ประกันภัย
ปัญหาประกันภัย พรบ. ต่างบริษัท
ปัญหาที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นได้เสมอกับคนที่ไม่รู้และไม่เข้าใจในเรื่องการทำประกันภัย และหลายคนก็ได้พบ
ประสบกับตัวเองมาแล้ว มันเป็นเรื่องที่น่าปวดหัว เจ็บปวดกระดองใจจริงๆ สำหรับการซื้อประกันภัยตาม
พรบ. กับประกันภัยภาคสมัครใจแยกคนละบริษัทกัน กล่าวคือซื้อประกัน พรบ. บริษัทหนึ่ง และไปซื้อ
ประกันประเภทสมัครใจ (ประเภท 1, 2 หรือ 3) อีกบริษัทหนึ่ง
การโฆษณาชวนเชื่อของบรรดาบริษัทประกันภัยหรือตัวแทนประกันภัยหัวใส เน้นการขายประกัน พรบ.
ราคาถูก หวังช่วงชิงเงินจากกระเป๋าเจ้าของรถ เนื่องจากมีกฎหมายบังคับว่าเจ้าของรถทุกคนต้องทำ
ประกันภัยตาม พรบ. มิฉะนั้นจะต้องถูกจับปรับเป็นหมื่น เราจะเห็นพฤติกรรมของคนเหล่านี้ที่บริเวณกรม
ขนส่งที่มีการต่อทะเบียนรถ ที่ทำการไปรษณีย์ ธนาคาร ห้างสรรพสินค้าที่ติดป้ายขาย พรบ. ราคาถูก
โดยไม่คำนึงถึงว่าลูกค้าหรือเจ้าของรถจะไปทำประกันภาคสมัครใจกับใคร ขอให้ซื้อประกับ พรบ. กับตน
เองไว้ก่อนเป็นดี
มีเจ้าของรถจำนวนไม่น้อยที่หลงติดกับในการซื้อประกัน พรบ. ราคาถูก บางคนถึงกับแยกประกัน พรบ.
และประกันภาคสมัครใจไว้คนละบริษัทโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพียงเห็นว่าประกัน พรบ. ที่เสนอถูกกว่า
ซึ่งก็จะประมาณ 100-200 บาท เช่น พรบ. รถเก๋งปกติกำหนดให้ขายตามพิกัดใหม่ไม่เกิน 1,000 บาท
ก็มีบางบริษัทเสนอขายอยู่ที่ 800 บาท หรือ 850 บาท โดยหารู้ไม่ว่าจะเกิดปัญหาและความยุ่งยากตาม
มา
จริงอยู่การประกันภัยตาม พรบ. ทุกบริษัทจะต้องให้ความคุ้มครองเท่ากันหมด เพราะเป็นกฎหมายบังคับ
ว่าเมื่อเสียชีวิตจะต้องจ่ายคนละ 8 หมื่นบาท ถ้าบาดเจ็บต้องจ่ายค่ารักษาไม่เกิน 5 หมื่นบาท และต้อง
จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น 15,000 บาท ความคุ้มครองส่วนอื่นๆ ก็เหมือนกัน
สิ่งที่เป็นความแตกต่างของการทำประกันที่เห็นได้ชัด คือ การบริการที่ต่างกัน บางบริษัทมีสาขามาก บาง
บริษัทมีสาขาน้อย บางบริษัทจ่ายช้า บางบริษัทจ่ายเร็ว บางบริษัทไม่มีปัญญาจ่าย (เบี้ยว) ซึ่งถ้าเป็นการ
ทำประกันภัยตาม พรบ. อย่างเดียว ไม่ได้ทำประเภทสมัครใจไว้ด้วย แนะนำให้ทำกับบริษัทที่มีสาขามาก
หรือมีสาขาอยู่ใกล้บ้าน เพื่อความสะดวกในการติดต่อ
เพราะการทำประกันภัยตาม พรบ. อย่างเดียว การบริการทั้งหมดเป็นของเจ้าของรถผู้เอาประกันหรือผู้
เสียหาย ที่จะต้องดำเนินการเองทั้งหมด ต้องไปรักษาเอง สำรองจ่ายเอง ไปตั้งเบิกเอง ในการไปขอ
รับเงินค่าสินไหมที่บริษัทประกันภัยก็ต้องนำหลักฐานเอกสารไปเองให้ครบ ตั้งแต่ใบแจ้งความของตำรวจ
ใบมรณบัตร บัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน ใบเสร็จรับเงิน ใบรับรองแพทย์ ป้ายสี่เหลี่ยมแสดงว่ามี
ประกัน พรบ. และเอกสารเกี่ยวข้องอื่น เพื่อทำเคลมค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัย ถ้าเอกสารดัง
กล่าวนำไปไม่ครบ บริษัทก็จะปฏิเสธการจ่าย โดยให้นำเอกสารมาให้ครบก่อนจึงจะทำการจ่ายให้ได้
และที่สำคัญจะจ่ายให้ได้เฉพาะส่วนที่มีใบเสร็จถูกต้องเท่านั้น
การประกันภัยภาคสมัครใจ กับการประกันภัยภาคบังคับอย่างประกัน พรบ. บริษัทประกันภัยบริการต่างกัน
มาก อย่างที่กล่าวแล้วว่าการประกันตาม พรบ. เจ้าของรถ ผู้เสียหายต้องบริการตัวเอง แต่ประกันภาค
สมัครใจ บริษัทจะเป็นฝ่ายบริการลูกค้า เมื่อมีการเกิดอุบัติเหตุ และผู้ขับขี่เจ้าของรถแจ้งให้บริษัททราบ
บริษัทจะต้องออกไปตรวจที่เกิดเหตุ จะต้องเจรจาค่าเสียหาย จัดหาอู่ซ่อมให้ ถ้าต้องมีการรักษาพยาบาล
ก็จะนำส่งโรงพยาบาล บางบริษัทอาจสำรองจ่ายให้ รวมถึงภาค พรบ. ที่ทำกับบริษัทด้วยจะได้รับการ
บริการไปในครั้งเดียวกัน ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าเสียหายเบื้องต้น ค่าเสียหายแก่อนามัย ค่าชดเชยอัน
เนื่องจากการเสียหาย หรือค่าทำขวัญ ไม่ว่าจะมีใบเสร็จหรือไม่ก็ตาม
เรื่องของค่าชดเชยอันเนื่องมาจากความเสียหายนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เช่น รถที่เฉี่ยวชนกันแล้วมีคนเจ็บ
เรื่องค่าซ่อมรถบริษัทก็จะจัดจ่ายจัดซื้อให้ แต่คนเจ็บจะต้องมีการรักษา ในเบื้องต้นค่ารักษาตาม พรบ.
จะอยู่ในวงเงิน 5 หมื่นบาท ถ้าทำประกันภัย พรบ. อย่างเดียวจะต้องมีการสำรองจ่ายและนำใบเสร็จ
ไปเบิกเงินคืนที่บริษัทประกันภัย แต่ส่วนที่ไม่มีใบเสร็จ เช่น ค่ารถรับส่งระหว่างพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ต้อง
ไปทำแผล ล้างแผลที่โรงพยาบาล ค่าจ้างพยาบาลมาดูแลที่บ้านระหว่างรักษา ค่าขาดรายได้ระหว่างการ
ไม่สามารถทำงานได้ ซึ่งภาษาในวงการจะเรียกรวมว่าค่าทำขวัญ หรือค่าชดเชย ซึ่งไม่มีใบเสร็จรับเงิน
เงินที่จ่ายไปในส่วนนี้ หรือค่าเสียหายที่เรียกร้องในส่วนนี้ ถ้าเป็นการประกันภัยตาม พรบ. อย่างเดียว
จะเบิกจากบริษัทได้ยากมาก ทุกบริษัทจะบอกว่าบริษัทจ่ายเฉพาะส่วนที่มีใบเสร็จรับเงินเท่านั้น
แต่ถ้าบริษัทนั้นรับประกันภัยภาคสมัครใจและภาคประกัน พรบ. ไปพร้อมกัน ค่าใช้จ่ายดังกล่าวสามารถ
เบิกจากบริษัทได้ นี่เป็นข้อได้เปรียบที่เห็นได้ชัดจากการทำประกันภัยตาม พรบ. กับประกันภัยภาคสมัคร
ใจไว้กับบริษัทเดียวกัน
โดยปกติค่าชดเชยจากค่ารักษาพยาบาล ที่นอกจากใบเสร็จนี้จะมีจำนวนมากพอสมควร บางครั้งมากกว่า
ค่ารักษาที่มีใบเสร็จอีก ทำไมถึงจ่ายในส่วนนี้ เพราะความเป็นจริงการรักษาพยาบาลมิใช่มีเฉพาะในโรง
พยาบาลเท่านั้น และค่าเสียหายของการเจ็บป่วยนั้นส่งผลถึงค่าใช้จ่ายอันที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น เกิด
อุบัติเหตุถูกรถชน แขนขวาเดาะ ค่าเข้าเฝือกรักษา ค่ายา อาจจะประมาณ 1 หมื่นบาท แต่ต้องรักษาที่
บ้าน 4-5 วัน และต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลทุก 7 วัน ไม่สามารถ.?..ได้ระหว่างเจ็บป่วย ซึ่งเป็นค่า
ใช้จ่ายทั้งนั้น และก็ไม่มีใบเสร็จรับเงินส่วนที่เสียหายนี้ อาจคำนวณเป็นเงิน 3000, 5000 หรือ.?...
การจ่ายค่าชดเชยตามความเสียหายเกี่ยวเนื่องหรือค่าทำขวัญ จะช่วยทำให้คดีแพ่งปิดลงได้คือคู่กรณีพอใจ
ไม่ติดใจฟ้องร้อง และทำให้ตำรวจยอมความในคดีอาญา หรือปิดคดีได้ง่ายขึ้น ซึ่งโดยปกติตำรวจจะให้คู่
กรณีตกลงกันเองก่อน ถ้าตกลงกันได้ก็จะทำบันทึกข้อตกลงเพื่อปิดคดี ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็จะดำเนินการต่อ
ไป
จากกรณีตัวอย่างเห็นได้ชัดว่า เงินค่าชดเชยส่วนเกินจากใบเสร็จรับเงินมากกว่าค่าส่วนลดประกัน พรบ.
ที่ซื้อถูก ต่างกันมหาศาลและผลการบริการการจ่ายค่าสินไหมต่างกันมาก ปัญหาต่างๆ บริษัทประกันภัยช่วย
จัดการให้จนสำเร็จเสร็จสิ้นดีกว่าที่เราต้องไปบริการตัวเองจากการแยกไปซื้อประกันภัย พรบ. ในราคา
ถูก ซึ่งเข้าทำนองเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย ผลค่าใช้จ่ายตามมาบานเบอะ
นอกจากนี้ การประกันภัยตา พรบ. ที่แยกจากภาคสมัครใจไปทำกันคนละครั้งคนละบริษัท จะยังมีปัญหา
ตามมาถึงวันคุ้มครองไม่ตรงกัน หมดประกันไม่พร้อมกัน สร้างความปวดหัวให้กับเจ้าของรถ หากไปเกิด
อุบัติเหตุในระหว่างช่องว่างของกรมธรรม์ 2 ฉบับ จะยิ่งเดือดร้อนเป็นทวีคูณ อาจต้องรับผิดชอบความ
เสียหายเองทั้งหมด และยังถูกปรังฐานไม่ได้ทำ พรบ. อีกก็ได้
เช่น ประกันภาคสมัครใจ 1 ธค. 43-1 ธค. 44 แต่ทำประกัน พรบ. เมื่อวันที่ 1 พย. 43-1 พย.
44 หากถึงกำหนด 1 พย. 44 เกิดลืมต่อประกัน พรบ. หรือคิดว่าจะไปต่อพร้อมกับประภัยประเภท 1
ในวันที่ 1 ธค. 44 ปรากฏว่าวันที่ 25 พย. 44 เกิดอุบัติเหตุชนคนบาดเจ็บ ซึ่งอยู่ในระหว่างช่วงที่ไม่มี
ประกันภัยตาม พรบ. พอดีเพราะขาดอายุไปแล้ว นอกจากจะถูกตำรวจปรับฐานไม่มีตาม พรบ. แล้ว
อาจจะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองอีกทั้งหมด มันน่าเจ็บใจไหมล่ะ
ข้อแนะนำที่ดีที่สุด คือ ทำประกัน พรบ. กับประกันภัยประเภทสมัครใจไว้ในบริษัทเดียวกัน วันเดียวกัน
โดยเลือกทำกับบริษัทที่มีความมั่นคง ให้บริการที่ดี จะได้ไม่มีปัญหาในอนาคต ถ้าทำประกัน พรบ. อยู่แล้ว
ก็อย่างเสียดาย สามารถนำไปยกเลิกกับบริษัทได้และขอรับเงินค่าเบี้ยประกัน จะได้จำนวนตามที่ระบุไว้
ในกรมธรรม์ หากไม่ได้ทำการยกเลิกกรมธรรม์ พรบ. นั้นก็จะยังคงให้ความคุ้มครองอยู่ เมื่อเกิดความ
เสียหายถึงแก่ชีวิตของผู้เสียหาย ก็จะได้รับความคุ้มครองทั้ง 2 กรมธรรม์
"ซื้อประกันภัยอย่างฉลาด อย่าตกเป็นทาสบริษัทเจ้าเล่ห์"
เรื่องโดย : กฤชกมล นิติธรรมโกศล
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2545
คอลัมน์ Online : ประกันภัย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51263