บทความ
วัวหาย
เทศกาลสงกรานต์ประจำปี 2546 เพิ่งจะผ่านไปสดๆ ร้อนๆ
ช่วงเทศกาลสงกรานต์เมื่อปีที่แล้ว อันเนื่องมาจากการใช้รถใช้ถนนเพื่อการคืนสู่เหย้าเยี่ยมเยียนญาติท่องเที่ยวและสนุกสนานกับการมีส่วนร่วมกับกิจกรรมสงกรานต์ในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ
มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนนในช่วงเทศกาลนี้ให้ได้เป็นอุทาหรณ์
ตายกันเป็นว่าเล่นถึงกว่า 1,000 คน
บาดเจ็บทั้งสาหัส และไม่สาหัส ไม่น้อยกว่า 50,000 คน
เทศกาลสงกรานต์ปีนี้ผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดูแลความเรียบร้อยและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนอันเนื่องมาจากการใช้รถใช้ถนนในช่วงเทศกาลนี้ มีความห่วงใยต่อการเกิดอุบัติเหตุเป็นอย่างยิ่ง
และมีการตั้งเป้าหมายในการที่จะนำเอามาตรการต่างๆมาใช้เพื่อให้สามารถลดการเกิดอุบัติเหตุอันจะนำมาซึ่งการสูญเสียชีวิตและการบาดเจ็บของผู้คนให้ลดลงจากสถิติการสูญเสียจากที่ปรากฎขึ้นในปีที่แล้วอีกอย่างน้อย 20 %
เป้าหมายการลดการสูญเสียในระดับนี้ บอกตรงๆว่าเป็นการตั้งเป้าหมายในแบบขอไปทีหรือไม่ก็เข้าทำนองจนปัญญาปล่อยให้เป็นไปตามเรื่องตามราวมากกว่า
ถ้ามีความตั้งใจจริงที่จะปฏิบัติให้บังเกิดผล หรือเอาจริงเอาจังที่จะใช้มาตรการกันจริงๆมันน่าจะมีเป้าหมายในการลดการสูญเสียมากกว่าที่ประเมินเอาไว้มากมาย
มีการวิเคราะห์วิจัยกันออกมาว่าการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนหรืออุบัติเหตุจากการจราจรจำนวนมากมายในช่วงเทศกาลสงกรานต์
หรือเทศกาลปีใหม่ทุกครั้งส่วนใหญ่จะเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการใช้รถจักรยานยนต์เป็นตัวการสำคัญ
และนี่เองที่ทำให้ต้องย้อนกลับมารำลึกถึงคำพูดของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมท่านหนึ่งที่ดูแลเกี่ยวข้องกับถนนหนทาง และยานพาหนะทั้งหลายทั้งปวง
ท่านบอกว่า ทุกวันนี้ในประเทศไทยเรา มีประชากรรถจักรยานยนต์อยู่ทั่วประเทศไม่น้อยกว่า 16ล้านคัน แต่มีคนที่ใช้รถจักรยานยนต์โดยมีใบอนุญาตขับขี่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงแค่ 6ล้านคนเท่านั้น
นั่นก็หมายความว่ายังมีรถจักรยานยนต์ที่มีผู้ขับขี่โดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่อย่างถูกต้องตามที่กฎหมายบังคับไว้ขับขี่เพ่นพ่านอยู่บนท้องถนนอีกไม่น้อยกว่า 10 ล้านคัน
อนุมานในเบื้องต้นไว้ก่อนว่า ในจำนวนคนขับขี่รถจักรยานยนต์โดยไม่มีใบขับขี่จำนวนถึง 10 ล้านคนนี้ย่อมจะไม่สันทัดรอบรู้หรือเข้าใจในกฎระเบียบการจราจรที่กำหนดเอาไว้ด้วย
น่าเสียดายที่ไม่มีการระบุออกมาอย่างชัดเจนว่า อุบัติเหตุทางการจราจรอันนำมาซึ่งการสูญเสียชีวิตบาดเจ็บและสูญเสียทรัพย์สินจำนวนมหาศาลเกิดขึ้นเพราะการขับขี่ยานพาหนะโดยไม่มีใบขับขี่เป็นสาเหตุหลัก
อาจเป็นไปได้ว่า ไม่อยากระบุออกมาชัดๆ อย่างนั้นเพราะการที่ใครต่อใครไม่คิดอยากมีใบขับขี่หรือไม่อยากรู้กฎเกณฑ์การจราจรนั้นหน่วยงานของรัฐที่อยู่ในความรับผิดชอบดูแลซึ่งก็คือกรมการขนส่งทางบกมีหน้าที่ที่จะต้องทำให้เกิดขึ้นทั้งนั้น พูดมากไปอาจเข้าตัวมองเห็นความย่อหย่อนหรือบกพร่องขาดการเอาใจใส่ก็เป็นได้
มาช่วยกันไขลานหรือเสริมประสิทธิภาพการทำงานในด้านนี้กันเสียหน่อยเป็นไรวิธีนี้อาจจะช่วยให้บังเกิดผลในการลดการเกิดอุบัติเหตุได้ฉมังมากกว่าการรณรงค์ให้คนเกิดสำนึกรับผิดชอบด้วยการทำประชาสัมพันธ์ปาวๆ เป็นไหนๆ
ทุกวันนี้ หน่วยงานของกรมการขนส่งทางบกในแต่ละพื้นที่ในแต่ละจังหวัดมีอยู่จำกัดจำเขี่ยเหลือเกินประกอบกับพื้นที่ของแต่ละจังหวัดก็กว้างขวางย่อมจะไม่สามารถบันดาลความสะดวกคล่องตัวในการมาขอรับบริการจากสำนักงานของรัฐ
ลองหันมาขยันใช้การให้บริการภาคสนามนอกพื้นที่กันให้มากขึ้น
ความยุ่งยากในการปฏิบัติงานและรวมทั้งค่าใช้จ่ายในการออกปฏิบัติงานในแต่ละครั้งก็คงจะไม่มากไม่มายเท่าไรนัก
ใช้วิธีการนี้ผู้คนที่ใช้รถเป็นยานพาหนะก็จะมีความรอบรู้และสามารถปฏิบัติตัวให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์การจราจรมากขึ้น คนจะมีใบขับขี่รถกันถ้วนหน้าด้วย
รู้ดีกับกฎจราจร ขับขี่รถได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายอุบัติเหตุในทางการจราจรน่าจะลดลงอีกมากมายก่ายกองทีเดียว
ที่สำคัญรัฐจะได้เงินจากค่าธรรมเนียมการทำใบขับขี่ในส่วนที่คนไม่ยอมมีใบขับขี่อีกตั้ง 10 ล้านคนอย่าให้ต้องคำนวณออกมาเลยว่าเป็นเงินก้อนโตขนาดไหน
มีข่าวว่า กำลังจะมีการรณรงค์เข้มงวดกวดขันเอาจริงเอาจังกับการจับกุมผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์โดยไม่สวมหมวกนิรภัยหรือหมวกกันนอคกันอีกแล้ว
ปฏิบัติการนี้อ้างเหมือนทุกครั้งว่าเพื่อเป็นการลดการเกิดอุบัติเหตุและการสูญเสีย
มาตรการนี้เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งในด้านสวมหมวกนิรภัยจะช่วยลดการสูญเสียของผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ แต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการปฏิบัติ
ทำไมถึงย่อหย่อนปล่อยปละละเลยในการเข้มงวดกวดขัน ทำไมจึงต้องมาทำกันเป็นครั้งเป็นคราวรณรงค์ทีก็ทำกันทีเหมือนกับไฟไหม้ฟางฉันใดก็ฉันนั้น
และก็ขอให้ปฏิบัติกันอย่างเอาใจใส่จริงๆ จังๆ ด้วยไม่ใช่ว่าเห็นอะไรครอบหัวคนขับหรือคนซ้อนท้ายจักรยานยนต์มาก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
ที่เห็นกันจนชินหูชินตากลายเป็นสิ่งประดับอยู่บนหัวก็คือ ใส่หมวกนิรภัยโดยครอบเอาไว้เฉยๆไม่ต้องรัดไม่ต้องจัดให้เข้าที่เข้าทางอย่างใดทั้งสิ้น พอถูกอะไรมาสะกิดสะเกาเข้าหน่อยหมวกกระเด็นหลุดจากหัวไปกลิ้งอยู่กลางถนนแล้ว
อย่างนี้จะไปเรียกว่า หมวกนิรภัยให้มันเสียความหมายทำไมกัน
เรื่องโดย : "หลวงเลียบเมือง"
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : บทความ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51623