รอบรู้เรื่องรถ
การรับประกันคุณภาพ ไม่ได้อยู่ที่คุณภาพรถ
เป็นเรื่องน่ายินดีมากที่หลายบริษัทได้ขยายระยะเวลาและระยะทาง ของการรับประกันคุณภาพรถออกไปอีก
ตามที่เราเคยเรียกร้องไปก่อนหน้านั้นไม่นานนัก หัวเรื่องนี้ไม่ได้หมายถึงรถที่จำหน่ายในเมืองไทยนะครับ
แน่นอนอยู่แล้วว่า ใครที่กล้ารับประกันคุณภาพรถในเวลา 3 ปีแรก หรือ 100,000 กม.
ต้องมีความมั่นใจในคุณภาพของสินค้าก่อน จึงเป็นหน้าที่ของผู้ผลิตรถ
ที่จะต้องเข้มงวดกวดขันกับคุณภาพของอุปกรณ์ประกอบต่างๆ ที่ซัพพลายเออร์ขายให้มาอีกต่อหนึ่ง
ถึงจะนำอุปกรณ์ที่ชำรุดก่อนเวลา หรือบกพร่องจากการผลิต ไปแลกจากซัพพลายเออร์ได้
คือให้ซัพพลายเออร์รับประกันคุณภาพอีกต่อหนึ่ง
แต่ลูกค้าไม่มาดูรายละเอียดนะครับ ว่าเป็นชิ้นส่วนที่ผลิตจากซัพพลายเออร์ใด ถ้าไม่ดีก็คือรถยี่ห้อนั้นไม่ดีเลย
เพราะฉะนั้นโรงงานผลิตรถจะเป็นผู้ "รับหน้า" และเสียชื่อแต่เพียงผู้เดียว
แต่เพิ่มขอบเขตการรับประกันคุณภาพไปอย่างเป็นทางการแล้ว ก็ยังไม่ได้หมายความว่าลูกค้าจะสบายใจได้นะครับ
ต้องดูการปฏิบัติด้วย ว่ามีความจริงใจหรือไม่ ประเภทเจอของบกพร่องเห็นอยู่โทนโท่ กลับบอกหน้าตาเฉยว่าปกติ
หรือ "เป็นแบบนี้แทบทุกคัน" แต่พอพ้นกำหนดรับประกัน กลับรีบบอกว่าต้องเปลี่ยน หรือไม่ก็มีข้อแม้มากมาย
"ชิ้นนั้นชิ้นนี้ไม่ได้รับประกัน"
แบบนี้ไม่ใช่การรับประกันคุณภาพครับ การรับประกันคุณภาพของรถยนต์ ต้องครอบคลุมทุกชิ้นส่วน
และรวมไปถึงชิ้นส่วนที่สึกหรอจากการใช้งานด้วย ผมเห็นชอบอ้างกันว่า ชิ้นส่วนที่สึกหรอจากการใช้งาน
ไม่รับพิจารณาเพราะไม่อยู่ในขอบข่ายการรับประกันคุณภาพ เป็นการอ้างที่เข้าข้างตนเอง
และไม่เป็นธรรมกับลูกค้าอย่างยิ่ง แน่นอนว่าหากผ้าเบรคหรือยางสึกตามอายุใช้งานปกติ
ลูกค้าไม่มีสิทธิ์ในการเรียกร้องขอชุดใหม่ฟรีหรือในราคาพิเศษ แต่ถ้าโรงงงานรถเห็นแก่กำไร
เอาผ้าเบรคสุดห่วยมาใส่ในรถใหม่ แล้วสึกจนหมดตั้งแต่ยังขับได้ไม่ถึง 10,000 กม. ทั้งๆ ที่ลูกค้าขับรถอย่างถูกวิธี
แบบนี้ผู้จำหน่ายรถต้องชดใช้ให้สมเหตุสมผลครับ หรือลูกค้าขับไปได้ไม่กี่พันกิโลเมตร แล้วยางบวม
โดยไม่ได้ไปกระแทกอะไรรุนแรงมา แบบนี้ก็ต้องชดใช้ให้โดยไม่รีรอเช่นกัน
เอาอีกตัวอย่างหนึ่งนะครับให้เข้าใจกันอย่างแจ่มแจ้ง ถ้าซื้อรถไปได้สองสัปดาห์แล้วหลอดไฟฮาโลเจน
(ซึ่งอายุยืนนานมาก) ของโคมไฟหน้าขาด แบบนี้เป็นความบกพร่องของสินค้าอย่างชัดแจ้ง
เพราะหลอดไฟประเภทนี้มีอายุใช้งานหลายพันชั่วโมง เอาไปเปิดไฟหน้าทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืน
จนแบทเตอรีหมดไปหลายรอบ ก็ยังไม่หมดอายุใช้งานของหลอดไฟอยู่ดีแหละครับ
แต่มองในมุมกลับกันก็น่าเห็นใจผู้จำหน่ายรถเหมือนกัน เพราะลูกค้าที่ "หัวหมอ" นั้น ค่อนข้างมาก
ประเภทเอาหลอดไฟจากคันอื่นที่บ้านมาแลกแล้วเอามา "เคลม" ก็มี
ผมว่าคงต้องเดินสายกลาง คือดูบุคลิก ท่าที นิสัยใจคอของลูกค้าประกอบด้วย ถ้าเป็นลูกค้าประจำ
รู้จักกันมานานว่าซื่อตรง คงตัดสินใจง่ายหน่อย ยังไม่มีกฎระเบียบเป็นลายลักษณ์อักษรใด
ที่ป้องกันเล่ห์เหลี่ยมของคนโกงได้ครับ
เพิ่งได้เข้าเรื่องตามที่ตั้งชื่อไว้เสียที ผมไปอ่านพบเงื่อนไขการรับประกันคุณภาพของรถเมร์เซเดส-เบนซ์
ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ไม่ได้หมายความว่าในทุกประเทศที่มีรถยี่ห้อนี้จำหน่ายนะครับ
เพราะเขาคัดมาเฉพาะที่มีเงื่อนไขแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งๆ ที่รถเหล่านี้ก็ผลิตจากที่เดียวกันเกือบทั้งหมด
ซึ่งก็หมายความว่ามีคุณภาพเท่ากันนั่นเอง แต่ระยะเวลาและระยทางที่อยู่ในช่วงรับประกันคุณภาพ
กลับแตกต่างกันอย่างมาก
ผมนำมาเผยแพร่เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ ว่าเงื่อนไขการรับประกันคุณภาพของรถยนต์
ไม่ได้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับคุณภาพของรถนั้นๆ
เชื่อหรือไม่ครับว่าดูแล้วก็ไม่ต่างจากกลวิธีของพ่อค้าแม่ค้าตามแผงข้างทางแถวคลองถมหรือคลองเตยเลย
ขอใช้ภาษาชาวบ้านให้เข้าใจง่ายๆ ว่า "ถ้าพรรคพวกอาชีพเดียวกันเขาโก่งราคาแล้วยังขายได้
ฉันก็ต้องโก่งราคาตาม" หรือไม่ก็เป็นแบบร้านก๋วยเตี๋ยวข้างถนน
คือขายราคาสมเหตุสมผลเพราะมีหน่วยงานของรัฐควบคุมราคาอยู่ แล้วก็มีประเภท "คนอื่นเขาขายถูก
เลยต้องลดราคาตาม ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องได้ขาย"
ตัวอย่างที่คัดมามีอยู่ 6 ประเทศด้วยกันคือ
1. สหรัฐอเมริกา รับประกัน 4 ปี หรือ 50,000 ไมล์ (ประมาณ 80,450 กม.) บำรุงรักษาฟรีตลอดช่วงรับประกัน
ระยะเวลานานดีครับ แต่ระยะทางนั้นสั้นไปหน่อย พวกที่ที่ทำงานอยู่ไกล
คงหมดระยะประกันภายในสองปีเศษเท่านั้น ที่ดีมากคือการรวมค่าบำรุงรักษาเข้าไว้ด้วย
ผู้ที่ใช้ระยะทางเฉลี่ยวันละไม่เกิน 55 กม. ก็จะอุ่นใจไปนานถึง 4 ปี ว่าไม่ต้องจ่ายเงินค่าอะไรอีกสำหรับรถนี้
นอกจากค่าเชื้อเพลิงและประกันภัย
2. เยอรมนี 1 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
ระยะเวลาสั้นไปนะครับ ใครจะขับรถของตัวเองปีละแปดหมื่นถึงหนึ่งแสนกิโลเมตร มีก็เป็นกลุ่มพิเศษคือ เซลส์แมน
ที่ขับไปเยี่ยมลูกค้าโดยใช้ไฮเวย์หรือ "เอาโทบาห์น" อันลือชื่อด้วยคุณภาพของประเทศนี้เท่านั้น
ผู้ผลิตรถในประเทศนี้เอาเปรียบผู้ใช้รถในประเทศของตนเองมาตลอด เพิ่งขยายระยะเวลารับประกันคุณภาพเป็น 2
ปี เมื่อ 1 มกราคมปีนี้เอง ไม่ใช่การตอบแทนลูกค้าหรือสำนึกอะไรหรอกนะครับ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎของ "อียู"
พร้อมกับการประกาศใช้เงินสกุลยูโรอย่างเป็นทางการ
3. สวิทเซอร์แลนด์ 3 ปี หรือ 100,000 กม. ค่าบำรุงรักษาฟรี ตลอดช่วงรับประกัน
เป็นเงื่อนไขที่ยุติธรรมดีมากในความเห็นของผม ถ้าไม่ "หมกเม็ด" โดยเอาค่าบำรุงรักษาไปรวมในราคารถ
4. ฮ่องกง ไม่ใช่ตัวแทนของประเทศใดนะครับ เพราะเป็นมณฑลที่ปกครองแบบพิเศษของ จีน
3 ปี ไม่เกิน 60,000 กม. ระยะเวลากำลังดีครับ แต่ระยะทางสั้นไปหน่อย สงสัยจะถือว่าเป็นเมืองเล็กๆ
ลูกค้าจะขับไปไหนกันมากมาย ถ้าถือเช่นนั้นจริงก็ไม่ควรจะไปจำกัดระยะทาง
5. ออสเตรเลีย 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
ผมว่ามีความยุติธรรมต่อลูกค้า เพราะเป็นประเทศกว้างใหญ่ไพศาล ในเมื่อไม่จำกัดระยะทางแล้ว
ก็ไม่สามารถให้การบำรุงรักษาฟรีในช่วงรับประกันได้ เพราะถ้าเจอลูกค้าประเภทเซลล์แมน
หรือรถใช้งานของบริษัทประเภทขับปีละเกือบแสนกิโลเมตรเข้า ก็มีสิทธิ์กระอัก กำไรหายหดหมดกันพอดีครับ
6. ญี่ปุ่น 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง ค่าบำรุงรักษาฟรีตลอดระยะเวลารับประกัน
นี่ละครับสุดยอด มีข้อแม้เช่นเดียวกันว่า ถ้าไม่เอาค่าบำรุงรักษาไปบวกกับราคารถ
ค่าชดใช้ในช่วงรับประกันคุณภาพนี่ไม่ใช่ถูกๆ นะครับ ในปี คศ. 2000 เมร์เซเดส-เบนซ์
มีค่าใช้จ่ายจากการรับประกันคุณภาพของรถสูงถึง 68,000 ล้านบาท
คราวนี้มาดูรายละเอียดที่น่าสนใจจากอีกตารางหนึ่ง
เป็นเงื่อนไขการรับประกันคุณภาพรถยนต์ที่จำหน่ายในประเทศเยอรมนี ซึ่งถ้าเป็นรถสัญชาติเยอรมันเอง
ก็จะรับประกันคุณภาพเป็นเวลา 2 ปี (ตามที่ถูกบังคับ) ส่วนระยะทางที่เคยไม่จำกัดในช่วงรับประกัน 1 ปีนั้น
จะถูกจำกัดหรือไม่ ยังไม่มีข้อมูลยืนยันครับ ส่วนรถสัญชาติอื่น เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี สหรัฐฯ อังกฤษ ซึ่งเสียเปรียบ
"เจ้าบ้าน" ล้วนรับประกันคุณภาพเป็นเวลา 3 ปี ไม่เกิน 100,000 กม. เหมือนกันหมด ยกเว้นไครสเลอร์ (2 ปี)
ผู้อ่านบางท่านอาจจะยังงง ว่าจะใช้ระยะเวลาหรือระยะทางกันแน่ จำง่ายๆ
ครับว่าเป็นเงื่อนไขแบบให้ผู้ผลิตรถได้เปรียบ คือถ้าพ้นระยะเวลาหรือระยะทางที่กำหนดไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง
ถือว่าสิ้นสุดการรับประกันคุณภาพทันที มีพิเศษกว่ารายอื่น คือ เบนท์ลีย์ ที่รับประกันคุณภาพ 3 ปี
โดยไม่จำกัดระยะทาง ไม่แปลกครับ ถ้าดูราคาของรถตระกูลนี้ เพิ่มเป็น 5 ปีก็ยังไหว
ผมขอคัดมาเฉพาะยี่ห้อที่มีรายละเอียดที่น่าสนใจสำหรับพวกเรา
ไครสเลอร์ 2 ปี ไม่จำกัดระยะทาง (5 ปี ไม่เกิน 80,000 กม. สำหรับอุปกรณ์ฟอกไอเสีย)
เห็นได้ชัดว่าอุปกรณ์ฟอกไอเสียมีอายุใช้งานเท่านี้จริงๆ ครับ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะหมดอายุทันทีทันใด
ช่วงที่เริ่มเสื่อมสภาพ แคทาไลทิคคอนเวอร์เตอร์ จะไม่สามารถแปลงสภาพไอเสียได้ดีตามมาตรฐาน
ถ้านำไปตรวจสภาพอาจไม่ผ่านเกณฑ์ที่กฎหมายในประเทศเขากำหนดไว้ สำหรับผู้ที่ใช้ระยะทางน้อย
ไครสเลอร์ก็ยังให้เวลารับประกันอุปกรณ์นี้นานถึง 5 ปี
ซีตรอง 2 ปี ผมไม่ทราบว่าจำกัดระยะทางหรือไม่
ก่อนวันที่ 1 มกราคม ปีนี้ ซีตรองยังรับประกันเพียง 1 ปี
แต่ให้ระยะเวลารับประกันคุณภาพระบบรองรับแบบไฮโดรนิวแมติคนานถึง 2 ปี หรือ 100,000 กม.
เป็นการสร้างความมั่นใจต่อลูกค้าที่ยังไม่ค่อยเชื่อมั่นต่อความทนทานของระบบนี้
ฮันเด 3 ปี หรือ 100,000 กม. มีข้อแม้ว่า เฉพาะแบทเตอรี 2 ปี หรือ 40,000 กม.
ก็ยังเห็นความจริงใจในการพยายามรับประกันคุณภาพแบทเตอรีนานถึง 2 ปีนะครับ
ไม่เหมือนของเราที่รับประกันเพียง 6 เดือน ซึ่งเอาเปรียบลูกค้ามากครับ สมัยนี้ไม่ควรมีชิ้นส่วนใดในรถมีอายุใช้งาน 6
เดือนแล้วครับ แล้วยังพร้อมใจกัน (เรียกว่า "ฮั้ว" ก็คงเป็นที่เข้าใจกัน) ผลิตแบทเตอรีได้อายุสั้นจู๋พอๆ
กันหมดทั้งประเทศอีกด้วย ดูจากตัวอย่างนี้ของเขาที่บอกว่าภายใน 2 ปี แบทเตอรีจะไม่มีวันหมดอายุ
ส่วนของพวกเราเป็นที่รู้กันว่าแบทเตอรีอายุ 2 ปีขึ้นไป คือแบทเตอรีหมดอายุแล้ว
(และจากประสบการณ์ของผมก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ)
ใครขืนใช้ต่อก็ต้องยอมรับความเสี่ยงว่าเช้าวันใดวันหนึ่งจะติดเครื่องยนต์ไม่ได้ และเดือดร้อนสาหัส
การรับประกันคุณภาพ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากในการรักษาความรู้สึกอันดีของลูกค้าต่อผู้จำหน่ายรถนั้นๆ ครับ
ไม่สามารถใช้ข้อความหรือตัวเลขในสัญญาตัดสินเพียงอย่างเดียวได้
ยกตัวอย่างเช่นเป็นที่รู้กันว่าเครื่องยนต์ของรถยุคนี้ รวมทั้งระบบขับเคลื่อนบางจุด เช่น เฟืองท้าย มีอายุใช้งานสูงกว่า
200,000 กม. แน่นอน ถ้าเครื่องยนต์ชำรุดในระยะทาง 100,000 กม. เศษ
ผู้จำหน่ายอาจอ้างว่าเป็นที่การใช้งานของลูกค้า (บางคนอาจใช้รอบสูงถึง 6,000 รอบ/นาที
ทุกเช้าตั้งแต่เครื่องยนต์ยังไม่ร้อนพอ) แต่ถ้าเป็นเฟืองท้ายของรถที่เข้ารับการบำรุงรักษาอย่างถูกต้องตามกำหนด
มีหลักฐานยืนยัน แล้วชำรุดหลังพ้น 100,000 กม. ไปไม่มาก ผู้ผลิตไม่มีทางปัดความรับผิดชอบได้ครับ
เพราะการทำงานของมันไม่ขึ้นอยู่กับวิธีขับ
กรณีในตัวอย่างนี้ ต้องมีการชดใช้ในแบบประนีประนอมว่าจะชดใช้ให้ทั้งหมด (เพื่อรักษาชื่อเสียง หรือสร้างชื่อเสียง)
หรือให้ลูกค้าช่วยในบางส่วนในฐานะที่ใช้งานมามากพอสมควร คงไม่มีใครขัดข้อง
อย่าลืมว่าลูกค้ายุคนี้ทำใจไว้ตั้งแต่ซื้อรถใหม่แล้ว ว่าอย่างไรเสียก็จะต้องถูกตัวแทนจำหน่ายเอาเปรียบไม่มากก็น้อย
ใครชนะใจลูกค้าในเรื่องทำนองนี้ได้ ผมว่าดีกว่าการใช้เงินโฆษณาเป็นสิบล้าน หรือการคอยเฝ้าดูว่านิตยสารรถใด
จะติหรือชมรถที่เราขายหรือไม่เสียอีกครับ
ABOUT THE AUTHOR
เ
เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
ภาพโดย : -นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2545
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ