สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
อดิศักดิ์ โรหิตะศุน
ฮอนดา เป็นที่รู้จักกันดีของชาวไทย ทั้งในตลาดรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ เพราะแต่เดิมนั้น ฮอนดาเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ จากอดีตจนปัจจุบันนี้ คือ บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด ที่ตั้งมาเกือบ 40 ปีแล้ว
"ฟอร์มูลา" สัมภาษณ์พิเศษ อดิศักดิ์ โรหิตะศุน รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้ามอเตอร์ จำกัด และนายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
ฟอร์มูลา : คุณเข้ามาร่วมงานกับ เอเชี่ยนฮอนด้า ฯ ได้อย่างไร ?
อดิศักดิ์ : บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า ฯ ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยปีหน้าจะครบ 40 ปี แล้วแต่เดิมเป็นผู้นำรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ เข้ามาจำหน่ายหลังจากนั้นเริ่มสร้างโรงงาน จึงได้ลดการนำเข้า แต่ว่า เอเชี่ยนฮอนด้า ฯ ก็ยังนำรถยนต์และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ เข้ามาจำหน่ายอยู่ในบางรุ่นปัจจุบันเป็นผู้นำเข้าเครื่องยนต์อเนกประสงค์เพียงอย่างเดียว แต่ เอเชี่ยนฮอนด้า ฯ ก็เป็นผู้ร่วมทุนอยู่
จนกระทั่งในปี 2539 ได้รับคำสั่งจากบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น ให้เป็นศูนย์กลางในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้เนื่องจาก ฮอนดา พยายามที่จะกระจายอำนาจการบริหารการทำงานออกไป ซึ่งแต่เดิมศูนย์กลางจะอยู่ที่ญี่ปุ่นและได้มีขยายเพิ่มเป็น 4 ส่วน คือ อเมริกา ยุโรป เอเชีย โอเชียเนีย และญี่ปุ่น
แต่ปัจจุบันได้ขยายเพิ่มขึ้นเพื่อการบริหารงานที่คล่องตัวมากยิ่งขึ้น แบ่งเป็น อเมริกาเหนือ-ใต้ส่วนเอเชีย โอเชียเนีย ปีนี้จะแยกจีนออกไปอีก ซึ่งแต่เดิมจะมี จีน อินเดีย เกาหลี ไต้หวัน ออสเตรเลียประเทศในอาเซียน ซึ่งประเทศเหล่านี้จะดูแลโดย เอเชี่ยนฮอนด้า ฯ นั่นก็คืองานที่บริษัทได้ดูแลเพิ่มเติม
นอกจากนี้ในปี 2540 ได้มีการผันแปรธุรกิจ ฮอนดา ในประเทศไทยโดยเริ่มผลิตสินค้าเพื่อทดแทนการนำเข้า โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย มีคุณภาพสู่ระดับสากลและส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ในส่วนนี้ เอเชี่ยนฮอนด้า ฯ มีหน้าที่ในการส่งออกสินค้าที่ผลิตจากประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ รถจักรยานยนต์เครื่องยนต์อเนกประสงค์ ไปจำหน่ายในต่างประเทศ จากเดิม 50 ประเทศ และได้เพิ่มขึ้นจนปัจจุบันส่งออกไป 80 ประเทศทั่วโลก
เมื่อวางแผนงานเรียบร้อยแล้ว การทำงานต่อมาก็คือการหาบุคลากรที่เหมาะสม ซึ่งต้องมีทั้งคนไทยคนในอาเซียน ที่มีทั้งคนรุ่นใหม่ และคนที่มีประสบการณ์มีความสามารถเหมาะสมกับงานที่ต้องดำเนินการ รวมถึงต้องมีญี่ปุ่นเข้ามาดูแลและแนะนำในเรื่องต่างๆ สำหรับผมที่เข้ามาร่วมงานอาจเป็นเพราะเป็นคนเก่าและรู้จัก ฮอนดา ดีซึ่งในตอนแรกนั้นไม่ได้มา 100 % เพราะต้องรับผิดชอบงานที่ บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่งจำกัด ด้วย แต่ขณะนี้ส่วนใหญ่จะดูแลในส่วนของนโยบาย แรงงานสัมพันธ์ และการพัฒนาบุคลากร
ดังจะเห็นได้จากปัจจุบันประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการออกสินค้าใหม่การเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรกับผู้ผลิตชิ้นส่วนซึ่งปัจจุบันไทยเป็นฐานที่สามารถส่งออกรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้นจาก 10,000 คัน/ปี จากปี 2542 เป็น 50,000 คัน ในปี 2546 และไม่ได้ส่งออกไปตลาดเอเชียอย่างเดียว ยังมีญี่ปุ่น ที่เป็นตลาดที่ท้าทายที่สุดและไทยก็เป็นประเทศในอาเซียนประเทศแรกที่ส่งไป ออสเตรเลียส่วนรถจักรยานยนต์จะส่งออกในรูปแบบรถสำเร็จรูป และรูปแบบซีเคดี 500,000 ชุดเครื่องยนต์อเนกประสงค์ จะส่งออกไปประมาณ 1 ล้านเครื่อง จากกำลังการผลิตที่จะเพิ่มเป็น 1.2 ล้านเครื่อง คิดเป็นมูลค่าการส่งออกเกือบ 5 หมื่นล้านบาท นั่นคือสิ่งที่ เอเชี่ยนฮอนดา ฯ พัฒนาฐานในประเทศไทยขึ้นมา
ฟอร์มูลา : ในปัจจุบันหน้าที่ และบทบาท ของ เอเชี่ยนฮอนด้า ฯ มีอะไรบ้าง ?
อดิศักดิ์ : มี 2 ส่วน คือ ศูนย์กลางการบริหารงานระดับภูมิภาค และการส่งออกแต่ปัจจุบันการส่งออกไม่ได้ดูแลโดยตรง งานหลักจะเป็นงานซัพพอร์ทองค์กรในไทย และอาเซียนให้ภารกิจเป็นไปตามเป้าหมาย กำหนดนโยบายให้แผนกต่างๆ รับผิดชอบไปตามหน้าที่วางแผนร่วมกัน แต่ก็จะให้ความช่วยเหลือ ให้คำปรึกษาเพื่อให้การทำงานบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ให้ความช่วยเหลือองค์กรให้สามารถทำงานได้
ฟอร์มูลา : บทบาทของ เอเชี่ยนฮอนดา ฯ ปัจจุบัน เมื่อเปรียบเทียบกับบทบาทเดิมมีผลดีผลเสียอย่างไร ?
อดิศักดิ์ : เป็นผลดีอย่างยิ่ง อันดับแรก คือ มีบทบาทที่ชัดเจนขึ้น และเหตุผลที่สำนักงานใหญ่เลือกประเทศไทยดูแลธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน 10 ประเทศถือว่าเชื่อมั่นประเทศไทย และไว้างใจในขีดความสามารถการทำงานของประเทศไทยนอกจากนี้ยังทำให้บุคลากรได้มีโอกาสทำงานที่ท้าทายมากขึ้น มีโอกาสพัฒนาขีดความสามารถทำให้ประเทศไทยมีบทบาทในเวทีโลกมากขึ้นและแน่นอนนอกจากการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังต่างประเทศแล้วในอนาคตอาจจะมีการส่งแรงงานที่มีความสามารถเพื่อไปเป็นผู้บริหารดูแลในต่างประเทศอีกด้วย
ฟอร์มูลา : ฮอนดา วางนโยบาย แผนงาน และเป้าหมาย สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ไว้อย่างไรบ้าง ?
อดิศักดิ์ : ในเรื่องของยานยนต์ ฮอนดา จะมีรถยนต์นั่ง ตลาดรวมอาเซียน จะมีโครงการ อาฟตา ซึ่งจะมีแค่ 3 ประเทศ คือ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ร่วมโครงการตั้งแต่ปีนี้โดยรวมตลาดรถยนต์อาเซียนในปีนี้จะเติบโตกว่าปีที่แล้ว คาดว่าจะเกือบ 2 ล้าน สำหรับ ฮอนดา คงจะเริ่มที่จะนำนโยบายอาฟตาเข้ามา โดยค่อยๆกำหนดให้แต่ละประเทศเป็นเจ้าภาพในการทำรถแต่ละรุ่น เพราะทั้ง 3 ประเทศ ฮอนดามีการลงทุนผลิต แล้วทุกประเทศ
ส่วนรถจักรยานยนต์ จะใช้ประโยชน์ของรถสำเร็จรูปได้ไม่มากนัก แต่จะได้ในเรื่องของชิ้นส่วนตลาดในประเทศไทย ฮอนดา จะทำเหมือนที่ผ่านมา โดยปรับตัวเองให้เข้ากับตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งขณะนี้เห็นได้ว่าเริ่มฟื้นตัวแล้ว
จากในอดีตตลาดเคยเติบโต มีการคาดการณ์ว่าในปี 2543 รถยนต์จะเติบโตถึง 8 แสนคัน ซึ่งถ้าไม่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจน่าจะถึง 1 ล้านคันแล้วและในเวลานั้นก็คาดการณ์กันอีกว่ารถที่จะได้รับความนิยมคือรถประเภทหรูหราแต่เมื่อเศรษฐกิจเปลี่ยนไป กำลังซื้อตกลงต้องพยายามปรับปรุงให้รถตอบสนองความต้องการของลูกค้าและทำให้ราคาอยู่ในขีดความสามารถที่ลูกค้าจะซื้อได้ นั่นคือ ผลิตสินค้าให้เหมาะกับสภาพความต้องการของตลาดขณะเดียวกันการตอบสนองความเปลี่ยนแปลงก็ต้องใช้ความรู้ ความสามารถจึงต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีในด้านการผลิตทำอย่างไรที่จะทำให้เราผลิตรถที่มีประสิทธิภาพสูงและสามารถลดต้นทุนได้การผลิตในบ้านเราเป็นการผลิตด้วยตัวเองส่วนหนึ่ง และอีกส่วนต้องใช้ผู้ผลิตชิ้นส่วนที่มีอยู่ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องพัฒนาผู้ผลิตชิ้นส่วนเหล่านั้นให้ทำงานร่วมกับเราได้
สำหรับในประเทศไทยการผลิตในประเทศคิดว่าต้องทำต่อไปเพื่อให้เกิดประโยชน์ คือการใช้ชิ้นส่วนในประเทศให้มากขึ้น โดยในส่วนรถจักรยานยนต์ปัจจุบันใช้ 95 % เชื่อว่าโอกาสการใช้ชิ้นส่วนเพิ่มขึ้นคงจะมี ส่วนรถยนต์ขณะนี้เฉลี่ยที่ประมาณ 70-80 % ซึ่งต้องพยายามเพิ่มให้มากขึ้นเช่นกัน
ฟอร์มูลา : คุณมองว่าการที่บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศไทยไม่ได้รับการคัดเลือกจากบริษัทผู้ผลิตเป็นเพราะเหตุใด?
อดิศักดิ์ : ปัจจุบันผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศได้มีการพัฒนาขึ้นมา 70-80 % แล้วแต่ในบางส่วนจำเป็นที่จะต้องนำการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาด้วยโดยเฉพาะชิ้นส่วนรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีเฉพาะ เช่น อีซียู ซึ่งเป็นตัวคอนโทรล อีเลคทรอนิคส์ที่มีเทคโนโลยีเฉพาะ ซึ่งผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยยังไม่สามารถที่จะผลิตได้ จึงจำเป็นให้บริษัทต่างๆเข้ามาลงทุน แต่การลงทุนจะต้องใช้งบประมาณสูงมาก
ฟอร์มูลา : มีโครงการสนับสนุนผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยให้พัฒนาไปมากกว่านี้หรือไม่ ?
อดิศักดิ์ : ที่ผ่านมา 30-40 ปี ประเทศไทยถูกใช้เป็นฐานประกอบรถโดยรัฐบาลไทยต้องการให้เป็นการประกอบใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศมากขึ้นทำให้เกิดผลดีกับอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ผ่านมาผู้ประกอบรถก็ใช้ตามนโยบายของรัฐบาลแต่หลังจากปี 2543 มีการยกเลิกกฎหมายบังคับใช้ชิ้นส่วนในประเทศก่อนยกเลิกกฎหมายนี้ก็มีการพัฒนาผู้ผลิตชิ้นส่วนขึ้นมามากมาย แต่การพัฒนาช่วง 30-40 ปีแรกเป็นการพัฒนาให้ผู้ผลิตสินค้ามีความสามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพเหมือนกันทั่วโลกอย่างสม่ำเสมอ
ดังจะเห็นได้จากปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยขณะนี้ผู้ประกอบรถยนต์ที่เป็นเจ้าของแบรนด์เข้ามาลงทุนผลิตในประเทศไทยเป็นจำนวนมากคนไทยซึ่งอยู่ในธุรกิจนี้ก็จะเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วน หรือไม่ก็เป็นพนักงานที่มาทำงานกับผู้ประกอบการในแง่ของผู้ผลิตชิ้นส่วนจุดอ่อนในขณะนี้คือ สามารถผลิตรถรุ่นปัจจุบันได้หากชิ้นส่วนไม่มีการเปลี่ยนแปลง คุณภาพคงระดับ หรือดีขึ้น ราคาก็จะอยู่ในระดับไม่ได้ถูกลงแต่ถ้าไม่คุมจริงๆ ก็จะแพงขึ้น สิ่งที่ท้าทาย คือ การแข่งขันจากภายนอกที่จะเข้ามาหรือการออกไปแข่งขันกับเขา
สิ่งที่ขาดอยู่คือการพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ดีขึ้นในวงการรถยนต์จะทำกันทุกครั้งที่จะมีการเปลี่ยนรุ่น เช่น ตอนนี้มีรุ่น อินไซจ์ท์ก็จะไม่มีการพัฒนาจนกว่า อินไซจ์ท์ จะโมเดลเชนจ์ จึงจะเริ่มทำ แต่เดิมการเปลี่ยนรุ่น 5-8 ปี/ครั้งแต่ปัจจุบันเร็วขึ้น ฉะนั้นจึงต้องการเวลาที่จะวิจัยและพัฒนารถให้เร็วขึ้นอดีตผู้ประกอบรถจะทำเองทั้งหมด แต่ถ้าเราทำเองทั้งหมดการเปลี่ยนให้เร็วขึ้นคงทำไม่ได้ หลังๆบริษัทรถยนต์จะเป็นพันธมิตรกัน ในเรื่องวิจัยพัฒนา การผลิตอีกส่วนหนึ่งส่งข้อมูลในเรื่องของการวิจัยและพัฒนาต่อให้ซัพพลายเออร์ฉะนั้นซัพพลายเออร์ก็จะต้องมีขีดความสามารถที่จะพัฒนาร่วมไปกับผู้ประกอบให้ได้เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องช่วยกันผลักดันและต้องเชื่อมโยงกับกิจกรรมของสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วยถ้าไม่มีการกำหนดว่าจะพัฒนาไปทิศทางไหน ก็ค่อนข้างที่จะลำบากแต่ละคนมีเป้าหมายไปคนละทิศละทาง เราอยากเป็นดีทรอยท์ ออฟเอเชีย จะเป็นอย่างไรเราจะถูกเลือกจากเจ้าของแบรนด์ ใช้ไทยเป็นฐานการผลิต ไม่ใช่เป็นฐานการประกอบต่อไปการเป็นฐานการผลิตคือ ต้องมีการประกอบรถ และใช้ชิ้นส่วนในประเทศให้ได้มากขึ้น
ภาครัฐกับทุกๆ องค์กรที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็น หน่วยงานรัฐบาล หน่วยงานเอกชนส่วนใหญ่ก็อยู่ในธุรกิจยานยนต์อยู่แล้ว ดังนั้นจะต้องไปในทิศทางเดียวกันรวมทั้งพวกเราที่เป็นผู้ประกอบรถ ก็คงจะต้องช่วยสนับสนุนโครงการเหล่านี้เพื่อให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนสามารถยืนหยัดและพัฒนาตัวเองขึ้นมาอีกระดับหนึ่งและสามารถพร้อมที่จะอยู่ในโลกที่มีการแข่งขันในอนาคต
ฟอร์มูลา : เอเชี่ยนฮอนดา ฯ วางแผนและนโยบายไว้อย่างไรบ้างในระยะ 5-10 ปี ?
อดิศักดิ์ : ความจริงแล้วไม่ใช่เฉพาะ เอเชี่ยนฮอนดา ฯ ถ้าจะมองไปในอีก 5-10 ปีข้างหน้าเปรียบเทียบกับ 5-10 ปีที่แล้ว ความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งคือ เรื่องของพรมแดนที่ไม่มี ฮอนดา มีนโยบายที่จะทำองค์กรให้อยู่ในสังคมได้ โดยจุดที่ทำคือ องค์กรของเราต้องมีมูลค่าเพิ่มสร้างคุณค่าที่ดีให้สังคม ลูกค้า อะไรก็ตามที่เป็นคุณค่าที่ลูกค้าและสังคมจะได้ ตัวอย่างเช่นรถจักรยานยนต์เลิกผลิตรถ 2 จังหวะ มองว่าลูกค้าปัจจุบันและอนาคตที่ครอบครองสินค้าของเรา ก็คือจะต้องเป็นสินค้าที่ช่วยในเรื่องการเดินทาง ราคาไม่แพง ประหยัด ขณะเดียวกันกับสังคมเครื่องยนต์สะอาด ในเรื่องมลภาวะ เพราะฉะนั้นเรามองว่าน่าที่จะทำให้กับลูกค้าและสังคม
ตัวอย่าง การเปลี่ยนรถจักรยานยนต์ 2 เป็น 4 จังหวะ เรามีเทคโนโลยีผลิตได้แต่ผลิตแล้วเป็นสิ่งที่ลูกค้าอยากจะใช้หรือไม่ เพราะว่าที่ผ่านมาใช้ 2 จังหวะมาตลอดเราก็ต้องทุ่มความพยายามต่างๆ เพื่อให้ 4 จังหวะ นั้นลูกค้ายอมรับในทุกด้านสิ่งเหล่านี้ก็ได้พยายามทำอย่างต่อเนื่อง รวมถึงรถยนต์ที่บริษัทได้ออกรุ่น ซิที ใหม่ ที่มีสิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้นแต่ราคาไม่เพิ่มขึ้น
การกลมกลืนกับสังคมนั้นๆ ทั้งในเรื่องการดำเนินธุรกิจ เช่นธุรกิจดำเนินอยู่ถ้าเอาทุกอย่างมาจากญี่ปุ่นจะนำมากลมกลืนกับไทยได้อย่างไรจึงได้พยายามที่จะใช้วัตถุดิบ ใช้ชิ้นส่วน บุคลากร และทุกอย่าง รวมทั้งสิ่งที่ทำไปแล้วสังคมนั้นต้องการการเข้าไปมีส่วนร่วมในสังคม ซึ่งตอนนี้ค่อนข้างให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างมาก
พยายามให้คนรุ่นหลังมีโอกาสมีความสุขกับผลพวงการกระทำของคนรุ่นก่อน ในอดีตที่ผ่านมาย้อน 10-20 ปี คนรุ่นหลังต้องรับกับผลพวงของการกระทำของคนในยุคนั้นๆ เช่นมลพิษที่สะสมมาโดยที่คนรุ่นนั้นๆ ไม่รู้ คนรุ่นหลังต้องมาเจอกับสภาพน้ำเสีย อากาศเสียเพราะฉะนั้นกิจกรรมของ ฮอนดา ก็จะให้คนรุ่นหลังสามารถมาร่วมได้ โดยไม่มีผลกระทบทั้งในเรื่องของสินค้า ก็จะต้องมลพิษต่ำ ประเทศไหนที่มีกฎหมายเกี่ยวกับมลพิษขั้นต่ำเท่าไรเราก็จะต้องทำให้ได้ และต้องทำให้ได้ก่อนที่จะบังคับใช้
เรื่องการผลิตก็จะต้องไม่มีการปล่อยมลภาวะออกไป อย่างเช่น โรงงานที่ลาดกระบังเป้าหมายกากอุตสาหกรรมไม่ปล่อยออกไปเลย อดีตปีหนึ่งๆ ต้องมีกากอุตสาหกรรมให้ เจนโก นำไปบำบัด ปีหนึ่งหลายร้อยตัน การใช้พลังงานอย่างประหยัดที่โรงงานเริ่มเห็นว่าประเทศไทยมีแสงอาทิตย์ โดยใช้แสงอาทิตย์ในการเป็นไฟส่องสว่างในอาคารนี่ก็เป็นการลงทุนเพื่อให้คนรุ่นหลังมีพลังงาน และโลกสวยๆ ไว้ใช้นานๆ เพื่อแวลู เพื่อให้ลูกค้านี่คือทิศทางของเรา
ฟอร์มูลา : ในเรื่องของจักรยานยนต์มีรุ่นประหยัดออกมา ซึ่งได้รับความนิยมมากในส่วนของรถยนต์จะมีออกมาบ้างหรือไม่ ?
อดิศักดิ์ : ในส่วนของรถยนต์ ที่เน้นเรื่องของความประหยัดก็เป็น รุ่น ซิที เห็นได้จากการพัฒนาในเรื่องระบบเครื่องยนต์ เกียร์ รวมถึงความสะดวกสบายต่างๆ ซึ่งแตกต่างจาก ซีที รุ่นแรกอย่างมาก แต่ราคาก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงและรถคันนี้ก็สามารถที่จะใช้งานได้ทั้งในเมืองและต่างจังหวัด จึงถือว่าเป็นรุ่นที่ประหยัดที่สุดแล้ว
ฟอร์มูลา : รถยนต์ ฮอนดา ซีวิค แบบ 3 ประตูที่เคยได้รับความนิยมคิดว่าจะนำกลับมาผลิตใหม่หรือไม่ ?
อดิศักดิ์ : ตอนนี้ยังไม่มีโครงการรถ 3 ประตู เนื่องจากรถรุ่นดังกล่าวที่ได้รับความนิยมเนื่องจากมีลูกค้าอยู่กลุ่มหนึ่งที่ขับคนเดียวหรือ สองคน ต้องการรถสปอร์ทและเป็นช่วงจังหวะเวลาพอดี รวมถึงเป็นช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น เจาะลูกค้าเฉพาะกลุ่มได้ตรงเวลาแต่ช่วงนี้เศรษฐกิจขาลง กำลังซื้อยังเป็นการเริ่มต้น คนที่จะซื้อรถจะเน้นถึงการใช้งานหรือเป็นรถครอบครัว จึงจำเป็นต้องเป็นรถ 4 ประตู ซีดาน
ฟอร์มูลา : บทบาท และหน้าที่ในสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ที่รับผิดชอบอยู่ขณะนี้มีอะไรบ้างและได้วางแนวทางสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไว้อย่างไร ?
อดิศักดิ์ : องค์กรที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์มีจำนวนมาก แต่ที่มีบทบาทมีอยู่ 4 องค์กร คือ 1. กลุ่มยานยนต์ อยู่ในสภาอุตสาหกรรม สมาชิกจะเป็นผู้ประกอบรถยนต์ จักรยานยนต์ รถบรรทุกสมาชิกจะมีอยู่ประมาณ 30 กว่าบริษัท 2. กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อยู่ในสภาอุตสาหกรรมสมาชิกจะเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วน หลักๆ จะเป็น โออีเอม 3. สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเป็นสมาคมอิสระ สมาชิกเป็นผู้ประกอบรถยนต์ รถบรรทุก รถจักรยานยนต์และก็จะมีผู้ผลิตชิ้นส่วนโออีเอม 4. สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยสมาชิกเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนโออีเอม และอาร์อีเอม
บทบาทของสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สมาชิกจะมีทั้งผู้ผลิต ผู้ประกอบซึ่งจะเห็นว่ามีองค์กรเดียวที่มีทั้งผู้ผลิตรถยนต์ และผู้ผลิตชิ้นส่วน เข้ามาอยู่ด้วยกันก็น่าจะเป็นจุดศูนย์กลางในประเทศของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในภาครวมอะไรที่เกี่ยวกับรถยนต์ล้วนๆ ก็คงเป็นของกลุ่ม อะไรที่เป็นของชิ้นส่วนก็คงเป็นกลุ่มชิ้นส่วนหรือสมาคมชิ้นส่วน
หลังจากที่ได้รับตำแหน่งนายกสมาคม ฯ ได้มีการหารือกับคณะกรรมการสมาคม ฯ ที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ให้เจริญเติบโตแบบยั่งยืน ซึ่งการจะทำให้ยั่งยืนนั้นจะทำอย่างไรโดยดูแล้วอุตสาหกรรมยานยนต์ โอกาสเกิดแบรนด์ใหม่คงยาก มีแต่จะค่อยๆ หายไปกลายเป็นบริษัทต่างๆ รวมกัน แล้วก็จะมีความแข็งแกร่งมากๆ ไม่ว่าจะเป็นค่ายอเมริกัน ยุโรป ญี่ปุ่นถ้าเขาใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการผลิต ไม่ใช่ฐานการประกอบ
40 กว่าปีที่มาลงทุนใช้ไทยเป็นฐานการผลิตก็มีมาก แต่ที่มาใช้เป็นฐานการประกอบก็มีถ้าทำให้เขาเชื่อมั่นเมืองไทยและใช้เมืองไทยเป็นฐานการผลิต ก็จะทำให้สิ่งที่ได้ลงทุนไปในอดีตสามารถนำไปใช้ประโยชน์กับประเทศไทย สังคม เศรษฐกิจ ได้ในอนาคตนั่นคือความพยายามที่จะมีส่วนช่วยสนับสนุน บริษัทเหล่านี้เข้ามาและที่เข้ามาแล้วก็ฝังรากหยั่งลึกลงไป สิ่งเหล่านี้คงต้องมีปัจจัย เพราะเขามีสิทธิ์เลือกที่ใดที่หนึ่งเราก็พยายามดูว่าปัจจัยที่เลือกนั้นมีอะไรบ้าง โดยดูจากปัจจัยที่ 1. ตลาด 2. การสนับสนุนด้านอุตสาหกรรม และสุดท้ายเรื่องการวางแผนงานระยะยาวและสำคัญที่สุดคือการซัพพอร์ทจากภาครัฐ บรรยากาศในประเทศไทยที่จะต้อนรับการเข้ามาลงทุนนั่นคือสิ่งที่เราต้องพยายามผลักดัน สนับสนุน ชี้นำให้กับคนที่มีอำนาจความรับผิดชอบในส่วนนั้นร่วมกัน
ตลาดในประเทศไทยอีก 5 ปีข้างหน้ายังไม่ถึง 1 ล้านคันซึ่งก็ยังไม่ใหญ่เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย หรือจีนการที่จะทำให้เมืองไทยเป็นที่น่าดึงดูด ก็จะมีเรื่องของอาเซียน ซึ่งถ้ารวมกันเป็นตลาดเดียวแล้วเจ้าของแบรนด์จะเจาะเข้ามาก็ต้องผ่านประเทศใดประเทศหนึ่งและประเทศไทยเป็นประตูให้กับเจ้าของแบรนด์ผ่านเข้ามาในอาเซียนได้ประเทศไทยก็จะมีโอกาสค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้นเราก็อยากสนับสนุน ผลักดัน
โครงการในอาเซียนให้เดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อผสมผสานตลาดนี้เพราะที่ผ่านมามีบางประเทศยังไม่พร้อม และพยายามไม่เข้าร่วม หรือขอเลื่อนออกไปส่วนประเทศที่พร้อมเราก็อยากที่จะให้เดินหน้าต่อและหลังจากที่เป็นตลาดเดียวกันสเปคของรถที่ใช้ในอาเซียนก็น่าจะเป็นสเปคเดียวกันเพื่อประโยชน์ในด้านปริมาณและอีกอย่างประเทศในแถบนี้ก็เป็นประเทศร้อนเหมือนกันไม่มีความจำเป็นที่จะทำให้แตกต่างกันนั่นคือแผนในระยะ 2 ปีนี้ ที่จะต้องผลักดัน
สุดท้ายเรามีผู้ผลิตชิ้นส่วนอยู่ในสมาคมนี้ด้วย ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยในอาเซียนเราเข้มแข็งที่สุด ณ ปัจจุบันแต่กับสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต เรื่องการแข่งขันเสรีผู้ผลิตชิ้นส่วนมีหลายอย่างที่ต้องพัฒนาขึ้น โดยสมาคม ฯ พยายามเข้าไปช่วยเหลือส่วนหนึ่ง เช่นให้ความรู้ ในเรื่องข่าวสารข้อมูล เรื่องที่น่ารู้เพื่อให้เขาตื่นตัว
ฟอร์มูลา : ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ควรจะไปทิศทางไหน ?
อดิศักดิ์ : ที่ผ่านมารัฐบาลนำไปคิดเองหรือเอาเอกชนไปร่วมคิดบ้าง แล้วกำหนดนโยบายออกมาแต่รัฐบาลนี้ค่อนข้างมีการทำงานที่มีแนวทางการทำงานที่แปลกออกไปโดยให้เอกชนคิดก่อนว่าพวกเราอยากเห็นทิศทางอนาคตอย่างไร ซึ่งเป็นความคิดหลายคนที่มีส่วนร่วมเป็นสโลแกน ดีทรอยท์ ออฟ เอเชีย ถ้าอยากเป็นตรงนั้น อยากเห็นประเทศไทยเป็นดินแดนเป็นประเทศที่ผู้ผลิตรถยนต์สำคัญของโลกให้ความเชื่อมั่นเพราะอย่างไรก็ตามผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่เหล่านี้คงไม่ผลิตรถยนต์ที่อเมริกาแล้วส่งมาเมืองไทยเขาต้องหาฐานการผลิตของเขา อยากให้เมืองไทยมีคุณสมบัติในการได้รับเลือก และเราจะได้ประโยชน์คือ ถ้าเขามาผลิตไม่ได้มาประกอบ ก็จะใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ ก็จะมีการจ้างงานมีอุตสาหกรรมชิ้นส่วนเกิดขึ้น เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ตรงนี้รายได้จากอุตสาหกรรมชิ้นส่วน จากอุตสาหกรรมยานยนต์ก็จะไม่ได้รองรับเฉพาะไทยอย่างเดียวแต่จะส่งเสริมไปในเรื่องของการส่งออกด้วยทำให้ได้ทั้งเงินตราต่างประเทศ เทคโนโลยี การจ้างงาน อะไรต่างๆ ที่จะไปเสริมสร้างเศรษฐกิจของเราที่ตั้งเป้าไว้คงจะเริ่มเห็นในปี 2549 ถ้าการดำเนินการเป็นไปตามเป้าหมาย นั่นคือปีเริ่มต้นซึ่งถ้าเราทำดีไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นภาพชัดเจนขึ้น
ฟอร์มูลา : เป้าหมายหลักๆ ที่วางไว้มีอะไรบ้าง ?
อดิศักดิ์ : ทางด้านรถยนต์ปัจจัยอย่างหนึ่งคือต้องมีตลาดเข้มแข็งภายในตัวที่จะกระตุ้นตลาดคือสินค้าตัวไหน และเมื่อกระตุ้นในประเทศแล้วต้องกระตุ้นตลาดต่างประเทศด้วยคือ ต้องหานีชโพรดัคท์ที่อื่นๆ ไม่มี และเมืองไทย นั่นคือ พิคอัพเราก็มองว่าจะทำอย่างไรให้พิคอัพของไทยเก่งขึ้น ให้เป็นแชมเพียนขึ้นมา ได้มีการทบทวนให้เก่งขึ้นและสามารถขยายผลได้มากขึ้น เราต้องทำอะไรบ้างอันดับแรกที่ต้องทำคือต้องผ่อนคลายกฎระเบียบในการเอารถพิคอัพไปทำเป็นอนุพันธ์ต่างๆ ขึ้นมา
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งตลาดอาเซียนทำให้ไทยเป็นฐาน เป็นประตู ในเรื่องชิ้นส่วนที่ต้องทำกันค่อนข้างมากขณะนี้ถ้าเป็น โออีเอม คุณภาพนั้นใช้ได้แล้ว แต่ อาร์อีเอม คิดว่าคงยังขาดในเรื่องคุณภาพอยู่และอาร์อีเอม ไม่สามารถรับรองคุณภาพด้วยตัวเองได้ โออีเอม ติดแบรนด์ขายได้ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้ออะไร ส่วน อาร์อีเอม ไปติดแบรนด์แล้วไม่เป็นที่รู้จักในเรื่องของศูนย์ทดสอบเป็นสิ่งที่คิดว่าจำเป็น กำลังศึกษาอยู่ว่าจะมีขึ้นมาอย่างไร ใครจะรับผิดชอบดูแลกันอย่างไร กำลังศึกษาอยู่ และศูนย์นี้จะมาช่วยผู้ผลิตชิ้นส่วนในเรื่องการพัฒนา
ด้านคุณภาพ ต้องลงทุนสูงการทำให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนมีขีดความสามารถมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตลาด การลดต้นทุน การขนส่งเราคงเข้าไปช่วยเหลือผู้ผลิตชิ้นส่วนแต่ละรายไม่ได้คงต้องให้เขานั้นศึกษาและพัฒนากันเองหรือใช้ระบบการรวมตัวกัน โดยนำทุกคนที่เก่งคนละอย่างมารวมตัวกัน ช่วยกันในขณะเดียวกันในส่วนขององค์กรที่ห้อมล้อมธุรกิจส่วนนี้อยู่ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัย วิศวกรที่จะมาสนับสนุนในด้านวิชาการ ประสบการณ์ เข้ามาร่วมมือกันนอกจากนี้แล้วเรื่องการพัฒนาบุคลากร ที่ผ่านมาเราอาจจะถูกใช้เป็นฐานการประกอบการคาดหวังของบริษัทที่มาลงทุนนั้นคาดหวังค่าแรงถูก ไม่ได้คาดหวังในเรื่องของ แบรนด์ เครือข่ายจากนี้ไปคงต้องพัฒนาในเรื่องของบุคลากร ให้มีแรงงาน ฝีมือ สติปัญญา ให้เข้ามาช่วยกัน
ฟอร์มูลา : ในเรื่องของการทำงานทั้งในส่วนเป็นผู้บริหารของบริษัทกับการเป็นนายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย มีปัญหาอย่างไรบ้าง ?
อดิศักดิ์ : อุตสาหกรรมนี้เป็นทรัพย์สินที่มีค่าของสังคมได้ช่วยกันทำดีๆ เราในฐานะที่เป็นคนๆ หนึ่งมีความรู้บ้าง ทำให้กับบริษัทในฐานะลูกจ้างก็ต้องทำทำให้สังคมก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งที่อยากทำให้ ในเรื่องนี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากทางบริษัทซึ่งแต่เดิมก็ทำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกรรมการ อุปนายก เลขาธิการ ก่อนที่จะขึ้นมาเป็นนายกสมาคม ฯซึ่งพอเป็นแล้วก็ต้องรับผิดชอบเต็มตัว มีการคุยกับท่านประธาน ว่าจะเข้ามา ท่านประธานก็ตกลง
คือเข้ามามีส่วนในอุตสาหกรรมยานยนต์ในบ้านเราถ้าหากมีความสามารถพอที่จะเข้าไปพัฒนาเสริมสร้างอะไรที่ดีขึ้นก็ยินดีเพราะหากว่าอุตสาหกรรมยานยนต์เติบโต ฮอนดา ก็จะเติบโตไปด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่น่าหนักใจเพียงแต่เลือกสวมหมวกให้ถูกเวลาเท่านั้นก็พอ
ฟอร์มูลา : 30 ปี ของการทำงานกับ ฮอนดา รู้สึกอย่างไรบ้าง ?
อดิศักดิ์ : 30 ปี ร่วมงานกับ ฮอนดา มาตลอด รู้สึกดี เพราะ ฮอนดา เป็นองค์กรที่มีปรัชญา คือ 1.การสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ดีเลอร์ และตัวเราเอง ที่เป็นผู้สร้างสรรค์สินค้า และบริการ 2.การเคารพในปัจเจกบุคคล การให้ความเสมอภาคทุกคน เช่น พนักงานที่ทำงานกับบริษัทจะมีสิทธิ์เสรีภาพเท่าเทียมกัน หรือลูกค้าที่จะมาซื้อรถ ไม่ว่าจะเป็นใครก็จะได้ราคาที่เท่ากันแต่คนไทยอาจจะยังรับตรงนี้ไม่ค่อยได้ จึงมักมีปัญหาที่ต้องอธิบายกับลูกค้าค่อนข้างมากรวมถึงการเคารพในความคิดสร้างสรรค์ ทำอะไรที่ท้าทายตัวเอง มีความฝัน และทำให้เป็นจริง สุดท้ายคือ เป็นคนที่น่าเคารพและมีเครดิท
สิ่งที่รู้สึกดี คือการไม่มีอาณาจักร ไม่มีขอบเขต แล้วแต่ความสามารถไม่ได้ถูกจำกัดในเรื่องของขีดความสามารถ ซึ่งรู้สึกท้าทายตัวเอง รวมถึง ฮอนดาสอนให้เราทำงานเป็นทีม ความสำเร็จที่ผ่านมา โรงงานก็เริ่มเติบโต ตั้งแต่วันหนึ่งไม่ถึง 100 คัน แต่ปัจจุบันจะเป็น 1,400,000 คัน นั่นคือความภูมิใจที่ได้ทำงานร่วมกันกับทีมงานของ ฮอนดา ทำให้ ฮอนดา เป็นองค์กรสังคมไทยให้การยอมรับ ดังจะเห็นได้จากชื่อเสียงของ ฮอนดา และสินค้าที่ได้รับการต้อนรับจากคนไทยของเรา แต่จะถามว่าชิ้นไหนเป็นชิ้นโบว์แดง ตอบยากเพราะแต่ละช่วงนั้นมีโจทย์ที่ไม่เหมือนกัน เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ไม่เกิน 100,000 คัน/ปี จนมาถึงปัจจุบันเราสามารถทำได้มาถึงจุดนี้ รวมถึงการส่งออกสินค้าไป 70-80 ประเทศทั่วโลก
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : จินดา ลัยนันท์
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51715