รอบรู้เรื่องรถ
ใช้รถหน้าฝนอย่างปลอดภัย
ไม่มีอะไรคงที่แน่นอนหรือจีรังยั่งยืนนะครับ ถ้าเป็นช่วงเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมาพวกเราคงเตรียมตัวรับลมหนาวกันแล้ว มาถึงสมัยนี้กลับกลายเป็นเพิ่งเริ่มฤดูฝนมาได้ไม่นานถ้ามองอย่างผิวเผินหรือไม่เข้าใจ จะรู้สึกว่าเป็นสิ่งแปลกเพราะเราไปทึกทักเอาเองว่าเวลาเป็นสิบเป็นร้อยปีนั้นนานพอสมควรแต่ที่จริงแล้วมันสั้นจู๋จนไม่รู้จะใช้คำอะไรมาเปรียบครับ เมื่อเทียบกับปรากฎการณ์ต่างๆ ของจักรวาลซึ่งมีโลกของเราเป็นเศษธุลีหนึ่งเท่านั้น ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติต่างๆที่แปรเปลี่ยนไปบนโลกของเราจึงถือว่าธรรมดามากยกเว้นบางอย่างที่มนุษย์เราก่อขึ้นด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แล้วย้อนกลับมาทำลายพวกเราเอง
รถของเราจึงยังคงต้อง "สู้ฝน" กันอีกหลายเดือนครับ ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไรเพราะผู้ออกแบบและผู้ผลิตเขาคำนึงมาให้เรียบร้อยแล้วเราผู้ใช้มีหน้าที่รักษาสภาพเดิมไว้และปฏิบัติให้ถูกต้องเท่านั้นเอง ยางปัดน้ำฝนต้องอยู่ในสภาพดีเพราะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยโดยตรง โดยเฉพาะขณะขับกลางฝนในเวลากลางคืนการตรวจสภาพยางปัดน้ำฝนไม่ใช่ดูที่เนื้อยางว่ายังไม่เสื่อมหรือยังไม่ฉีกขาดนะครับต้องดูที่ความสามารถในการกวาดหยดน้ำที่ผิวกระจกว่าเกลี้ยงหรือไม่เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่ผู้ขับรู้ดีที่สุด อย่าไปหวังพึ่งพาช่างให้ตรวจให้ถ้าเอายางปัดน้ำฝนมาดูผ่านแว่นขยาย เราจะเห็นว่าตรง "คม" ของมันมีลักษณะเป็นมุมฉากแต่ละมุมจะทำหน้าที่กวาดน้ำทางใดทางหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะขณะทำงานยางปัดน้ำฝนจะลู่เอนเล็กน้อย มุมฉากนี้จะมีรูปทรงพิเศษเฉพาะ
ซึ่งได้จากการวิจัยทดสอบกันมาหลายสิบปี ว่ากวาดน้ำได้เกลี้ยง ไม่ส่งเสียงดังและมีอายุใช้งานนานเพียงพอด้วย
ถ้ารูปทรงนี้ผิดเพี้ยนไปเพราะความสึกหรอ แม้จะใช้งานอย่างถูกวิธีก็ตาม มันก็จะกวาดน้ำได้ไม่หมดและไม่จำเป็นต้องสึกพร้อมกันในอัตราเท่ากันด้วย เราจึงพบอยู่บ่อยๆ ว่า มันจะกวาดน้ำในทิศทางหนึ่ง"แย่" กว่าอีกทิศหนึ่ง เมื่อใดที่ยางปัดน้ำฝนกวาดน้ำจากผิวกระจกได้ไม่เกลี้ยง รีบเปลี่ยนใหม่ทันทีครับส่วนใหญ่มีขายเป็นใบสำเร็จรูป คือมีโครงโลหะมาให้เสร็จเพราะแบบที่แกะเปลี่ยนเฉพาะเส้นยางนั้นยุ่งยากและต้องใช้ฝีมือเชิงช่างพอสมควร ราคาก็ไม่แพงถ้าหาซื้อมาเปลี่ยนเองก็ประมาณใบละหนึ่งร้อยกว่าบาทสำหรับรถทั่วๆ ไปส่วนรถราคาแพงที่มีรูปแบบใบปัดน้ำฝนค่อนข้างพิเศษหายาก อาจจะโดน "ขูดเลือด"ถึงใบละเกินหนึ่งพันบาทก็ได้
สำหรับผู้ที่ยังไม่มีความเชื่อมั่นในการตรวจสอบหรือตัดสินใจ มีวิธีง่ายๆครับคือเปลี่ยนใหม่ปีละชุดทุกต้นฤดูฝน ไม่ต้องกลัวว่าจะบ่อยไปหรือสิ้นเปลืองเพราะอายุของมันก็อยู่ในช่วงประมาณที่ว่านี้ นี่หมายถึงใช้งานมันอย่างถูกต้องแล้วนะครับถ้าใช้ผิดวิธีวันเดียวก็พังแล้ว
วิธีใช้งานที่ถูกต้องมีดังนี้ครับ ห้ามใช้งานขณะกระจกแห้งเด็ดขาด บางคนใช้แทนที่ปัดฝุ่นจากกระจกสามนาทีคมของมันก็สึกจนหมดอายุแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าจะปัดฝุ่นต้องฉีดน้ำใส่กระจกก่อนเสมอรถรุ่นปัจจุบันจะมีปั๊มไฟฟ้าฉีดน้ำล้างกระจกอยู่แล้วจากนั้นใบปัดน้ำฝนจะทำงานโดยอัตโนมัติประมาณ 2 ถึง 3 ครั้ง ถ้าจะปัดน้ำฝนจากกระจกรอให้กระจกเปียกพอสมควรครับ สังเกตง่ายๆ คือเมื่อถึงจุดที่เรามองผ่านลำบากนั่นแหละครับแสดงว่ามีหยดน้ำฝนที่กระจก "เพียงพอ" แล้ว เมื่อใดที่ฝนหยุดหรือเกือบหยุดต้องปิดทันที หรือเลือกจังหวะหน่วง ให้เหมาะกับปริมาณเม็ดฝน ผมเห็นฝนหยุดไปนานแล้วยังคุยเพ้อเจ้อด้วยโทรศัพท์มือถืออีกหลายนาที แบบนี้จะไปโทษว่ายางปัดน้ำฝนที่เขาทำมาไม่ทนทานพอไม่ได้ครับ
น้ำฉีดกระจกต้องมีปริมาณเพียงพออยู่ตลอดเวลา ส่วนใหญ่รถที่ผู้ผลิตเน้นด้านคุณภาพจะมีสารทำความสะอาดกระจก ผสมมาในน้ำฉีดกระจกด้วยเสมอ แต่เป็นเพียงครั้งเดียวพอหมดแล้วเจ้าของรถก็จะเติมเพียงน้ำประปาล้วน ซึ่งก็เกือบจะเหมือนไม่มีค่าใช้จ่ายแต่ไม่เพียงพอสำหรับการใช้รถให้ถูกต้องและปลอดภัยครับ น้ำสำหรับฉีดล้างกระจกต้องผสมสารทำความสะอาดกระจกด้วยเสมอ เพราะมันช่วยชะล้างคราบไขมันจากซากแมลงละอองยางมะตอย และสิ่งสกปรกสารพันได้อย่างดี มีข้อแม้ว่าต้องเป็น "น้ำยา" ที่ดีมีคุณภาพเท่าที่เห็นในท้องตลาด มีคุณภาพเพียงพอครับ เพราะผลิตจากต่างประเทศที่มีมาตรฐานสูงมีมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคเข้มแข็ง แต่ราคานั้นสูงมาก จนหลายคนที่อยากใช้ ต้องเปลี่ยนใจเพราะ"ซื้อไม่ลง"
ผมว่านี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของวัฏจักรวิกฤติหรือวัฏจักรอุบาทว์ นั่นคือผู้บริโภคอยากซื้อใช้แต่แพงเลยไม่ซื้อ เมื่อไม่มีลูกค้าเพียงพอ ก็ไม่มีใครอยากลงทุนผลิตขาย เมื่อไม่มีผลิตภัณฑ์ดีๆ ของไทยขายก็เหลือแต่ผู้ที่นำเข้ามาจำหน่ายในราคาที่สูงเกินควร ผมเข้าใจดีว่าการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมีต้นทุนสูงกว่า แต่ราคาที่จำหน่ายกันอยู่นั้น เอาเปรียบเกินไปครับ วิธีตัดวงจรวิกฤติในกรณีนี้มีทางเดียวคือต้องเริ่มที่ความเข้าใจถึงความสำคัญของน้ำยาล้างกระจกรถ เมื่อมีผู้ใช้รถจำนวนมากพอที่ซื้อสินค้านี้ ก็จะมีผู้ตัดสินใจผลิตจำหน่ายแข่งขันกันเอง และผมเชื่อว่าเมื่อใดที่ถึงจุดนั้นก็จะมีปัญหาด้านคุณภาพตามมาทันที พวกเราอาจจะเจอน้ำยาที่ไม่เพียงละลายไขมันจากซากแมลงแต่จะละลายสีตัวถังรถของพวกเราให้ด่างไปด้วย
ไฟส่องสว่างก็สำคัญมากต่อความปลอดภัยสำหรับการใช้รถในฤดูฝน ตรวจไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟเบรคไฟถอยหลัง ว่าทำงานครบทุกดวง โคมไฟหน้าต้องปรับมุมส่องสว่างให้ถูกต้องด้วยครับนี่เป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่งของรถยนต์ในเมืองไทย ที่มีรถระดับสูงสุดของโลกอยู่เกือบครบแต่การตรวจสภาพและการบำรุงรักษารถ ยังล้าหลังสุดกู่ ดูได้ง่ายๆจากทิศทางของลำแสงของไฟหน้ารถครับ ผิดทิศผิดทาง เดือดร้อนผู้อื่นที่ร่วมใช้ถนนเพราะไม่มีการปรับตั้งตรวจสอบกันเลย นอกจากปัญหาด้านการตรวจสอบและการบำรุงรักษา
ซึ่งเป็นปัญหาทางเทคนิคแล้ว มารยาทและศีลธรรมจรรยา ของคนไทยยุคนี้ที่เสื่อมทรามลงอย่างมากก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ไม่น้อย
ย้อนหลังไปประมาณ 30 ถึง 40 ปีก่อน ผู้ขับที่ถูกผู้ที่ขับสวนทางมา กะพริบไฟสูงเตือนจะจัดการปรับระดับแสงไฟหน้าให้ดีขึ้น ต่างจากผู้ใช้รถในปัจจุบันที่ไม่ค่อยใส่ใจกับความเดือดร้อนของผู้อื่น ถ้าเจอรถที่ขับสวนทางมา กะพริบไฟเตือนว่าลำแสงมันเข้าตาเขาโดยตรงจนมองทางแทบไม่เห็น ก็จะเปิดไฟสูงใส่ทันที เพื่อบอกเป็นนัยว่า"นี่ไฟต่ำอยู่แล้วนะโว้ย" โดยไม่มีความคิดที่จะกลับไปปรับปรุงรถอย่างใดทั้งสิ้น
จากการได้พบปะกับผู้ใช้รถจำนวนมากในการทำงานของผม ผมค่อนข้างแปลกใจว่ามีผู้ที่ทราบหน้าที่ของดอกยางน้อยมาก บางคนเข้าใจว่ามีไว้กันลื่น และบางคนก็เข้าใจว่าถ้าดอกยางยิ่งน้อยหรือยิ่งตื้น ก็จะยิ่งเสี่ยงต่อการระเบิดที่จริงแล้วดอกยางทำหน้าที่เพียงอย่างเดียวครับ คือช่วย "รีด" น้ำบนผิวถนนให้ทะลักออกทางด้านข้างด้านหน้า และด้านหลังของหน้ายางส่วนที่กำลังสัมผัสกับผิวถนนเพราะการที่ล้อของเราสามารถส่งแรงขับเคลื่อนและแรงเบรคลงสู่ผิวถนนได้นั้นต้องอาศัยแรงเสียดทานจากการกดสัมผัสกันระหว่างหน้ายางและผิวถนน
เมื่อใดที่มีน้ำมาคั่นระหว่างผิวทั้งสอง ความสามารถนี้ก็จะหมดไปทันที นั่นหมายถึงหน้ายางของรถเราจะไถลไปบนผิวน้ำ ทำนองเดียวกับสกีน้ำนั่นเองครับถ้าเราดูที่หน้ายางจะเห็นว่ามีส่วนที่เป็นก้อนยางกับส่วนที่เป็นร่อง ส่วนที่เป็นก้อนยางนี้เรียกเป็นทางการว่าส่วน พอสิทีฟ (POSITIVE) หรือบวก ส่วนที่เป็นร่องคือส่วน เนกาทีฟ (NEGATIVE)หรือลบ ยางที่รีดน้ำได้ดีจะมีส่วนร่องนี้ใหญ่ แต่ถ้าส่วนที่เป็นก้อนยางน้อย ยางก็จะสึกเร็วและหยุ่นขณะเบรค เร่ง หรือเข้าโค้ง เราลองมาคำนวณแบบง่ายๆ ดูว่าหน้ายางของเราต้องรีดน้ำได้รวดเร็วและมากมายขนาดไหนครับ
สมมติว่าตอนฝนตกหนัก มีน้ำอยู่บนผิวถนน หนาประมาณครึ่งเซนติเมตร หรือ 5 มิลลิเมตรหน้ายางของเรากว้าง 14 เซนติเมตร ถ้ารถของเราแล่นด้วยความเร็ว 100 กม./ชม.ล้อของเราแต่ละล้อจะต้องรีดน้ำ ในอัตราเท่ากับ 0.5 คูณ 14 เซนติเมตร เท่ากับ 7 ตารางเซนติเมตรเปลี่ยนหน่วยความเร็วจาก กม./ชม. เป็นเซนติเมตร/วินาที ก็จะได้ความเร็ว 100 x 1,000 x 100แล้วหารด้วย 60 คูณ 60 จะได้ประมาณ 2,778 ซม./วินาที คูณด้วย 7 ตารางเซนติเมตรก็จะเป็นน้ำที่ถูกหน้ายางรีดจากผิวถนนราวๆ 20,000 ซีซี/วินาที หรือ 20 ลิตร ในทุกๆ วินาทีคิดเฉพาะส่วนที่ถูกเฉพาะก้อนยางหรือส่วนพอสิทีฟ รีด สมมติว่าคิดเป็น 75 % ของหน้ายาง เอา 20 คูณด้วย 0.75 ก็ยังคงมีอัตราสูงถึง 15 ลิตรต่อทุกๆ วินาที ถ้ารีดได้ไม่เท่าอัตรานี้ (ในตัวอย่าง)ก็หมายความว่าล้อของเรา จะต้อง "เหินน้ำ" และรถของเราจะเสียการทรงตัวได้ ซึ่งอันตรายมากครับ
เกือบทุกครั้งที่ผมขับรถบนทางด่วนขณะฝนตก จะมีผู้ใช้รถซึ่งมีพฤติกรรมต่างกันอยู่สองพวกพวกแรกเป็นพวกที่กลัวถนนลื่น ลดความเร็วลง และตั้งใจขับที่จริงแล้วผิวถนนบนทางด่วนที่ฝนตกหนักนั้น สะอาดมากครับและไม่ลื่นเลยแต่การลดความเร็วลงเพราะกลัวความลื่นนั้น ผมถือว่าได้ความปลอดภัยเป็นผลพลอยได้จึงเห็นด้วยและคิดว่าคงสภาพนี้ไว้ดีแล้ว เพราะมีองค์ประกอบอื่นที่ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้อีกมาก
ส่วนพวกที่สองเป็นพวกที่ไม่กลัวความลื่นของผิวถนน เขารู้จากประสบการณ์ว่ามันไม่ลื่นเพราะผิวถนนไม่เป็นมัน และถูกฝนชะจนสะอาดแล้วด้วย จึงขับกันด้วยความเร็วสูงพอสมควร เช่น 140ถึง 150 กม./ชม. โดยไม่รู้จักอันตรายจากการเหินน้ำหรือ อควอพแลนิง (AQUAPLANING) หรือ ไฮโดรพแลนิง (HYDROPLANING) นี้เพราะสิ่งเหล่านี้ควรถูกสอนในโรงเรียนสอนขับรถยนต์มาตรฐานครับ ซึ่งประเทศเรายังไม่มีเขียนมาถึงตรงนี้ คงมีผู้อ่านเริ่มถามตนเองว่า ถ้ามันอันตรายจริงอย่างที่ผมว่าทำไมไม่ค่อยเห็นรถพวกนี้เสียหลักหรือชนเลย
มีคำตอบครับ โชคดีที่มีคนขับรถแบบนี้ไม่มาก ผมไม่มีตัวเลข บอกได้จากการคาดคะเนว่าไม่ถึงหนึ่งในร้อย แต่สาเหตุจริงเป็นความโชคดีอีกต่อหนึ่งของผู้ที่ขับแบบนี้ขณะฝนตกนั่นคือล้อที่เกิดไฮโดรพแลนิงนั้น ไม่ได้เกิดพร้อมกันทั้งสี่ล้อ เช่นล้อหน้าซ้ายทับน้ำลึก 2 ซม. ในขณะที่ล้อขวาไม่ทับแอ่งน้ำ ล้อที่สัมผัสผิวถนนอยู่ ก็จะช่วยรักษาทิศทางของรถไว้ได้ถ้าเป็นคนช่างสังเกตและละเอียดอ่อนพอจะทราบได้ทันทีว่าล้อหน้าข้างใดข้างหนึ่งเหินน้ำเพราะความรู้สึกนี้จะส่งผ่านทางพวงมาลัยถึงมือของเรา
ถ้าอย่างนั้นอันตรายของไฮโดรพแลนิงอยู่ตรงไหน ? ก็เมื่อล้อทั้งสี่เหินน้ำนั่นแหละครับเช่นขับมาอย่างเร็ว แล้วเจอแอ่งน้ำลึกกว้างกว่า ความกว้างของตัวรถเคยมีแพทย์อาวุโสจากโรงพยาบาลมีชื่อเสียงย่านธนบุรีเสียชีวิตเพราะรถสปอร์ทเสียหลักหมุนไปฟาดกับเสาไฟฟ้าย่านดินแดงดูเหมือนผู้เกี่ยวข้องจะไม่ทราบสาเหตุ ผมดูจากสภาพแวดล้อมแล้ว น่าจะมาจากการใช้ความเร็วสูงโดยไม่เข้าใจอันตรายของการเกิดไฮโดรพแลนิงนี่แหละครับ
เกือบทุกครั้งที่ผมใช้ทางด่วนขณะฝนตกหนัก ก็ยังเห็นรถที่แล่นด้วยความเร็วสูงมากอยู่และจำนวนไม่น้อยเป็นรถราคาไม่สูง ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา(น้ำหนักของรถมีผลโดยตรงต่อความสามารถในการรีดน้ำครับ รถสิบล้อบรรทุกสินค้า 20 ตันไม่ต้องกลัวปัญหานี้) ก็หวังว่าคงจะรอดชีวิตกันไปได้จากการที่ล้อบางล้อผลัดกันเหินน้ำนะครับ
เรื่องโดย : เจษฎา
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51790