บทความ
สะพานเหล็กเมื่อแรกมี
เดิมเมืองไทยมีแต่สะพานไม้หรือสะพานปูนหรือปูนปนไม้ แต่ก็เป็นเพียงสะพานเล็กๆ ไม่ใหญ่โตเท่าใดนัก
คือพอให้คนเดิน ม้าเดิม และช้างเดิน หรือให้เกวียนเดินข้ามได้เท่านั้น
สำหรับสะพานคนเดิน ส่วนมากเป็นสะพานไม้เล็กๆ แคบๆ พอคนเดินสวนกันได้
แต่สะพานที่ช้าง ม้า หรือเกวียนเดิมข้ามได้โดยมากเป็นสะพานปูนเรียกว่าสะพานช้าง
สำหรับกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นๆ ก็มีสะพานเป็นลักษณะเช่นเดียวกัน อย่างเช่นที่สะพานช้างโรงสีข้าม
คลองหลอด หลังกระทรวงกลาโหมเป็นต้น เดิมก็เป็นสะพานช้าง
การที่เรียกว่าสะพานช้างโรงสีก็เพราะบริเวณที่เป็นกระทรวงกลาโหมนั้น เมื่อในรัชกาลที่ 3 ได้มีฉาง
ข้าวหลวงตั้งอยู่หลายฉาง และมีโรงสีข้างตั้งอยู่ใกล้ๆ ฉางด้วย
ครั้นรัชกาลที่ 4 เมื่อโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างถนนเจริญกรุงและถนนอื่นๆ นอกกำแพงพระนคร จึงได้มีการ
สร้างสะพานด้วยเหล็กขึ้นเป็นครั้งแรก 2 สะพานคือ สะพานเหล็กข้ามคลองรอบกรุง (คลองโอ่งอ่าง)
เชื่อมต่อระหว่างถนนเจริญกรุงในกำแพงพระนครกับถนนเจริญกรุงนอกกำแพงพระนครสะพานหนึ่ง กับ
สร้างสะพานเหล็กข้ามคลองรอบกรุงตรงสะพานหันอีกสะพานหนึ่ง
เนื่องจากสะพานเชื่อมต่อถนนเจริญกรุงตอนในกำแพงพระนครกับถนนเจริญกรุงตอนนอกกำแพงพระนคร
สร้างด้วยเหล็ก ชาวบ้านจึงเรียกว่าสะพานเหล็ก หรือตะพานเหล็กตามลักษณะของสะพาน ต่อมาสะพานนี้
เมื่อในรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้า ฯ พระราชทานนามว่า "สะพานดำรงสถิต" เพราะวังสมเด็จกรมพระยา
ดำรงราชานุภาพ ซึ่งอยู่นอกกำแพงพระนครตั้งอยู่ใกล้กับสะพานนี้
ส่วนสะพานเหล็กที่สะพานหัน ถึงแม้ว่าจะหันไม่ได้เหมือนเดิมแล้ว แต่ชาวบ้านก็ยังเรียกว่าสะพานหันอยู่
เหมือนเดิม
จากหนังสือพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 4 ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ กล่าวถึงรายละเอียดการสร้างสะพาน
เหล็กทั้ง 2 ว่า
"...การถนนแล้วยังไม่มีสะพานได้บอกบุญขุนนางและเจสัวตามแต่ผู้ใดจะศรัทธาทำสะพานข้ามคลองที่ตรง
ถนนใหม่ข้าม ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ที่สมุหพระกลาโหม รับทำสะพานเหล็กข้ามคลองรอบกรุงริมวัง
เจ้าเขมรข้าม ติดตั้งเหล็กสะพาน ค่าจ้างไม้ ค่าอิฐ รวมเป็นเงิน 160 ชั่ง ที่สะพานหันข้ามคลองรอบ
กรุงลงไปวัดจักรวรรดิ ทำสะพานเหล็กอีกสะพานหนึ่งเป็นของหลวง ราคาเครื่องเหล็กที่สั่งเข้ามาก็
เหมือนกัน..."
สำหรับสะพานเหล็กอีกสะพานหนึ่งซึ่งสร้างหลัง 2 สะพานดังกล่าว คือ สะพานเหล็กข้ามคลองผดุงกรุง
เกษมริมป้อมปิดปัจจานึกตรงข้ามวัดตะเคียน คือสะพานพิทยเสถียร แต่ชาวบ้านเรียกว่าสะพานเหล็กล่าง
ส่วนสะพานเหล็กที่ข้ามคลองคูพระนครเรียกว่าสะพานเหล็กบน
สำหรับสาเหตุที่จะสร้างสะพานเหล็กล่าง ซึ่งเดิมเป็นสะพานไม้ก็เนื่องจากเมื่อต้นรัชกาลที่ 5 พวกฝรั่ง
กงสุลได้พากันมีหนังสือร้องเรียนต่อทางการว่าสะพานข้ามคลองผดุงกรุงเกษมนี้ชำรุดทรุดโทรม เป็นที่น่า
กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อการสัญจรไปมาทั้งรถม้าและรถลาก ด้วยเหตุนี้ทางการจึงได้รื้อสะพานไม้แล้ว
สร้างเป็นสะพานเหล็กขึ้นแทน
สะพานเหล็กทั้ง 3 สะพานนี้เมื่อแรกสร้างได้ความว่า เสาและคานเป็นเครื่องไม้ เป็นเหล็กแต่โครง
ส่วนที่พื้นสะพานมีล้ออยู่ข้างล่างและที่คานไม้มีรางเหล็ก เมื่อขึ้นจักรสะพานก็จะแยกออกจากกันได้ เมื่อ
ต้องการให้เรือในพระราชพิธีผ่าน
การที่ทำสะพานเหล็กทั้ง 3 สะพานให้แยกออกจากกันได้นี้ ก็เนื่องจากสมัยนั้นยังมีพระราชพิธีที่จะต้องแห่
แหนทางน้ำอยู่ เช่น พระราชพิธีเสด็จเลียบพระนครทางชลมารค และเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค
ไปทรงทอดกฐินตามวัดต่างๆ ซึ่งจะต้องเสด็จ ฯ ไปตามคลองเหล่านี้
ครั้งถึงรัชกาลที่ 5 สะพานเหล็กทั้ง 3 จึงได้สร้างใหม่แทนสะพานเหล็กของเดิมอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับสะพานเหล็กบนและสะพานหันสร้างอยู่ตรงประตูกำแพงพระนคร ซึ่งเมื่อในรัชกาลที่ 4 เดิมประตู
กำแพงพระนครเป็นประตูแบบหอรบได้โปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงเป็นแม่กองแก้เป็น
ประตูยอด ราษฎรจึงพากันเรียกว่าประตูใหม่
ครั้นเมื่อใช้รถกันมากประตูตรงถนนเจริญกรุงแคบ รถจึงโดนกันบ่อยๆ จึงโปรดเกล้า ฯ ให้กรมหมื่น
ภูธเรศร์ธำรงศักดิ์ ซึ่งเวลานั้นทรงบัญชาการกรมเมืองเป็นแม่กองสร้างประตูใหม่เป็นประตู 3 ยอดแต่คง
ทำยอดเหมือนเดิม ราษฎรจึงเรียกประตูนี้ว่าประตูสามยอด แต่ประตูนี้ได้ทำการรื้อเมื่อขยายถนนเจริญ
กรุงใหม่เพื่อสร้างตึกแถวเมื่อในรัชกาลที่ 5 นั่นเอง
สะพานเหล็กทั้ง 3 แห่งดังกล่าวนี้ เมื่อแรกสร้างใหม่ๆ ราษฎรคงเห็นจะตื่นเต้นกันมากเพราะเป็นสะพาน
เหล็กแรกๆ ที่มีในเมืองไทย ซึ่งไม่เคยเห็นเคยเดินมาก่อน
ส่วนราษฎรต่างจังหวัดเมื่อรู้ว่ามีสะพานเหล็กเกิดขึ้นในกรุงเทพ ฯ เมื่อมีโอกาสเข้ามาในพระนครก็ต้อง
ถือโอกาสมาเดินข้ามสะพานด้วยกันแทบทุกคน เพื่อจะได้กลับไปพูดคุยให้ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงฟัง จึงทำให้
สะพานเหล็กบนมีราษฎรไปมาพลุกพล่านมากกว่าที่อื่น
นอกจากราษฎรจะเดินดูสะพานแล้ว ที่สะพานเหล็กบนยังมีอะไรต่ออะไรให้ดู ให้เล่น ให้ซื้อมากมาย เช่น
ในกำแพงพระนครมีโรงหวยหรือโรงซ่องหญิงหากิน ส่วนนอกกำแพงพระนครก็มีโรงบ่อนและมีร้านขาย
ของต่างๆ สารพัดทั้งในและนอกกำแพงพระนคร
อนึ่ง ที่โรงบ่อนต่างก็มีการแสดงต่างๆ เป็นการล่อใจราษฎรให้พากันมาเล่น เช่นมีลิเกมีงิ้วให้ดูฟรี และ
เมื่อมีการแสดงต่างๆ ดังกล่าว ก็มีพวกแม่ค้าพ่อค้า หาบเร่แผงลอยพากันมาขายของกินของใช้ทั้งกลางวัน
กลางคืน จึงทำให้ที่สะพานเหล็กบนครึกครื้นมาก
นอกจากนั้นโรงรับจำนำต่างก็พากันมาตั้งโรงทำการรับจำนำด้วย เพราะคนที่เล่นเบี้ยเสียถั่ว เมื่อหมด
เงินต่างก็ถอดข้าวของเครื่องประดับแก้วแหวนเงินทองเอาออกมาจำนำเพื่อเอาเงินไปเล่นต่อ พวกโรง
รับจำนำจึงมีลูกค้ามากเป็นพิเศษยิ่งกว่าที่อื่นๆ
ส่วนสะพานเหล็กที่สะพานหัน ต่อมาได้รื้อสร้างใหม่เป็นสะพานโค้ง มีร้านค้าอยู่บนสะพานแบบสะพาน
รีอัลโต ในประเทศ อิตาลี
สะพานนี้จึงเป็นสะพานสำหรับเดินโดยเฉพาะ บนสะพานมีร้านเล็กๆ ขายผลไม้เมืองไทยเมืองจีน ขาย
พวกธูปเทียนและพระแก้บน ขายพวกดอกไม้ ขายพวกผ้าผ่อนแพรพรรณ และขายพวกเครื่องใช้สอยต่างๆ
ซึ่งมีทั้งร้านของคนจีนและร้านของคนแขก
สะพานหันแบบมีร้านดังกล่าวนี้ต่อมาก็ได้รื้อสร้างเป็นสะพานแบบธรรมดาๆ อีกแต่ก็เป็นสะพานปูน สำหรับ
สะพานหันในปัจจุบันก็เป็นสะพานปูน แต่เป็นสะพานที่ไม่ได้ยกระดับให้สูงเหมือนก่อนๆ เพราะเวลานี้ไม่มี
เรือใช้คลองโอ่งอ่างแล้ว เนื่องจากเป็นคลองที่ปิดการสัญจรทางน้ำมานานแล้ว
ส่วนสะพานเหล็กล่างหรือสะพานพิทยเสถียร ต่อมาก็ได้รื้อสะพานที่เป็นเหล็กลง แล้วสร้างใหม่เป็นสะพาน
ปูนดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ สำหรับสะพานในปัจจุบันนี้ก็ได้ทำการปรับปรุงซ่อมแซมเรื่อยมา
ในอดีตที่บริเวณสะพานเหล็กล่างนี้ก็มีบ่อนเหมือนกัน คือบ่อนตลาดน้อยแต่ก็ไม่สนุกครึกครื้นเหมือนบริเวณ
สะพานเหล็กบน เพราะเป็นสะพานที่อยู่ห่างจากกำแพงพระนครมาก แต่ก็เป็นย่านที่อยู่ในปลายสำเพ็ง จึง
มีคนจีนตั้งบ้านเรือนและตั้งร้านค้าขายอยู่พอสมควร
อย่างไรก็ตามจากตลาดน้อยไปก็เป็นย่านที่ตั้งสถานกงสุลของฝรั่งและห้างร้านค้าขายของฝรั่งมาตั้งแต่
แรกๆ แล้ว สะพานเหล็กล่างจึงเป็นทางผ่านตลอดมา
สำหรับห้างร้านและโรงแรม 2 ฟากถนนเจริญกรุงตั้งแต่สี่พระยา สีลม ยานนาวา ตลอดลงไปจนถึงบาง
คอแหลมเมื่อในปลายรัชกาลที่ 5, รัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7 ปรากฏว่ามีมากมายกว่าแต่ก่อนหลายเท่า
ถึงกระนั้นตั้งแต่ยานนาวาลงไปจนถึงบางคอแหลมก็ยังเป็นสวนอยู่
นอกจากนั้นสมัยนั้นตามริมแม่น้ำเจ้าพระยาในย่านดังกล่าวก็ได้เป็นท่าจอดเรือเดินทะเลของต่างประเทศ
อีกด้วย ย่านนี้จึงเต็มไปด้วยคนต่างประเทศ โดยเฉพาะพวกฝรั่งที่เดินทางเข้าออกเมืองไทย
แหละนี่ก็คือสะพานเหล็กเมื่อแรกมี...
เรื่องโดย : เทพชู ทับทอง
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2545
คอลัมน์ Online : บทความ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51254