ร่มไม้ชายศาล
เบี้ยวค่าจอดรถ
ขอหยิบยกรายงานของ "ผู้สื่อข่าวส่วนตัว" คือน้องพิมซึ่งอยู่ที่ประเทศเล็กๆ อย่าง ไอศแลนด์ มาบอก
เล่าซะหน่อย เพื่อเป็นน้ำจิ้ม
เธอเล่าว่า ที่โน่นน้ำมันลิตรละ 50 บาท (เมืองไทยขนาดนั้นชักแน่ๆ) ในเมืองจำกัดความเร็ว 50
กม./ชม. พอเข้าเขตเมือง นอกจากจะมีป้ายเตือนแล้ว ท่านยังทำลูกคลื่นไว้หลายคลื่น ตึ้ก ตึ้ก ตึ้ก หัว
สั่นหัวคลอนเลย พร้อมกับพ่นตัวเลข 50 ขนาดเป็นเมตรที่พื้นถนนไว้เตือนสติ ทางหลวงนอกเมือง วิ่งได้
70 ออกไปนอกอีกหน่อย 90 (อย่าไปเชื่อ ของจริงวิ่งกัน 120 ขึ้นไป ยกเว้นรถบรรทุกหนักเร่งไม่ขึ้น
ของไทยรถบรรทุก "ซิ่ง" ได้สบาย) คนรถมักอะลุ้มอล่วยกัน เราไปเร็วจะแซง รถหน้าจะดูทางให้
แล้วกะพริบไฟท้ายซ้าย ให้คันหลังรู้ว่าทางสะดวก เร่งเลยพี่ อันนี้เป็นมารยาทงดงามมาก ทุกคนทำค่ะ
(พี่ไทยจะแซง มันทะลึ่งกันไว้)
อีกอย่างที่น่ารักคือ รถสวนกันแล้วคนขับจะโบกมือให้กันเป็นเชิงทักทาย(ตามหลวงใหญ่วิ่งระหว่างเมือง)
เฮ้...เพื่อน ไอวิ่งมาคนเดียวเกือบ 100 กม. เจอยูคนแรก วิ่งรถในเมืองก็ยกมือทักทายคนรู้จัก สวน
กันแค่ 2 คัน ก็จอดมันกลางถนนคุยกันออกบ่อย คันหลังมาก็จี้ท้ายรอ ไม่ว่ากัน ถ้ารีบก็เลี่ยงออกไปได้ คน
ที่นี่เย็นปานนั้น รถส่วนใหญ่จะมีอุปกรณ์ FIRST AID ติดไว้เสมอ เจอใครประสบอุบัติเหตุ หรือจอดรถ
เปิดไฟกะพริบไว้ในที่ชวนฉงน เป็นต้องหยุดถามไถ่ ช่วยเหลือ คันหลังๆ ที่ตามมาก็จะจอดช่วยเข้าไปอีก
จนกว่าจะแน่ใจว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือแล้ว เหตุการณ์อย่างนี้เจอมากับตัวเองหลายครั้ง คือไปช่วย
เขานะคะ
เฮ้อ มารยาทอันงดงามของบ้านเมืองเรามันเลือนหายไปหมดแล้ว เพราะความเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน
เป็นพระเจ้า ช่วยแล้วดันลอคคอเป็นผู้ต้องหาเป็นจำเลย นายเป็นคนก่อเหตุ เรียกให้ชดใช้เงินอย่าง
โคตรหน้าด้าน ก็เมืองไทยนี่แหละ ถ้าท่านปุระชัยจัดระเบียบสังคมในส่วนนี้ให้กลับคืนมาได้ ผมปูผ้ากราบ
งามๆ ทันทีก็แล้วกัน
วกกลับมาว่ากันด้วยเรื่องคดีความซะที งวดนี้น่าสนมาก ขอบอก
เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อ "นส. จิตใจ" พนักงานเก็บเงินของโรงแรมแห่งหนึ่ง โดนไล่ออกอย่างปุ๊บปั๊บ
เจ้าตัวงี้มึนตึ้บ จิตใจย่ำแย่ เพราะทำงานมาแต่ปี 2536 จนถึงตอนเกิดเหตุปี 2541 ถือว่าเป็นคนเก่า
นายจ้างไม่น่าเล่นแรง
สาเหตุคือนายจ้างยัวะ หาว่า นส. จิตใจ ซิกแซก เอารถยนต์เข้าไปจอดในที่เก็บสตางค์ แล้วโมเมทำ
บัตรจอดของลูกค้าประทับตราโรงแรม เพื่อชักดาบไม่เสียเงิน โห อะไรจะเค็มยิ่งกว่าทะเลขนาดนั้น
นส. จิตใจ ตกงานชนิดที่ไม่ได้แจ้งความจำนงจึงโกรธ วิ่งโร่ไปพึ่งศาลแรงงานทันที ฟ้องนายจ้างอ้างว่า
เลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม บังคับให้จ่ายค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย รวมแล้วเป็นเงิน
7 หมื่นกว่าบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ไม่เอามาก สปอร์ทซะด้วย ไม่เรียกค่าเสียหายฐานทำ
ให้ตกงานแบบไม่ทันตั้งตัว
นายจ้างสู้คดี ให้การว่า นส. จิตใจ ทุจริต รู้ว่าการเอารถไปจอดในอาคารจอดรถต้องจ่ายเงิน แต่
พลิกแพลงนำบัตรจอดรถที่ประทับตราโรงแรมเพื่อแสดงว่าเป็นลูกค้าเข้ามาจัดงานเลี้ยง เพื่อเบี้ยวไม่จ่าย
สตางค์ เข้าข่ายฉ้อโกง โรงแรมเสียหายหลายแสน จึงไล่ออกได้สบาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ตัดสินให้บริษัทผู้เป็นนายจ้างจ่ายเงินให้ นส. จิตใจ 46,380 บาท เป็นค่า
ชดเชย พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่โดนไล่ออก แต่ไม่ได้ค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วง
หน้า เพราะ นส. จิตใจ ทำผิดเหมือนกัน อยู่ในข่ายเลิกจ้างโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
นส. จิตใจ ค่อยมีจิตใจดีขึ้นหน่อย ได้เงินเป็นทุนในการหางานใหม่ แต่ไม่ทันทีเพราะนายจ้างยื้อต่อด้วย
การยื่นอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน ยืนยันว่า นส. จิตใจ ทุจริต มีความผิดทางอาญาฐานฉ้อ
โกง จึงไล่ออกได้ไม่ต้องจ่ายอะไรทั้งนั้น
ศาลฎีกาเพ่งดูคดีนี้ผ่านแว่นสายตาที่หนาเตอะ แล้วชี้ขาดออกมาว่า
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 เขียนไว้ว่า "ผู้ใดโดยทุจริตหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอัน
เป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้น ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจาก
ผู้ถูกหลอก ลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสาร
สิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง..."
งานนี้ได้ความว่า นส. จิตใจ ขับรถลงจากอาคารจอดรถของโรงแรม แล้วแสดงบัตรจอดรถมีตราประทับ
ว่า บริการแผนกจัดเลี้ยง ต่อพนักงาน รปภ. ซึ่งทำหน้าที่เก็บค่าจอด โรงแรมจึงเสียหายไม่ได้ค่าจอดรถ
ศาลฎีกามองว่า การทำผิดข้อหาฉ้อโกงที่นำมาปรับกับคดีนี้ ต้องได้ความว่า นส. จิตใจ ได้ไปซึ่งทรัพย์สิน
จากโรงแรม เท่าที่ปรากฏ
นส. จิตใจ ไม่ได้ทรัพย์สินอะไรไปนี่นา ได้รับผลเพียงบริการจอดรถจากโรงแรมเท่านั้น และนส. จิตใจ
มิได้จงใจทำให้โรงแรมได้รับความเสียหาย
ศาลฎีกาจึงเห็นด้วยในผลที่ศาลชั้นต้นตัดสิน
ศาลฎีกาพิพากษายืน
แน่นอน ทางโรงแรมซึ่งไม่เขี้ยวสักเท่าไหร่ คงสั่นหัวดิก ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาล เถียงอยู่ในใจ
ว่า นี่คือการฉ้อโกง ทำให้โรงแรมเสียหายคิดเป็นตัวเงินคือค่าจอดรถอย่างชัดๆ
แต่ศาลท่านมองว่า นส. จิตใจ แค่ได้ใช้บริการจอดรถโดยไม่เสียเงินเท่านั้นเอง ไม่เข้าข่ายฉ้อโกงทาง
อาญาไม่ทุจริตถึงขนาดไล่ออกโดยไม่ต้องจ่ายอะไรเลย
ซึ่งผมเห็นว่าตัดสินถูกต้องแล้วล่ะ ไม่งั้นเราเอารถไปจอดตามที่ต่างๆ แล้วไม่จ่ายเงินโดนคดีอาญา โดน
ตำรวจจับ จักแหล่นจะเข้าตะรางมันก็แย่
บ้านเมืองคงไม่น่าอยู่ เพราะมันมีอะไรที่ไม่น่าอยู่เยอะแยะอยู่แล้ว จริงไหมน้องพิม
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7264/2543
เรื่องโดย : จอมยุทธ
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2545
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51251