ชีวิตคือความรื่นรมย์
การมงคลอันสูงสุด
ทั้งๆ ที่เคยเตรียมใจไว้นานมาแล้ว
แต่พอวันนั้นขึ้นมาถึงเราก็อดหวั่นไหวไม่ได้
เมื่ออยู่ๆ วันหนึ่งลูกก็มาบอกว่า เขาจะขอแต่งงาน
มิใช่ว่าเราไม่เคยรอ
เพียงแต่เรายังเตรียมไม่พร้อม
ก่อนอื่นเราก็ถามว่า ฝ่ายคนที่จะมาเป็นคู่ของลูกเรา เขาเป็นใครพ่อแม่เขาว่าอย่างไรในเรื่องนี้
ลูกบอกว่า พ่อแม่เขาไม่มีปัญหาเพียงแต่พ่อแม่ไปรู้จักพูดคุยธรรมดา ไม่ต้องมี "เฒ่าแก่" หรือ "แม่สื่อแม่ชัก"
ไม่ต้องหาฤกษ์ยาม ไม่ต้องมีพิธีรีตอง
โชคดีที่พ่อแม่ของเขาเข้าใจโลกยุคใหม่ พ่อแม่จึงไปคุยกัน โดยพ่อแม่ฝ่ายหญิงบอกว่า ใครจะมารู้จักลูกเราเท่าเราสี่คน
ดังนั้น การที่พ่อแม่ผู้ชายไปเจรจาทาบทามกับพ่อแม่ฝ่ายหญิงจึงถือเป็นที่สุดแล้ว
ยิ่งกว่านั้น พ่อแม่ฝ่ายหญิงยังบอกว่า สินสอดทองหมั้นก็จะไม่เรียกร้องเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้ เห็นควรยกไปเท่าไร
พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็จะช่วยสมทบเป็น "ทุนชีวิต" ให้ลูกทั้งสอง หมดสมัยเรียกร้องค่าเลี้ยงดู ค่าน้ำนมกันแล้ว
ยิ่งพ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่เรียกร้องเพราะชีวิตฝ่ายเขาสมบูรณ์อยู่แล้ว
พ่อแม่ฝ่ายชายยิ่งคิดมากกว่าว่าเท่าไรจึงจะพอสมน้ำสมเนื้อสมหน้าสมตาไม่ให้อายญาติพี่น้อง
เราจึงกลับมาคุยกันระหว่างเรา พร้อมลูกคนอื่นที่เป็นสมาชิกในครอบครัว เพื่อให้รับรู้และช่วยกันคิด
เมื่อการวางแผนเรื่อง "สินสอดทองหมั้น" ผ่านไป ก็มาถึงที่อยู่อาศัย
เราเป็นฝ่ายหวงและรักลูกชาย เพราะอยู่กับพ่อแม่เคยสบายๆ ทำอะไรกันอย่างไม่มีพิธีรีตอง
แต่ฝ่ายหญิงเขาเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ แม้มีพี่ชายน้องชาย พ่อแม่ก็อดเป็นห่วง "ลูกสาวคนเดียว" ไม่ได้
เราจึงตกลงตามใจคู่บ่าวสาวและตกลงกันว่า เขาจะต้องอยู่ทั้ง 2 บ้าน ถ้าวันธรรมดาอยู่บ้านฝ่ายชาย
วันหยุดต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง ส่วนในอนาคตเมื่อทั้งคู่พร้อมมีบ้านของตัวเองก็จะให้อยู่บ้านตัวเอง
แต่ต้องสลับไปมาระหว่างบ้านพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย ซึ่งก็เป็นที่พอใจทั้ง 2 ฝ่าย
แล้วก็มาถึงฤกษ์ยามและพิธีการ
เราเป็นคนไทย มีรากเหง้าทางวัฒนธรรม มีเชื้อมีสายมิใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอก
แม้ไม่เชื่อถือฤกษ์ยาม แต่ก็ต้องไม่ละเลย ไม่ลบหลู่ เพื่อความสบายใจ เพื่อความเป็นสิริมงคล
เรื่องฤกษ์ยามจึงต้องอาศัยผู้รู้หลายๆ ฝ่ายมาปรึกษาหารือกัน เพื่อความพอใจทุกฝ่าย
และมิให้รบกวนแขกที่ยินดีจะมาร่วมงานด้วย
งานที่ว่าจะไม่ซับซ้อนยุ่งยากจึงออกมาหลายมิติ ทั้งความพอใจญาติผู้ใหญ่
ในขณะเดียวกันต้องให้ถูกใจ "คนยุคใหม่" ซึ่งไม่อยากให้ตกสมัยด้วย
ในที่สุดขั้นตอนจึงออกมาดังนี้
วันฤกษ์งามยามดีวันหนึ่งปลายปีมะเส็ง เราจึงพากันแห่ขบวนขันหมากไปตั้งหลักใกล้ ๆ บ้านฝ่ายหญิงตั้งแต่เริ่มสาง
พอจวนจะถึงฤกษ์ก็จัดขบวนนำด้วยต้นกล้วยต้นอ้อย ขบวนขันหมากครบเครื่องทั้ง "สินสอดทองหมั้น"
ขนมนมเนยที่ถือเป็นสิริมงคล มีคนต้นเสียงโห่
นำขบวนด้วยเฒ่าแก่ซึ่งเป็นคู่สามีภรรยาที่เป็นญาติผู้ใหญ่ฝ่ายชายและมีครอบครัวอันมั่นคงเป็นตัวอย่างที่ดี นำว่าที่เจ้าบ่าว
ซึ่งขนาบด้วยบิดามารดาฝ่ายชาย เดินไปขอร่วมเป็นทองแผ่นเดียวกับฝ่ายว่าที่เจ้าสาว
ซึ่งมีทั้งญาติผู้ใหญ่และบิดามารดาของฝ่ายหญิงคอยรับ
แต่กว่าจะผ่านด่านกั้นประตูเงิน-ประตูทอง-ประตูนากเข้าไปได้ ว่าที่เจ้าบ่าวก็ต้องใช้ "ซอง" ของขวัญเป็นที่สนุกสนาน
เมื่อจวนจะได้ฤกษ์ ญาติผู้ใหญ่ที่เป็นเฒ่าแก่ทั้งสองฝ่ายก็ปฏิสันถารตกลงกัน ในสิ่งที่เป็นมงคลทั้งสิ้น มีการมอบขันหมาก-
สินสอดทองหมั้นเปิดให้ญาติฝายหญิงดูตามพิธีการ
ถึงฤกษ์สำคัญที่โหรผู้น่าเชื่อถือให้ไว้แล้ว ก็ทำพิธีสวมแหวนหมั้น หลังจากนั้นจึงให้ว่าที่เจ้าบ่าว-เจ้าสาวไปทำบุญเลี้ยงพระ
โดยที่ญาติทั้งสองฝ่ายก็ได้รับการต้อนรับเลี้ยงอาหารเช้าจากเจ้าภาพฝ่ายหญิงเป็นอันดี หลังจากทำบุญเลี้ยงพระเพลแล้ว
ก็เป็นพิธีการกราบญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ซึ่งทำเอาเจ้าบ่าว-เจ้าสาวเหนื่อยพอสมควร
ด้วยว่าญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างมาพร้อมหน้า เมื่อบ่าว-สาวเปิดกรวย "ธูปเทียนแพร" และกราบพร้อมมอบของไหว้แล้ว
ญาติผู้ใหญ่ก็จะมอบ "ของรับไหว้" มีทั้ง "ซอง" และของมีค่า ซึ่งญาติทั้งสองฝ่ายจะมอบให้พร้อมทั้งอวยพรแต่สิ่งที่เป็นมงคล
ทำเอาทั้งบ่าว-สาวและญาติผู้ใหญ่ โดยเฉพาะพ่อแม่ทั้ง 2 ฝ่ายน้ำตาซึมไปด้วยความปลื้มปีติ
เมื่อเสร็จการไหว้ญาติผู้ใหญ่แล้ว จึงเป็นเวลาสบายๆ
มีการถ่ายรูปและเจ้าภาพฝ่ายหญิงจัดเลี้ยงกลางวันแขกที่มาทั้งหมดเป็นอันเสร็จพิธีวันหมั้น
ครั้นแล้วก็มาถึงวันสำคัญอีกวันหนึ่ง ซึ่งทางสำนักราชเลขาธิการในพระองค์นัดไว้
ตามที่ได้กราบทูลขอพระราชทานการสมรสไว้
เจ้าบ่าว-
เจ้าสาวพร้อมบิดามารดาและญาติผู้ใหญ่ที่เป็นสักขีพยานต้องเข้าไปในพระราชวังตามที่เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังจัดไว้
(ถ้าเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ หรือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
สยามมกุฎราชกุมาร ก็จะแล้วแต่จะโปรดเกล้าฯ ณ พระตำหนักใด)
ส่วนที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพิธี ณ
อาคารมูลนิธิชัยพัฒนา
ก่อนจะถึงพิธีอันสำคัญ เจ้าหน้าที่นำเจ้าบ่าวเจ้าสาวและพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย รวมทั้งญาติที่เป็นสักขีพยานฝ่ายละ 2 คนเข้าซักซ้อม
แม้เจ้าบ่าว-เจ้าสาวจะได้เข้าทำพิธีซ้อมมาก่อนหน้านี้หลายวันแล้ว
ถึงกระนั้น เมื่อองค์ประธานเสด็จออกเพื่อทรงกระทำพิธีจริง ๆ ทุกคนที่เข้าเฝ้าแต่ละกลุ่ม
(เพราะวันเดียวกันนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทาน "น้ำสังข์ข้างที่" ถึง 9 คู่ด้วยกัน)
ต่างก็ตื่นเต้นและซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
ควรต้องทบทวนเผื่อผู้ที่มิได้มีโอกาสเข้าเฝ้าได้ทราบว่า เมื่อเจ้าบ่าว-เจ้าสาวและคณะญาติเข้าประจำที่พร้อมแล้ว
องค์ประธานจะเสด็จออกมาประทับที่พระเก้าอี้ให้หนุ่มสาวเข้าไปกราบแทบพระบาทหลังจากนั้น จะทรงหลั่ง "น้ำสังข์ข้างที่"
ที่มือเจ้าบ่าว พระราชทานใบมะตูมให้เจ้าบ่าวรับพระราชทานทัดหูข้างขวา แล้วทรงกระทำเช่นเดียวกันแก่เจ้าสาว
หลังจากนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ช่างภาพส่วนพระองค์ฉายพระฉายาลักษณ์พร้อมคู่บ่าวสาว
เสร็จแล้วจึงให้บิดามารดาพร้อมญาติที่เป็นสักขีพยานเข้าไปเฝ้าพร้อมกับโปรดเกล้าฯ
ให้ฉายพระฉายาลักษณ์พระราชทานแก่บ่าวสาวและญาติทั้งสองฝ่าย เป็นเสร็จพิธี
หากคู่บ่าวสาวคู่ใดที่ยังไม่ได้จดทะเบียนสมรส ปรารถนาที่จะให้เจ้าหน้าที่ทะเบียนราษฎร์มาจดทะเบียน ณ
ที่นั้นก็จะทำหลังจากพระราชทานน้ำสังข์ด้วยก็ได้
หลังจากนั้นหนุ่มสาวจึงนัดฉลองสมรสพระราชทาน ณ วันเวลาและสถานที่ต่าง ๆ ตามอัธยาศัย
โดยไม่ต้องมีการสรงน้ำพระพุทธมนต์และประสาทพรอันใดอีก
แม้ประธานในพิธีเลี้ยงฉลองที่รู้ขนบประเพณีดีท่านก็จะไม่กล่าวอวยพรใดๆ
นอกจากกล่าวขอบคุณแขกและให้คำแนะนำการครองคู่แก่บ่าวสาวตามประเพณีเท่านั้น เพราะการได้รับพระราชทาน
"น้ำสังข์ข้างที่" นั้น คือ สิริมงคลอันสูงสุดอยู่แล้ว
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2545
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51296