โค้งอันตราย
ฟื้นแน่ ?
รู้สึกตัวเองว่าเศรษฐกิจดีขึ้นไหมครับ ถึงท่านจะไม่รู้สึก แต่ยอดการขายรถยนต์ในช่วงสี่เดือนแรกของปีพอบอกได้คร่าวๆ ว่าเศรษฐกิจเริ่มขยับตัวดีขึ้น เพราะคิดเป็นเปอร์เซนต์เพิ่มถึง 34.2 % คิดเป็นตัวเลขขายจริงถึง 116,638 คัน และเสียงของนักการตลาดส่วนใหญ่ พากันประสานเสียงว่า ปลายปีนี้ตัวเลขน่าจะถึงสามแสนสองหมื่นคัน
เศรษฐกิจดีอะไรก็ดีไปหมด ถึงจะมีแคมเปญกันแทบจะทุกรุ่นที่อยู่ในท้องตลาด ตัวเลขที่เพิ่มก็พอรู้สึกดีได้บ้างละรวมทั้งมองไกลกันไปถึงโบนัสปลายปีนี้ทีเดียว
ของสื่อสากลเองก็มีนะครับ จะบอกให้
ขออนุญาตตีกันเอาไว้ก่อน เดี๋ยวเผื่อ ผอ. แกจะแกล้งทำเป็นลืม
รายการมองกันคนละมุม ไอเอมเอฟ ปรับตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของบ้านเรา ในปี 2545จากเดิมที่เดาไว้ว่าจะเป็น 2.7 % เพิ่มตัวเลขให้เป็น 3.2 % และปีหน้าจากเดิม 3.5 % เพิ่มให้เป็น 3.6 % เพราะปัจจัยแวดล้อมนอกประเทศปรับตัวดีขึ้น และมีการขยายตัวในส่วนของการบริโภคอย่างเห็นได้ชัด
แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่พึงคำนึงเป็นพิเศษ ทางด้านการก่อหนี้สาธารณะ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและการปล่อยสินเชื่อแก่ผู้มีรายได้ต่ำ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาในภาคการเงิน และการปรับโครงสร้างหนี้ของภาคธุรกิจที่น่าเป็นห่วงมากก็คือ ความเป็นไปได้ที่จะเกิดเอนพีแอลย้อนกลับขึ้นมาใหม่อีกรอบ
แต่ข้อแนะนำที่ ไอเอมเอฟ ยังคงบอกทุกครั้งก็คือ ยังอยากยืนยันให้ปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7 % เป็น 10 %เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่รัฐบาลช่วยให้รัฐมีฐานะการคลังที่แข็งขึ้น
แต่รายการคนไทยมองคนละมุม ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะผู้ผลิตสินค้าอุปโภครายใหญ่สุดของประเทศกลับมองว่า ผู้บริโภคยังไม่กล้าใช้จ่ายเงิน เพราะไม่เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจจะฟื้นตัวจริงยังมองอยู่ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกย่ำแย่ รวมทั้งยังขาดความเชื่อมั่นต่อนโยบายของภาครัฐเพราะฟังรัฐมนตรีตอบข้อซักฟอกคำถามแล้ว ยังงงอยู่ เลยปรับลดเป้ายอดขายที่เคยคาดไว้ว่า ปี 2545 นี้จะโต 10 % ลดลงเหลือแค่ 1-3 % เท่านั้นเอง
นั่นคือสิ่งที่ชาวบ้านมองเรา แต่เรามองกันเองหลังออกเสียงลงมติไว้วางใจเรียบร้อยแล้วก็คาดกันว่าจะมีรายการปรับอัตราภาษีในส่วนของอุตสาหกรรมรถยนต์แน่นอน ตอนนี้กำลังต่อรองกันอยู่ว่าจะออกมาตรการผ่อนผันให้สองปี พอไหม ฟากของอุตสาหกรรมรถยนต์เองก็ต่อรองว่า ขอห้าปี อะไรประมาณนั้น ต่อรองกันจบแล้วก็คงประกาศใช้เร็ววันนี้
นักการตลาดที่เข้าร่วมประชุมกลับมาบอกได้อย่างเดียวว่า รถกลุ่มที่เจ็บหนักที่สุด คือ นั่งสองตอนแวนเพราะมีแววว่าต้องปรับราคาเกือบแสน แต่ก็อย่างที่บอกละครับ คงต่อรองผ่อนผันกันได้สักสองปีก็ต้องขอเชิญชวนผู้บริโภคให้เร่งรีบตัดสินใจกันหน่อยนะครับ ถ้าคิดจะซื้อรถประเภทนั้น
แต่รถราคาเกินล้านนี่ เสียเพิ่มอีกสักแสนขนหน้าแข้งร่วงเพิ่มอีกเส้นเท่านั้นแหละ
คำขวัญของหลวงท่านว่า อยู่อย่างไทย ใช้ของไทย ช่วยไทยเจริญก็อย่าลืมช่วยกันอุดหนุนรถที่ผลิตในประเทศกันหน่อยก็แล้วกัน ส่วนท่านที่มีสตางค์ซื้อรถสั่งจากต่างประเทศก็อย่ามาบ่นเรื่องหลวงท่านเก็บภาษีแพงกับกระผมบ่อยนะครับเดี๋ยวจะทำคำขวัญแจกเป็นสติคเกอร์ให้ไปติดรถเสียหรอก
ขอบอกต่อเรื่องจาก คอลัมน์เปิดซองส่องไทย ของลุงแจ่ม ที่ฟอร์เวิร์ดกันต่อๆ มาทางจดหมายอีเลคทรอนิคสักหน่อยนะครับ เป็นเรื่องของ พรบ. รถยนต์ ที่เมื่อนำไปถ่ายเอกสารแล้วจะปรากฏคำว่า "ปลอม" ขึ้นมาเจ้าของรถที่เอาไปถ่ายเอกสารก็งง เจ้าหน้าที่บริษัทประกันภัยก็ไม่รู้ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่รู้เลยต้องโทรศัพท์ไปสอบถามที่กรมการประกันภัย กระทรวงพาณิชย์ ที่ให้คำแนะนำว่า
เป็นเทคนิคในการป้องกันการปลอมแปลง
ก็ขอบอกต่อเพิ่มเติมไปด้วยเลยว่า เมื่อกระดาษของ พรบ. รถยนต์ ถูกความร้อนของเครื่องถ่ายเอกสารจะปรากฏคำว่า "ปลอม" เพื่อเป็นการป้องกันในกรณีที่อาจนำไปถ่ายเอกสารสีให้เหมือนของจริง แล้วนำมาแอบอ้างและยังมีอีกหลายจุด เช่น ในเนื้อกระดาษ พรบ. จะมีเส้นใยสีชมพู ถ้าส่องกับไฟจะเห็นตรากระทรวงพาณิชย์อยู่ในเนื้อกระดาษ เป็นต้น
ที่จริงกรมการประกันภัยก็เคยมีการประชาสัมพันธ์กันไปแล้ว แต่ตามประสาราชการ ทำแล้วก็แล้วกันถือว่าหมดหน้าที่แล้ว ที่จริงเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าครับ
ไหนๆ ก็มาถึงเรื่องของทางราชการกันแล้ว ลองอ่านมาตรฐานต่อไปนี้นะครับ
กระทรวงอุตสาหกรรมมอบหมายให้ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมให้กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบริภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ ต้องมีมาตรฐาน มอก.เพื่อป้องกันไม่ให้ส่งสัญญาณรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้าไปรบกวนระบบไฟฟ้า หรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศ จำเป็นต้องมีมาตรฐานเพื่อความปลอดภัย
และป้องกันความเสียหายอันอาจจะเกิดขึ้นได้
อย่าเพิ่งเหลือบดูตอนท้ายนะครับ ลองพิจารณาเองว่าเจ้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบริภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศที่ท่านบัญญัติศัพท์เอาไว้เนี่ย คืออะไร
เรื่องของทางราชการต่ออีกเรื่องนะครับ เรื่องนี้มีผลกับภาคเอกชนกระทบกับหลายบริษัทอยู่
เป็นงบประมาณของกรมทางหลวง ที่มีโครงการปรับปรุงและพัฒนาทางหลวงในปี 2546 อยู่ทั้งสิ้น 8,491 ล้านบาทแยกเป็นงานบูรณะและบำรุงรักษาทางหลวงตามกำหนดเวลา 3,245 ล้านบาท รวมระยะทางประมาณ 2,000 กม.
ที่น่าสนใจคือเรื่องต่อไปนี้ งบประมาณงานบำรุงแบบกำหนดผลงาน 1,168 ล้านบาท เป็นวิธีการจ้างเหมาแบบใหม่โดยใช้สัญญาแบบควบคุมคุณภาพผลงาน ระยะทางประมาณ 300 กม. ระยะเวลาการจ้าง 4-5 ปีซึ่งเป็นโครงการนำร่องเพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ที่จะลดกำลังคนและเครื่องจักรภาครัฐและส่งเสริมให้เอกชนดำเนินการแทนมากขึ้น
ได้ข่าวเมื่อไรว่าเป็นถนนเส้นไหนแล้วจะเอามาบอกต่อครับ จะได้ดูสิว่างานหลวงกับงานราษฎรอันไหนดีกว่ากัน
ถัดไปก็เป็นงบที่ป่านนี้บริษัทสร้างทางคงรู้กันหมดแล้ว โครงการก่อสร้างทางสายหลัก 4 เส้นทาง งบประมาณ 2,510ล้านบาท/โครงการก่อสร้างสะพานลอย 550 ล้านบาท/ ค่าที่ปรึกษาสำหรับควบคุมงานก่อสร้าง 59ล้านบาท/งานปรับปรุงทางหลวง ติดตั้งราวกันอันตราย ที่พักริมทาง 726 ล้านบาท/งานเสริมสร้างสมรรถนะขององค์กร เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพทางด้านการบริหารจัดการ 233 ล้านบาท
เจ้างบประมาณตัวหลังสุดนี่แหละครับ ที่น่าจะมีมาตั้งนานแล้ว ไดโนเสาร์ จะได้หมดจากแถวสะพานเสาวณีย์เสียที
อ้อ ปีหน้านี่งบเส้นทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หรือที่เรียกกันติดปากว่ามอเตอร์เวย์ ไม่คลอดนะครับเพราะแค่ทางเส้นเดียวเป็นหมื่นล้านนี่ ฟังดูพิลึกจริงเชียว
ขอเฉลยผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบริภัณฑ์สารสนเทศ คำศัพท์ของหลวงท่านว่าอย่างนี้ แต่ชาวบ้านเขาเรียกกันง่ายๆว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
ฟังดูอันไหนเก๋กว่ากันเอ่ย
เรื่องโดย : มือบ๊วย
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2545
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51313