โค้งอันตราย
ภาษีร้อนๆ จ้า
ดึงไม่หยุด ฉุดไม่อยู่สำหรับยอดการขายรถยนต์ในรอบสี่เดือนที่ผ่านมา ขายกันได้ทั้งตลาด 160,391 คัน สร้างอัตราการเจริญเติบโตถึง 37.6 % และสร้างภาวะรถติดมหาวินาศเป็นประจำทุกเย็นวันศุกร์ในเมืองใหญ่
แถมด้วยการขายรถทุกวันนี้ เจ้าไหนไม่แถมประกันชั้นหนึ่ง ถือว่าไม่ทันสมัยส่วนเรื่องดอกเบี้ยศูนย์เปอร์เซนต์น่ะ เป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว
แค่ต้นทุนห้าแสนบาท คิดดอกเบี้ยรถใหม่ 3.5 % ผ่อนส่ง 48 เดือน ค่าส่วนต่างดอกเบี้ยคิดง่ายๆก็เจ็ดหมื่นบาทเข้าไปแล้ว ประกันชั้นหนึ่งต่ำสุดก็ตกราวหมื่นแปด ถึงสามหมื่นกว่าแล้วนี่เขาขายรถกันแล้วได้กำไรกันจากตรงไหนเนี่ย
นั่งเพลินๆ วันก่อน มีแมลงวันบินมาจากตลาดหมอชิตบินมานั่งเล่าเรื่องในที่ประชุมเรื่องการปรับอัตราภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์ประจำปีที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราวสองเท่าจากปัจจุบัน
ใครหาว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง โกรธจริงๆ ด้วยเอ้า
กระทรวงการคลัง ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก วางแนวทางการเก็บภาษีป้ายรถยนต์แบบใหม่เตรียมประกาศใช้เร็วๆ นี้ เรื่องแรกเริ่มด้วยการเก็บตามขนาดความจุกระบอกสูบรถยนต์คิดเป็นลูกบาศก์เซนติเมตร หรือ ซีซี สำหรับรถยนต์นั่งไม่เกิน 7 คน และเพิ่มหลักเกณฑ์ใหม่ คือเก็บตามมูลค่ารถยนต์ สำหรับรถยนต์นั่งไม่เกิน 7 คน ที่มีราคาขายตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป
งานนี้เรียกว่าเก็บสองเด้งครับ
ราคาใหม่ล่าสุดคาดว่าจะเป็นดังนี้ เครื่องยนต์ไม่เกิน 600 ซีซี เสียภาษี 2 บาท/ซีซี ขนาด 601-1,300 ซีซี เสียภาษี 3 บาท/ซีซี ขนาด 1,301-1,800 ซีซี เสียภาษี 4 บาท/ซีซี ขนาด 1,801-2,000 ซีซี เสียภาษี 5 บาท/ซีซี ขนาด 2,001-2,400 ซีซี เสียภาษี 7 บาท/ซีซี ขนาด 2,401-3,000 ซีซี เสียภาษี 9 บาท/ซีซี
เครื่องยนต์เกิน 3,000 ซีซี เสียภาษี 12 บาท/ซีซี
ส่วนฐานคิดเงินเพิ่มตามมูลค่ารถยนต์ คาดว่าราคาระหว่าง 3 ถึง 6 ล้านบาท เสียเพิ่ม 1-2 หมื่นบาท/คัน ราคาสูงกว่า 6 ล้านถึง 10 ล้านบาท เสียเพิ่ม 2-4 หมื่นบาท/คัน และราคาสูงเกินกว่า 10 ล้านบาท เสียเพิ่ม 3-6 หมื่นบาท/คัน
งานนี้ภาครัฐจะบอกว่าไม่ได้ปรับภาษีป้ายวงกลมมานานกว่า 20 ปีแล้วในขณะที่ราคารถยนต์เพิ่มขึ้นหลายเท่าในช่วงที่ผ่านมา และเห็นว่าควรส่งเสริมความเป็นธรรมสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่สนับสนุนประชาชนให้ใช้จ่ายอย่างประหยัด ไม่นิยมสินค้าฟุ่มเฟือยโดยเฉพาะสินค้านำเข้า
ส่วนฟากรถยนต์บรรทุก คาดว่าจะเพิ่มการเก็บภาษีตามน้ำหนักรถ เพราะรถที่มีน้ำหนักมากยิ่งสร้างความสึกหรอและเสียหายให้แก่ถนนส่วนรวม จึงต้องเก็บภาษีให้มากขึ้นตามน้ำหนักรถ
หลักการอีกประการก็คือ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเลือกซื้อเลือกใช้รถยนต์ขนาดเล็กที่ประหยัดพลังงานน้ำมัน และสะท้อนความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม เพราะถือว่ารถที่มี ซีซี สูงมีส่วนสร้างมลภาวะและทำลายสิ่งแวดล้อมจากการปล่อยไปเสีย มากกว่ารถที่ขนาด ซีซี เล็กกว่า
แมลงวันตัวที่ว่านั่น พอเล่าได้แค่นี้ก็บินหายไป ว่าจะถามทีเด็ดอะไรต่อสักหน่อยก็ไม่ได้
ก็อ้างได้เข้าประเด็นดีนะครับ เพราะตอนนี้ พณหัวเจ้าท่านกำลังดำเนินนโยบายเพื่อลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน แต่ไม่เกี่ยวข้องกับคนเคยรวยโดยเน้นระดับรากหญ้าใช้หลักธรรมชาติ คือ ทำอย่างไรให้ประชาชนลดรายจ่ายทำอย่างไรให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น และเปิดโอกาสให้แสงหาแนวทางการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
อันที่จริง สหประชาชาติ ว่าเอาไว้ว่า มนุษย์ทุกคนควรจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่าวันละ 1 เหรียญสหรัฐบ้านเราก็ตกราวสี่สิบห้าบาท ถึงจะอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างไรข้าพเจ้าก็จะดำเนินการให้ปัญหาความยากจน หมดไปจากบ้านเมืองของเราได้อย่างยั่งยืนรวมทั้งการทุกจริตคอร์รัปชั่น และปัญหายาเสพย์ติด
เอ๊ะ เขียนๆ ไปเหมือนใครพูดก็ไม่รู้
ว่าจะเลยเรื่องสนามบินสุวรรณภูมิ ที่มีคนคุยฟุ้งว่าจะเปิดให้ทันวันที่ 29 กันยายน 2548ก็หันไปเห็นอัตราการเจริญเติบโตของรถเพื่อการพาณิชย์ ที่สี่เดือนขายไปแล้ว 95,579 คันเจริญเติบโตถึง 24.9 % ก็เลยต้องเล่าถึงต้นเหตุสักเล็กน้อย
งานสร้างสนามบินนี่ มีความจำเป็นต้องใช้รถเพื่อการพาณิชย์ รถกระบะหนึ่งตัน มากมายไม่รวมถึงรถประจำตำแหน่งต่างๆ นับสิบบริษัทฯที่เกี่ยวเนื่องกัน
งานในส่วนที่เกี่ยวเนื่อง นอกเหนือจากงานสร้างลานบินและอาคารผู้โดยสารแล้วมีตั้งแต่งานสร้างอุโมงค์รถไฟใต้อาคารผู้โดยสาร ปรับเส้นทางมอเตอร์เวย์เพิ่มเป็น 8 ช่องทางทำถนนเชื่อมจากบางนา-ตราด ทำทางยกระดับทางด่วนบางนา-ดินแดง มาเชื่อมกับบางนา-บางปะกงโรงงานผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น
ระบบการให้บริการเชื้อเพลิง ระบบบริหารสารสนเทศ ดำเนินการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 ช่วงอาจณรงค์-บางนา โครงการโรงแรมท่าอากาศยาน การจัดหาวัสดุอุปกรณ์เพื่อใช้ในโครงการการจัดหาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และเรื่องสำคัญ โครงการรถโดยสารเพื่อบริการแก่ผู้โดยสาร
นี่ยังไม่หมดนะครับ เลือกเอามาเล่าให้ฟังเฉพาะที่เกี่ยวข้อง เพราะทุกงาน ทุกโครงการมีความจำเป็นต้องใช้รถนานาประเภท เรียกได้ว่าทุกประเภทก็ว่าได้ที่เป็นรถเพื่อการพาณิชย์เฉพาะโครงการนี้เพียงโครงการเดียว ที่ช่วยให้ตัวเลขการขายสูงขึ้นพอควร
แต่ถ้าจะให้ดีนะครับ โครงการก่อสร้างทุกประเภท เอาแค่ที่หยุดชะงักไป ยังสร้างไม่เสร็จเอากลับมาปัดฝุ่นลงมือกันใหม่ นี่ก็จะยิ่งช่วยให้ยอดการขายรถเพื่อการพาณิชย์ เพิ่มมากขึ้น
จะอ้างว่าโครงการประเภทที่ว่า หยุดไปตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว ก็ไม่มีใครว่าหรอกตราบใดที่ทำให้คนมีงานทำ เศรษฐกิจเจริญเติบโต ประชาชนมีเงินใช้
สินเชื่อร้อยละสิบแปดมากมาย เพราะต้นทุนเงินต่ำ คนใช้เงินล่วงหน้าไม่รู้สึก
แล้วจะมาอ้างว่าเศรษฐกิจฟองสบู่คงไม่ได้นะครับ เพราะนั่งเก้าอี้มาสองปีเต็มๆ แล้ว
เอ๊ะ เขียนเองชักงงเองครับ กระทบชิ่งใครมั่งเนี่ย
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51670