ชีวิตคือความรื่นรมย์
ฟัง-คิด-พูด-ทำ "ดี"
ประเทศไทยและชาติไทยมีประเพณีต่างๆ ที่เกี่ยวกับชาติ, ศาสนา, พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญอยู่มากมายตลอดปี
แต่ที่ข้าพเจ้าคิดว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยคิดอย่างข้าพเจ้า คือเราจะคอยวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งทางราชการถือเป็น"วันชาติ" ด้วย
ที่คนไทยคอยวันนี้ไม่ใช่จะเร่งวันเร่งคืนให้พระองค์ทรงมีพระชนมายุเจริญขึ้นโดยเร็วหากแต่ปรารถนาที่ได้รับฟังพระราชดำรัส ที่จะพระราชทานแก่พสกนิกรทั้งที่เข้าเฝ้าถวายพระพรชัยมงคลตลอดจนรับพระราชทานใส่เกล้าใส่กระหม่อมผ่านทางวิทยุและโทรทัศน์ไปทั่วโลก ในวโรกาสอันเป็นมหามงคลนั้น
ทั้งนี้เพราะในพระราชดำรัสแต่ละปีนั้น นอกจากจะได้รับพระราชทานข้อคิดต่างๆอันมีสาระควรแก่น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมอัญเชิญไปประพฤติปฏิบัติแล้วยังได้รับพระราชทานพรอันเป็นมงคลก่อนปีใหม่ที่จะตามมาอีกด้วย
พสกนิกรทุกหมู่เหล่าคงจำได้ดีว่า ในพระปฐมบรมราชโองการ ที่ทรงประกาศแรกเสด็จถวัลย์ราชสมบัติเมื่อ 56ปีมาแล้วนั้น มีอมตวาจาที่ผู้คนยังซาบซึ้งมิวาย โดยที่พระองค์ตรัสว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"
ตลอด 75 ปี ในพระชนมชีพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงยึดมั่นใน "ธรรม"ที่พระองค์ทรงประกาศไว้ทุกประการ "ธรรม" ที่ว่านี้คือ "ธรรมะสำหรับพระมหากษัตริย์ 10 ประการ" หรือที่เรียกว่า"ทศพิธราชธรรม" นั่นเอง
"ทศพิธราชธรรม" นั้น ได้แก่
ทาน - การให้ การเสียสละในสิ่งที่ควรให้
ศีล - ความประพฤติปฏิบัติที่ดี รวมทั้งข้อห้ามประพฤติในสิ่งที่ไม่ดีทั้งปวง
บริจาค - การเสียสละ
อาชวะ - ความซื่อตรง ความซื่อสัตย์
มัทวะ -ความไม่มัวเมา (ในกิเลส)
ตบะ - การบำเพ็ญตนเพื่อลดกิเลสด้วยการข่มใจ
อักโกธะ - ความไม่โกรธ
อวิหิงสา - ความไม่เบียดเบียน
ขันติ - ความอดทน อดกลั้นต่อสิ่งที่ไม่พึงพอใจ
อวิโรธนะ - ความไม่ประพฤติผิดธรรมจริยา
เมื่อพิจารณาจากธรรมทั้ง 10 ประการนี้แล้วเราพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทยทุกพระองค์ทรงยึดมั่นเป็นอันดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพรเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันนี้ พระองค์ทรงบำเพ็ญธรรมะได้เต็มเปี่ยมทั้ง 10 ประการเป็นที่ยิ่งซึ่งไม่แต่พสกนิกรชาวไทยเท่านั้น ที่จะยกย่องชื่นชมในพระมหาบารมี และพระปรีชาญาณของพระองค์หากแต่บุคคลและองค์กรต่างๆ ในหลายประเทศทั่วโลกก็สดุดีสรรเสริญในพระเกียรติคุณอันยากยิ่งที่จะมหากษัตริย์พระองค์ใดในโลกเทียบเทียมได้ในโลกยุคใหม่นี้ดังเช่นโครงการในพระราชดำริมากมายที่องค์กรต่างประเทศยอมรับและยกย่อง อย่าง รางวัลแมกไซไซที่ขอพระราชทานมอบแก่โครงการของพระองค์
เมื่อกล่าวถึง "ทศพิธราชธรรม" แล้ว อดที่จะคิดถึงรัฐบาลตลอดจนนักบริหารงานสมัยใหม่ชอบพูดถึงการบริหารหรือการจัดการงานในองค์กรโดยหลัก "ธรรมาภิบาล" หรือ GOOD GOVERNANCE เสียมิได้หลัก "ธรรมาภิบาล" (ธรรม+อภิบาล) นั้น ถ้าจะปรับเข้าหลักพระพุทธศาสนา ก็คงจะได้หลายหัวข้อทั้ง "สังคหวัตถุ4" (ธรรมที่เป็นเครื่องสงเคราะห์กันและกันให้ยึดเหนี่ยวซึ่งกันและกัน อันได้แก่ ทาน-การแบ่งปันเอื้อเฟื้อต่อกัน,ปิยวาจา-การพูดจาน่ารักน่านิยมนับถือ, อัตถจริยา-การบำเพ็ญประโยชน์ต่อกัน และ สมานัตตตา-การวางตนอย่างสม่ำเสมอ ไม่ถือตัว เข้ากับใครก็ได้พอเหมาะพอควรแก่กาลเทศะ)
หรือธรรมะข้อที่ชื่อ "พรหมวิหาร 4" หรือธรรมะประจำใจของพระพรหม คือ เมตตา-ความรักความปรารถนาที่อยากให้ผู้อื่นเป็นสุข กรุณา-ความสงสาร ความเห็นใจ ช่วยคิดหาหนทาง ช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์มุทิตา-ความรู้สึกพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีมีความสุข ก็แช่มชื่นเบิกบานใจไปด้วย และ อุเบกขา-การวางใจเป็นกลางไม่เอนเอียงด้วยชอบหรือชัง
แม้หลักการย่อๆ ใน "ธรรมาภิบาล" ก็อาจจำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันขอแต่ละคนได้ เช่น ความโปร่งใส(TRANSPARENCY) ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนควรมีในตน การมีความรับผิดชอบ สามารถตรวจสอบได้(ACCOUNTABILITY) การให้ทุกคนมีส่วนร่วม (PARTICIPATION)หรือการทำสิ่งใดด้วยสิ่งที่คาดว่าน่าจะคาดการณ์ได้ (PREDICTABILITY)รวมทั้งหัวข้อที่รัฐบาลปัจจุบันชอบกล่าวถึงนักคือ "บูรณาการ" หรือการงานที่มีความเชื่อมโยง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน(INTEGRITY) ฯลฯ เหล่านี้ก็ล้วนแล้วเป็นข้อดีในการประพฤติปฏิบัติให้พบความสำเร็จซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วคงเป็นเสมือน "พร" (วร=ประเสริฐ) หรือที่โบราณเรียกให้ดูขลังว่า "เป็นมงคล"
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ทรงคิด-ตรัส (พระราชดำรัส) และทรงกระทำแต่สิ่งที่เป็นมงคลการได้ฟังและรับพระราชดำรัสไว้เหนือเกล้าเพื่อปฏิบัติตามรอยพระบาทนั้น จึงเป็นมงคลโดยมิพักสงสัย
ขอความสุขปีใหม่จงมีแด่ท่านผู้อ่านตลอดไปตลอดปีเทอญ
ABOUT THE AUTHOR
ป
ประยอม ซองทอง
ภาพโดย : -นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์