปกันใหญ่
เดิมทีนั้นใครที่อยากได้ป้ายประเภทนี้มาติดรถของตนก็ต้องใช้ความพยายามความสามารถเป็นพิเศษเพื่อให้ได้มาไว้ในครอบครอง
ความสามารถความพิเศษที่ต้องนำมาใช้เพื่อการนี้ให้สัมฤทธิ์ผลก็คือ ต้องใช้บารมีอำนาจและจำนวนเงินตรามากเป็นพิเศษเพื่อให้ได้มาโดยการบังคับขู่เข็ญใจเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการออกหมายเลขป้ายทะเบียนและโดยความสมัครใจปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐเมื่อมีจำนวนเงินเป็นพิเศษเข้ามามีส่วนร่วมด้วย
วิธีการที่จะให้ได้มาซึ่งเลขทะเบียนรถดีเลขทะเบียนรถสวยตามที่ต้องการต่างๆ เหล่านี้เป็นที่มาของเสียงครหานินทาของผู้คนโดยทั่วไปที่ต้องสูญเสียความเป็นธรรมในสังคมไปอย่างปราศจากข้อโต้แย้งหรือทักท้วงสิทธิอันชอบธรรมและที่จะหลีกเลี่ยงเสียมิได้ก็คือการตราหน้าหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่รับผิดชอบปฏิบัติงานในส่วนนี้ว่ามีพฤติกรรมแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันในรูปแบบที่เข้าใจกันอย่างแจ่มแจ้งว่ามันคือ "การรับส่วย" นั่นเอง
รัฐบาลชุดนี้ภายใต้นโยบายหลักเอื้ออาทร นำเอาวิกฤติมาเป็นโอกาส เห็นว่าหนทางที่จะกำจัดเรื่องของ "ส่วย" ให้หมดสิ้นไปคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายนักแต่ก็ยังมีทางออกให้สร้างภาพลักษณ์ที่พอจะยอมรับกันได้อยู่
เมื่อมีคนมีความต้องการป้ายทะเบียนรถที่มีความหมายเป็นพิเศษนี้กันจนกลายเป็นค่าความนิยมถึงขั้นต้องใช้บารมี อำนาจและต้องจ่ายส่วยกันจนเป็นปกติวิสัยเช่นนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำเอาวิธีการ "ตัดตอน" มาแก้ไข
ตัดตอนไม่ให้ใช้บารมีอำนาจมาเบ่งบังคับขืนใจให้ได้มาซึ่งทะเบียนป้ายพิเศษที่ว่าด้วยการจัดให้มีการประมูลจองเลขหมายทะเบียนกันอย่างเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชน
ตัดตอนการจ่าย "ส่วย"แทนที่จะยอมให้ผลประโยชน์จากส่วยตกไปอยู่ในมือของเจ้าหน้าที่รัฐคนใดคนหนึ่งโดยมิชอบ ก็ผัน
"ส่วย" มาเข้าเป็นประโยชน์ของรัฐแทน ด้วยการให้มีการประมูลสู้อัตรา "ส่วย" กันอย่างเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชน
ปฏิบัติการนี้เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทยเมื่อเร็วๆ นี้ เริ่มต้นกันที่ป้ายทะเบียนรถในหมวด "ษง" เป็นประเดิม
เลขสวยเลขดีในหมวดนี้มีอยู่มากมาย ทั้งเลข 1 ตัว เลข 2 ตัว เลข 3 ตัวและเลข 4 ตัวไฮไลท์ของเลขสวยอยู่ที่ "งษ 9999"
ปรากฏว่า เลขทะเบียน งษ 9999 มีผู้ประมูลจ่ายส่วยให้รัฐเป็นมูลค่าถึง 4 ล้านบาท
และผู้ที่ประมูลได้เลขหมายนี้ไปก็คือ ผู้ที่มีทั้งอำนาจมีทั้งบารมีและรวมทั้งมีความร่ำรวยอย่างมหาศาลด้วย ซึ่งก็คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเจ้านายสูงสุดของหน่วยงานการออกทะเบียนรถนั่นเอง
ป้ายทะเบียน "งษ 9999" ซึ่งมูลค่าที่มีอยู่ในตัวมันเพียงแค่ 200 บาทแต่กลับกลายเป็นมูลค่าที่ต้องบันทึกเอาไว้ให้ได้รับรู้กันทั่วโลกเป็นเกียรติประวัติซึ่งเป็นไปได้ทั้งในทางลบและทางบวก มีมูลค่าถึง 4,000,000 บาท
ป้ายทะเบียนที่ทำด้วยทองคำแท้ๆ ไม่ใช่ทำด้วยแผ่นโลหะธรรมดาๆ อาจจะมีมูลค่าไม่ถึงขนาดนี้ก็ได้
ทั้งหมดที่นำมาเล่าสู่กันฟังก็เพียงเพื่อ ให้รับรู้กันว่า เมืองไทยของเรายังมีเรื่องให้พูดถึงกันอีกเยอะทั้งเรื่องเข้าท่าและเรื่องไม่เข้าท่า
ยังมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทะเบียนรถอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องบอกกล่าวให้รับรู้กัน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายนิกร จำนงกำลังจะมีปฏิบัติการครั้งใหม่เกี่ยวกับรถที่ขาดต่อทะเบียนเสียภาษีประจำปี
ปัจจุบันนี้ มีรถที่จดทะเบียนทั่วประเทศจำนวน 25 ล้านคันเศษ มีรถที่ค้างชำระภาษีต่อทะเบียนจำนวน 16 ล้านคันเศษ คิดเป็นมูลค่าภาษีทะเบียนทั้งสิ้นประมาณ 19,827 ล้านบาท
ปฏิบัติการที่จะนำมาใช้กับรถที่ขาดต่อเทียนเหล่านี้ สื่อมวลชนขนานนามว่า "การปล่อยผีรถขาดต่อภาษี"
จะมีการประกาศให้รถที่ขาดต่อทะเบียนภาษีประจำปีทั้งหมดมาติดต่อชำระภาษีให้ถูกต้องตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2546 จนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2547 โดยจะมีโพรโมชันแถมพกให้หลายอย่างด้วยกัน
จะได้รับการยกเว้นไม่เสียค่าปรับใดๆ ทั้งสิ้น
รถที่ค้างชำระภาษีไม่ว่าจะนานกี่ปี จะตัดจำนวนปีที่ค้างชำระให้เหลือเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น
การชำระภาษี จะยอมให้มีการผ่อนชำระได้ด้วยตั้งแต่ 2 งวดจนถึง 28 งวด
ชำระภาษีที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานขนส่งจังหวัดทั่วประเทศ สามารถชำระได้ทางไปรษณีย์หรือผ่านทางธนาคารเพื่อการเกษตรก็ได้เช่นเดียวกัน
ก็นับได้ว่า ข้อเสนอพิเศษอย่างนี้ ยากที่จะปฏิเสธหรือคุณไม่อาจปฏิเสธได้จริงๆ
เรื่องโดย : บัญชา
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : บทความ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51797