รู้ลึกเรื่องรถ
รถใหม่ ไม่ประทับใจ (ตอนจบ)
ในฉบับที่แล้วเป็นการบรรยายปัญหาคุณภาพของรถเยอรมันระดับ พรีเมียม และความรู้สึกคับแค้นใจของ
บรรดาผู้ใช้รถ ซึ่งก็เป็นชาวเยอรมันสัญชาติเดียวกันกับรถนั่นเองครับ เพราะเป็นสถิติที่รวบรวมโดยนิตยสาร
รถยนต์ชั้นนำรายหนึ่งของประเทศนี้ ผู้อ่านบางท่านอาจจะสงสัยว่ารถระดับ พรีเมียม นี่มันเป็นอย่างไร เอา
อะไรตัดสินว่าใช่หรือไม่ ยังไม่มีมาตรฐานจัดระดับรถดังกล่าวอย่างเป็นทางการนะครับ โดยทั่วไปก็เป็นที่รู้
กันของบรรดาลูกค้า แต่ก็ยังมีการเข้าใจผิดกันมากพอสมควรครับ ว่ารถอะไรจัดอยู่ในระดับพรีเมียมบ้าง ผม
ว่ากลุ่มผู้ที่รู้จริงก็คือบรรดาวิศวกรและฝ่ายการตลาดของโรงงานผลิตรถนั่นเองแหละครับ วิศวกรก็ต้อง
พัฒนารถให้ล้ำหน้าคู่แข่ง ฝ่ายการตลาดก็ต้องกำหนดราคาและ วางตำแหน่ง หรือโพสิชันนิงสินค้าให้ถูก
ต้อง แล้วตกลงว่ารถระดับพรีเมียมมันเป็นอย่างไรแน่? ในเมื่อยังไม่มีมาตรฐานตายตัวที่จะต้อง สอบผ่าน
ผมขอให้คำจำกัดความอย่างไม่เป็นทางการให้เข้าใจง่ายๆ ว่ารถระดับพรีเมียมคือ รถที่ถูกจัดหรือถือกันว่ามี
คุณภาพสูง และขายในราคาสูงกว่าระดับธรรมดา โดยทั่วไปจะไม่นับเป็นรุ่น แต่จะเป็นตราหรือ ยี่ห้อ ไป
เลย ตามปรัชญาและนโยบายของผู้ผลิต คือถ้าเป็นระดับพรีเมียม ถึงจะทำรถเล็ก ก็จะยังคงเป็นรถเล็กระดับพ
รีเมียมอยู่ดี เช่น เอาดี เอ 2 เบนซ์ เอ-คลาส ฯลฯ ลองมาดูตัวอย่างทั่วๆ ไปสำหรับรถที่มีขายในเมืองไทย ให้
เข้าใจกันอย่างแจ่มแจ้งดีกว่าครับ นิสสันเซฟิโรคือระดับธรรมดา ส่วนบีเอมฯ 318 ไอ คือระดับพรีเมียม หรือ
จะลองเทียบจากโรงงานเดียวกันเลยก็ได้ครับ โตโยตา แคมรี 3,000 ซีซี คือระดับธรรมดา แต่เลกซัส อีเอส
300 คือระดับพรีเมียม ถ้าเปรียบเทียบราคา จะเห็นว่าต่างกันมหาศาล เพราะฉะนั้นใครๆ ก็อยากจะทำรถ
ระดับพรีเมียมขายครับ เนื่องจากสัดส่วนกำไรมันมหาศาลจริงๆ ปัญหาอยู่ที่ว่าจะทำได้หรือ มีปัญญา ทำ
หรือเปล่า เพราะถ้าไม่แน่จริงทั้งด้านเทคนิคและด้านการตลาด อาจจะล้มคว่ำไม่เป็นท่า เราจะเห็นว่าบรรดาผู้
ผลิตรถระดับพรีเมียมที่มีปัญหาด้านการเงิน เป็นหนี้ หรือผลประกอบการติดลบมหาศาล แต่ถ้าได้ผู้บริหารมี
ฝีมือมาแก้ปัญหา ทำให้รถมีคุณภาพและขายดีได้ เพียงไม่กี่ปีก็กลับร่ำรวยอีกแล้ว เพราะสัดส่วนกำไรมากมาย
ที่ว่านี่แหละครับ ดูโรงงานโพร์เชเป็นตัวอย่างได้อย่างชัดเจน
ชื่อหรือยี่ห้อก็ไม่เกี่ยวนะครับ ในการตัดสินว่าเป็นรถระดับพรีเมียมหรือไม่ เช่น โฟล์คสวาเกน ซึ่งแปลว่ารถ
สำหรับประชาชนทั่วไป วันนี้ก็กลายเป็นรถระดับพรีเมียมเต็มตัว ตัวอย่างอื่นในประเทศเราก็มี ที่ขอบข่าย
สายงานกว้างไกลเกินชื่อที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้น เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งมีสาขาวิชามากมายให้เลือกเรียน
โดยไม่เกี่ยวข้องกันกับเกษตรกรรมเลย ธนาคารกสิกรไทยก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งทำนองเดียวกัน
มาดูรายการความบกพร่องของรถเยอรมันระดับพรีเมียม จากแต่ละโรงงานกันเลยครับ เรียงตามพยัญชนะต้น
ของชื่อตามนิตยสารต้นฉบับ เป็นความบกพร่องในช่วงที่อยู่ในระยะรับประกัน หรือไม่ก็เพิ่งพ้นกำหนดไป
ไม่นาน กล่าวง่ายๆ ก็คือสิ่งที่เสียหรือบกพร่องโดยที่ไม่ควรหรือยังไม่ควรจะเกิดขึ้นนั่นเอง จึงเป็นเหตุให้ลูก
ค้าหงุดหงิดผิดหวังได้ไม่น้อย และถ้าไปผสมเข้ากับการแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ความไม่รับผิดชอบ คำแก้ตัวข้างๆ
คูๆ แล้วล่ะก็ รับรองได้ครับว่าลูกค้าเหล่านี้จะไม่มีวันใช้รถยี่ห้อเดิมอีก ถ้าไปเจอคนขยันพูดหรือขยันพิมพ์
(ในอินเตอร์เนท) ก็รับรองได้ว่าคนกลุ่มนี้จะพาลูกค้าใหม่ในอนาคต ให้หันไปหายี่ห้ออื่นได้นับร้อยนับพัน
ราย
เอาดี
1. เกียร์ชำรุด
2. ระบบเตือนความดันลมยาง แจ้งค่าผิด
3. มอเตอร์ปรับเก้าอี้ชำรุด
4. เสียงคลอนในห้องโดยสาร
5. เกจวัดระดับเชื้อเพลิงไม่แม่นยำ
6. ลูกปืนล้อชำรุด
7. เครื่องยนต์ชำรุด (จากสายพานไทมิง ของรุ่นดีเซลเทอร์โบ และจากตัวเทอร์โบของรุ่นที่ใช้เครื่องเบนซิน)
8. ระบบนำร่องไม่ทำงาน
9. ใบปัดน้ำฝนสะท้าน
10. วิทยุเสีย
11. โคมไฟ ซีนอน สั่น
ข้อ 2 เป็นประเภทแจ้งว่าความดันลมยางต่ำเกิน ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมีค่าปกติ เรียกว่าไม่มีอันตราย แต่สร้าง
ความรำคาญทำให้ตกใจ และต้องเสียเวลาเข้าปั๊มน้ำมันเพื่อตรวจสอบ ข้อ 3 ก็เป็นที่รู้กันครับว่ายี่ห้อไหนก็เสีย
ทั้งนั้น บางรุ่นมีมอเตอร์อยู่ในเก้าอี้ตัวเดียวถึงสิบลูก โอกาสเสียมันก็เพิ่มขึ้นตามจำนวน ข้อ 4 นี่น่ารำคาญมาก
และเป็นสิ่งที่ลูกค้ารถระดับพรีเมียมยอมรับไม่ได้ ข้อ 6 ก็ยังเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าขนาดมีเวลาพัฒนาลูก
ปืนล้อกันมาเกือบร้อยปีแล้ว เมื่อใดที่การควบคุมคุณภาพไม่ดีพอ ก็จะมีปัญหาทันที เช่นเดียวกับข้อ 9 ซึ่งจะมี
ปัญหาหรือไม่ขึ้นอยู่กับเนื้อยาง ความแข็งของสปริงที่กดใบปิดน้ำฝนลงบนกระจกหน้า และขึ้นอยู่กับมุมของ
ใบด้วยว่าค่อนข้างตั้งฉากกับผิดกระจกหรือไม่ เพราะใบปิดน้ำฝนทำงานทั้งสองทิศ
บีเอมดับเบิลยู
1. ระบบนำร่องเสีย
2. โทรศัพท์ใช้การไม่ได้เลย
3. เกียร์ชำรุด
4. ระบบช่วยกะระยะขณะจอดเสีย
5. ครูสคอนโทรลไม่ทำงาน
6. หลอดไฟขาดบ่อย
7. เครื่องยนต์ชำรุด (ตัวเทอร์โบและชุดหัวฉีดของเครื่องดีเซล)
8. ซันรูฟ ชำรุด
9. เสียงคลอนในห้องโดยสาร
10. เซนเซอร์น้ำฝนชำรุด
11. ไฟหน้ารั่ว น้ำเข้าได้
ข้อ 1, 2, 5, 7, 8 ไม่เกี่ยวข้องกับรถในเมืองไทยครับ ซันรูฟนี่ผมเห็นมีปัญหาในต่างประเทศมากว่าสามสิบปี
แล้ว มีทั้งปัญหาไม่ยอมเปิด ไม่ยอมปิด ถึงยอมปิดแล้วก็ยังมีน้ำรั่วเข้าได้ ถ้าจะให้ผมซื้อรถใช้ในเมืองไทย
อย่าว่าแต่เพิ่มเงินเลยครับ ให้ฟรีผมก็ไม่เอา หรือบอกว่าถ้าเอาซันรูฟแล้วลดราคาให้อีก ผมก็คงไม่เอาอยู่ดี
เพราะเวลาเสียแล้วเดือดร้อนมาก
ข้อ 9 ก็เช่นเดียวกับเอาดี ไม่มีใครยอมรับได้สำหรับรถระดับนี้ ข้อ 10 ก็เป็นตัวอย่างที่ดีของนวัตกรรมอำนวย
ความสะดวกที่บางทีก็อำนวยความทุกข์ให้อย่างหนักได้เหมือนกัน เพราะถ้าชำรุดในแบบฝนตกแล้วไม่ยอม
ปัดแบบอัตโนมัติ ก็ยังพอไหวครับ แต่ที่น่ากลัวมากคือปัดเองทั้งๆ ที่ฝนไม่ตก กระจกแห้งผาก ข้อ 6 ไม่ใช่
เพราะหลอดไฟคุณภาพต่ำนะครับ แต่เกิดจากการควบคุมแรงเคลื่อนไฟฟ้าไม่แม่นยำสม่ำเสมอเพียงพอ
เพราะแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ส่งกระแสไฟฟ้ามาให้อุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งหลอดไฟด้วย ไม่ได้มีค่า 12 โวลท์เศษ
ตามแบตเตอรี่ แต่มีค่าเกือบ 14 โวลท์ ตามอัลเทอร์เนเตอร์ หรือ ไดชาร์จ ค่านี้ถูกควบคุมโดยอุปกรณ์ควบ
คุมแรงเคลื่อนไฟฟ้า หรือโวลเทจเรกูเลเตอร์ ถ้าการควบคุมบกพร่อง แรงเคลื่อนไฟฟ้าอาจพุ่งสูงเกิน 16
โวลท์ ถ้าเกิดขึ้นบ่อยๆ ก็ทำให้หลอดไฟอายุสั้นลงมาก ข้อ 11 ก็ไม่ใช่ของยากเย็น ลูกค้าจึงทำใจไม่ได้อยู่แล้ว
เมร์เซเดส-เบนซ์
1. เซนทรัลลอคไม่ทำงาน
2. ปั๊มเชื้อเพลิงชำรุด
3. ใช้วัสดุคุณภาพต่ำ
4. ระบบนำร่องไม่ทำงาน
5. เซนเซอร์น้ำฝนเสีย
6. กระจกหน้าต่างสะท้านขณะเลื่อนขึ้นลง
7.ไฟหน้ารั่ว
8. ฮีเทอร์ ที่เก้าอี้เสีย
9. ซันรูฟไม่ทำงาน รั่ว
10. แบตเตอรี่ไม่มีไฟ
11. โคมไฟหน้า ซีนอน สั่น
12. เกียร์อัตโนมัติชำรุด
13. ระบบช่วยเบรก (เบรกแอลซิสท์) ชำรุด
14. ระบบผ่อนแรงพวงมาลัย ชำรุด
ข้อ 2 นี่ตรงกับประสบการณ์ของผู้ใช้รถในเมืองไทยครับ เกิดขึ้นเมื่อใดก็ทั้งเดือดร้อนและทั้งอับอายขายหน้า
เพราะเครื่องยนต์ไม่สามารถทำงานได้ ข้อ 10 นี่ก็ทำให้ เซ็ง ได้มากเหมือนกัน คือตื่นเช้าจะไปทำงาน หมุน
กุญแจสตาร์ทแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น ข้อ 12 นี่ลูกค้าก็ยอมรับไม่ได้เด็ดขาด เพราะโดยปกติต้องขับได้หลาย
แสน กม. โดยไม่เป็นอะไร ข้อ 3 นี่ไม่มีสิทธิแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้นครับ มีเสียงบ่นด้วยความผิดหวังกันทั่วโลก
เพราะไม่ต้องใช้ความรู้ความสามารถใดๆ ทั้งสิ้นในการตัดสิน มองด้วยตาก็เห็นแล้ว ตอนนี้มีแนวโน้มว่ามี
การปรับปรุงให้ดีขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปแล้ว
โพร์เช
1. ใช้วัสดุคุณภาพต่ำ ราคาถูก
2. เสียงคลอนในห้องโดยสาร
3. น้ำรั่วเข้าห้องโดยสาร
4. ระบบช่วยกะระยะขณะจอดไม่ทำงาน
5. คลัทช์ชำรุด
6. เกียร์เข้ายาก มีเสียง หอน
7. กุญแจสตาร์ทชำรุด
8. เข็มขัดนิรภัยไม่ยอมม้วนกลับ
9. ระบบนำร่องไว้ใจไม่ได้
10. เบรกมีเสียง
ข้อ 1 และ 2 คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม ส่วนข้อ 3 นี่อภัยให้ไม่ได้เด็ดขาด โดยเฉพาะเมื่อดูราคาของรถตระกูล
นี้ ข้อ 9 รู้สึกว่าจะอาการเบากว่ายี่ห้ออื่นที่มักจะไม่ทำงานเลย แต่แบบ ไว้ใจไม่ได้ นี่อาจจะทำให้เราเดือด
ร้อนมากกว่า เพราะมันเล่นพาเราไปที่อื่นที่ไม่ได้ต้องการไป ข้อ 10 เป็นเพียงข้อเดียวที่ให้อภัยได้ เพราะ
ปัญหาเสียงดังจากผิดเบรก มันเป็นของคู่กับการพัฒนาระบบเบรกมาโดยตลอด ทั้งผ้าเบรก ด้ามเบรก และ
จานเบรกนั้น ต้องพัฒนาให้เพิ่มสมรรถนะและประสิทธิภาพกันอยู่ตลอดเวลาครับ ปัญหาเสียบรบกวนนั้นที่
จริงก็คือไวเบรชัน หรือการสั่นของผ้าเบรกและจานเบรก ถ้าสั่นด้วยความถี่และ ความแรง ระดับที่หูเราไม่
ตอบสนอง เราก็บอกว่า มันดี มันเงียบ แต่ถ้าสั่นแบบที่หูเราได้ยิน เราก็จะว่ามันเสียหรือมันไม่มดี ถ้าจะ
ตำหนิก็คงเพียงว่า บรรดาวิศวกรน่าจะทดสอบให้นานหรือหลายสภาพใช้งานกว่านี่หน่อยครับ
โฟล์คสวาเกน
1. กุญแจสตาร์ กุญแจประตู เซนทรัลล๊อค เสีย
2. เกียร์ชำรุด
3. เครื่องยนต์ชำรุด (ปะเก็นฝาสูบ สายพานไทมิง ของเครื่องดีเซลเทอร์โบ)
4. เกจต่างๆ ไม่ทำงานพร้อมกันหมด
5. เสียงคลอนในห้องโดยสาร
6. เบรกไม่อยู่ขณะฝนตก
7. แบตเตอรี่ไฟหมด
8. กลไกปัดน้ำฝนชำรุด
9. ลูกปืนล้อชำรุด
10. น้ำรั่วเข้าห้องโดยสาร
11. กระจกหน้ารั่ว
ข้อ 3 น่าจะเป็นปัญหาทางเทคนิค มากกว่าปัญหาการควบคุมคุณภาพนะครับ ข้อ 4 คงเป็นความบกพร่องที่
แผงวงจรไฟฟ้า ก็คือคุณภาพของชิ้นส่วนที่สั่งซื้อจากซัพพลายเออร์ไม่ดีพอนั่นเอง ข้อ 6 นี่ไม่ใช่ว่าเบรกไม่อยู่
แล้วถนนลื่นนะครับ แต่หมายถึงอาการลื่นระหว่างที่ผู้ขับเริ่มเหยียบเบรก หลังจากขับตากฝนมาแล้วระยะ
หนึ่ง คือเกิดขึ้นเมื่อจานเบรกชื้นเพราะมีละอองน้ำมาเกาะ ผู้ที่ช่างคิดหน่อยก็จะต้องแย้งในใจทันทีว่า ละออง
น้ำมันก็ต้องเกาะรถทุกคันทุกยี่ห้ออยู่แล้ว ถูกต้องแล้วครับ เป็นปัญหาที่ลึกซึ้งเอาการ เกี่ยวกับการเกิดสารเคมี
บางอย่างที่ทำให้แรงเสียดทานระหว่างผ้าเบรกและจานเบรกลดลงในช่วงวินาทีแรกที่ผู้ขับเหยียบแป้นเบรก
ถึงจะเป็นเวลาแค่วินาทีเดียว แต่ระยะทางที่รถแล่นไปหลายสิบเมตรนะครับ ถ้าขับด้วยความเร็ว 110 กม./ชม.
ก็ราวๆ 30 เมตรเข้าไปแล้ว แต่ที่หนักกว่าคือ ความรู้สึกตกใจว่าเบรกไม่ทำงาน ที่ทำให้เรามือและเท้าเย็นได้
ได้ข่าวว่าขณะนี้โรงงานทราบสาเหตุที่เกิดขึ้น และได้แก้ไขไปแล้ว เบนซ์เอสแอลรุ่นใหม่ซึ่งใช้เบรกไฟฟ้า
จะให้ระบบเบรกทำงานช่วงสั้นๆ เพื่อรีดน้ำจากจานเบรกขณะขับกลางฝน โดยที่คนขับไม่รู้ตัวเลย เพราะมี
เซนเซอร์น้ำฝนส่งสัญญาณให้ระบบควบคุมเบรกจัดการให้เสร็จสรรพ ระบบอิเลคทรอนิคในรถของเรา
ทำงานได้แทบไม่มีขอบเขตครับ แต้ถ้ารวนขึ้นมาเมื่อใด พวกเราก็จะบอกว่าขอแบบเก่านั่นแหละพอแล้ว
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2545
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51214