รอบรู้เรื่องรถ
สารพันความเห็น เรื่องรถคลาสสิค ตอนที่ 1
ราคารถคลาสสิค และรถที่หายาก (ที่ยังไม่สามารถเรียกว่าคลาสสิคได้ เพราะอายุยังไม่ถึงเกณฑ์) ในประเทศไทย กำลังพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามกฎพื้นฐานของตลาดครับ
เมื่อใดอุปสงค์เพิ่มขึ้น หรือยิ่งกว่านั้นไปอีก คือ มากกว่าอุปทาน ราคาที่ซื้อขายกัน ก็ย่อมจะเพิ่มขึ้น ไม่ใช่แค่ระดับที่จะถามกันว่ากี่ 10 % นะครับ แต่เป็นกี่เท่าตัว และไม่มี “ลิมิท” หรือขอบเขตเสียด้วย ในวงการนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ จะรู้เรื่องนี้กันดี และมีศัพท์ที่ใช้กันโดยเฉพาะว่า กี่ “เด้ง”
ก่อนอื่นเลย ผมขอให้ความเห็น ที่อาจจะดูเหมือนเป็นการปลอบใจ ผู้ที่เคยมีรถคลาสสิค รุ่นที่ราคาไม่สูง ไม่ว่าจะเป็นเพราะมีอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ใช่รุ่นที่น่าสนใจ หรือว่าเป็นรุ่นที่แม้แต่คนที่ชอบ ก็ยัง “กลัว” เพราะซ่อม หรือหาซื้ออะไหล่ได้ยาก อย่าหลงโทษตัวเอง หรือเชื่อคำบอกเล่าของคนรอบข้าง ที่หวังให้เราเชื่อว่า เป็น “ความโง่” ที่ขายรถดังกล่าวออกไป ในราคาต่ำมาก เพราะไม่มีมนุษย์ปกติธรรมดาที่ไหน จะล่วงรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหรอกครับ เช่น ราคารถของเราจะเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่า ใน 10 กว่าปีข้างหน้า ถ้าเราได้ขายมันไป ด้วยเหตุผลประกอบการตัดสินใจอย่างรอบคอบแล้ว ก็ควรถือว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และเงินที่ได้มาจากการขาย ก็ได้ช่วยให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น หรือได้ความรู้สึกที่ดีมาแล้ว ไม่มีอะไรต้องเสียดาย ทำนอง “รู้อย่างนี้” คนฉลาดจะไม่คิด หรือพูดคำนี้เป็นอันขาดครับ
หัวข้อต่อมา ซึ่งผมมิได้เรียงลำดับตามความสำคัญ (ซึ่งสมมติว่าอยากจะ ทำ ก็ยังไม่สามารถทำได้ เพราะจุดประสงค์ และเงื่อนไขปลีกย่อยของแต่ละคน ล้วนแตกต่าง และมีความหลากหลายมาก) คือ รูปแบบของการบูรณะ และการบำรุงรักษา เรื่องนี้ห้ามถกเถียงกันเด็ดขาดครับ เพราะจะไม่มีทั้งฝ่ายที่ถูก และฝ่ายที่ผิด จะได้อยู่อย่างเดียว คือ ความบาดหมางที่ไม่จำเป็นต้องให้มันเกิดขึ้นเลย ฝ่ายหนึ่งจะบอกว่า รถคลาสสิคที่ “ดี” ต้องมีสภาพเดิมทุกอย่าง เช่นเดียวกับตอนที่มันถูกสร้างเสร็จในโรงงาน กับอีกฝ่ายที่ผมจะยกตัวอย่างให้ชัด แบบอยู่กันคนละ “ขั้ว” ไปเลย ก็อยากจะแย้งว่า “รถอายุ 40 กว่าปีอย่างนี้ และไม่ได้เป็นรุ่นที่คนนิยมกันทั่วโลก จะให้พวกเราไปควานหาอะไหล่ที่ไหนจนครบ และถ้าเจออยู่บ้างในต่างประเทศ ก็มักจะถูกโก่งราคาจนซื้อไม่ไหว หรือถึงจะไหว ก็ยังไม่ต้องการซื้อ เพราะรู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ที่ยอมถูกขูดรีด ขอยอมหาอย่างอื่นมาใช้แทนดีกว่า ถ้ามันทำหน้าที่ได้เหมือนกัน
ใครจะมีจุดยืนแนวไหน ก็จะไม่เกิน 2 ขั้วในตัวอย่างของผมเสมอครับ ในฐานะคนที่ชอบรถคลาสสิคคนหนึ่ง ที่ได้พบได้ลองรถหลายรูปแบบ มาหลาย 10 ปี ผมขอบอกความเห็นส่วนตัวของผมเอง แค่เป็นตัวอย่างของคนๆ หนึ่งเท่านั้น ที่ไม่จำเป็นต้อง “ใช่” หรือถูกต้อง หรือสมควรยึดเอาเป็นมาตรฐานเลยนะครับ
สำหรับผมรถคลาสสิคที่ผมชอบ ที่มี หรือเคยมี ควรมีรูปลักษณ์ภายนอก ที่มองดูจากด้านไหน หรือมุมไหนก็ตาม เหมือนตอนออกจากโรงงาน หรือตัวแทนจำหน่ายทุกประการ ไม่ควรมี “ของใหม่” มาทดแทน หรือเพิ่มเติมแต่อย่างใดทั้งสิ้น แค่ใช้กระจกมองหลังนอกตัวรถ ที่เป็นของรถอื่นยุคใหม่ ก็ทำให้เสียคุณค่าด้านความสวยงามไปอย่างมากแล้ว อีกส่วนที่ผมให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ คือ กระทะล้อ เป็นเรื่องแปลกแต่จริงในความเห็นของผม ที่ไม่มีล้อแบบอื่น ซึ่งเราเอามาใช้แทน แล้วทำให้รถคลาสสิคของเราสวยขึ้น
จุดนี้แหละครับที่ผมเห็นว่า ผู้นิยมรถคลาสสิคของไทย มองข้ามกันไป หรือไม่ก็เพราะมีรสนิยมอย่างนั้นกันเอง (ตามที่อธิบายมาแล้วข้างต้น ไม่ถือว่าผิดแต่อย่างใด) มีข้อยกเว้นอยู่เหมือนกันครับ เช่น ASTON MARTIN (แอสตัน มาร์ทิน) รุ่น VANTAGE (วานเทจ) ช่วงปี 1986-1989 ที่คงกลัวลูกค้าเบื่อล้อแบบเดิม หรือโรงงานอาจต้องการความแปลกใหม่ แต่ออกแบบไม่ทัน หรือไม่ก็เสียดายค่าจ้าง จึงให้ผู้ผลิตล้ออัลลอยอันโด่งดังระดับโลก ช่วย “จัดให้” ก็เลยได้ “ลาย” ที่เขาผลิตขายอยู่แล้ว แค่เอามาดัดแปลงตรงขอบ กับใส่แป้นตราของรถรุ่นนี้ตรงกลาง แน่นอนครับว่า มันคือ ล้อแท้ดั้งเดิมจากโรงงาน ของรถรุ่นนี้ แต่ไม่ว่าจะรู้ และพยายามมองให้คุ้นตาบ่อยแค่ไหน มันก็ให้ความรู้สึกเสมือนถูกเอาล้อของรถบแรนด์อื่นมาใส่ สมมติว่า ผมมีรถรุ่นนี้อยู่ ก็อาจจะทนไม่ไหว และเอาล้อของรุ่นก่อนหน้า ที่มีตัวถังเหมือนกัน มาใส่แทนก็ได้
ส่วนที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งของรถคลาสสิค และเป็นประเด็นให้ถกเถียงกันมายาวนานแล้ว คือ เครื่องยนต์ครับ เป็นเรื่องใหญ่มากจริงๆ ถ้าเจ้าของรถมีเงินเหลือสบายๆ สำหรับการบูรณะเครื่องยนต์ และเป็นรถที่นิยมกันทั่วโลก ผมหมายถึงขณะนี้ ที่มันกลายเป็นรถคลาสสิคไปแล้ว ไม่ใช่ตอนที่ถูกผลิตออกมาจากโรงงาน ไม่มีปัญหาแน่นอนครับ จะมีอะไหล่ให้ซื้อในประเทศ หรือสั่งซื้อจากต่างประเทศได้เสมอ ต่อให้ “หมดสตอค” ไปแล้วจริงๆ ทั่วโลก แต่ถ้ายังมีเจ้าของรถเหล่านี้ อยากซื้อกันอยู่ รับรองได้ว่า ต้องมีการผลิตออกมาใหม่เสมอ ถึงทางโรงงานรถบแรนด์นี้ (ถ้ายังอยู่) จะไม่สนใจที่จะกลับมาผลิตใหม่ เพราะหาเงินจากการขายรถใหม่ ได้ง่ายกว่า และได้มากกว่าด้วย ก็จะมีนักผลิตอะไหล่รายย่อยที่มองเห็นโอกาส ขอซื้อสิทธิบัตร (ถ้าหมดอายุการคุ้มครองไปแล้ว ก็ฟรีครับ) รวมทั้งแบบ และกรรมวิธีผลิต จากเจ้าของบแรนด์รถรุ่นนั้นๆ มาผลิตรอบใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ทนทานกว่าของเดิม เพราะเครื่องมือทันสมัยขึ้น แต่บางทีก็อาจจะไม่สวยเท่า มีเงินพอซื้ออะไหล่แล้ว ของก็พอจะหาได้ครบ
ยังไม่จบนะครับ ต้องมีช่างที่เคยประกอบเครื่องยนต์รุ่นของเราด้วย ถ้ามีครบทั้ง 3 ประการนี้ ผมแนะนำให้ทำครับ เพราะเครื่องยนต์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากของรถคลาสสิค ตั้งแต่รูปลักษณ์ที่เรามองเห็น ลองนึกภาพเครื่องยนต์สปอร์ทของรถยุโรปยุคปี คศ. 1950-1970 ดูครับ แค่เปิดฝากระโปรงขึ้นมา แล้วเห็นฝาครอบวาล์ว 2 แถว ที่ครอบเพลาลูกเบี้ยว 2 ท่อนไว้ สายหัวเทียนโค้ง เรียงกันเป็นระเบียบ ไม่ต้องเอาอะไรมาครอบบังเหมือนรถยุคนี้ คาร์บูเรเตอร์แบบนอน แยกจ่ายเชื้อเพลิงต่างหากสูบละท่อ แค่นี้ก็ทำให้เรารู้สึกดีได้แล้วทุกครั้งที่เห็น
ยังไม่ใช่แค่นี้ครับ เสียงเครื่องยนต์แท้ ตรงรุ่น มักจะไม่เรียบ และไม่เงียบเหมือนรถยุคนี้ แต่กลับมีเสน่ห์ ฟังเท่าไรก็ไม่เบื่อ เป็นเสียงกระเดื่องวาล์วทำงาน เสียงลูกสูบดูดอากาศผ่านลิ้นผีเสื้อ ตอนที่เราเริ่มกดคันเร่ง และเสียงคายไอเสีย ที่ลอดผ่านหม้อพักออกมาจากปลายท่อ เป็น 3 เสียง 3 อย่าง ที่คลุกเคล้ากันพอดี ทำนองเดียวกับอาหาร 3 รส ที่ถูกปรุงโดยพ่อครัวฝีมือชั้นเยี่ยม แต่เป็น “อาหารหู” ชั้นยอดแทนครับ
สรุปแล้ว ถ้า “ไหว” บูรณะเครื่องเดิมให้เต็มที่ไว้ก่อนดีกว่า แต่ถ้าไม่พร้อมจริงๆ ด้วยสาเหตุใดก็ตาม โดยเฉพาะเรื่องเงิน ถ้าไม่มี ก็คือ ไม่มีครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะการหาเครื่องยนต์รุ่นอื่น หรือบแรนด์อื่นมาใส่แทน ไม่ใช่ความผิดพลาด และไม่สมควรถูกใครก็ตาม มาตำหนิติติงเลย ขออย่างเดียว เลือกที่มันเหมาะสม เข้ากันได้พอสมควร ถ้าเป็นไปได้ และไม่มีปัญหาทางเทคนิคที่แก้ไม่ไหว ผมแนะนำให้เอาเกียร์ของเครื่องใหม่มาใช้ด้วย ที่ผมอยากจะขอร้องก็คือ อย่าเอาเครื่องยนต์ที่แรงกว่าเครื่องแท้ดั้งเดิมมากมาใส่ ถ้าถูกช่างยุก็อย่าเชื่อ เพราะถ้าระบบเบรค ช่วงล่าง เฟืองท้าย รับไม่ไหว ก็มีอยู่ 2 อย่าง คือ พัง หรือไม่ก็เกิดอันตราย เช่น แรงจน “แหกโค้ง” หรือเร็วจนระบบเบรครับไม่ไหว อย่าไปหลงภูมิใจ ที่ทำให้คนอื่นทึ่งได้ว่า ทำไมรถรุ่นเก่าขนาดนี้ของเรา มันเร็ว และแรงได้ขนาดนี้ มีชีวิตอยู่ชื่นชมมัน นานๆ ดีกว่าครับ
อีกปัญหาที่ผมพบมานานแล้วว่า เป็นความเข้าใจผิด ที่ครอบงำคนไทยมาตลอดเวลา ไม่ใช่เฉพาะผู้ที่ชอบรถคลาสสิคเท่านั้นนะครับ แต่รวมไปถึงผู้ที่นิยมซื้อรถใช้แล้วด้วยว่า ค่าบูรณะรถให้มีสภาพดี ถูกใจ ใช้งานได้อย่างปลอดภัย “ห้ามเกินกว่ามูลค่าของรถก่อนบูรณะ” หรือถ้าเพิ่งซื้อมา ก็ห้ามซ่อมจนค่าซ่อมเกินราคารถ เพราะจะ “ไม่คุ้ม” ผมได้ยินแล้วงงมากครับ เพราะมันไร้สาระ ผมไม่เห็นว่า จะมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันตรงไหนเลย เหมือนมีใครมาตั้งกฎเกณฑ์ว่า ถ้าจะไปเที่ยวต่างจังหวัด ค่าโรงแรมแต่ละคืน ไม่ควรเกินค่าอาหารทุกมื้อในแต่ละวัน หรือถ้าจะสร้างบ้านใหม่ ค่าตกแต่งภายใน ต้องไม่เกินราคาของตัวบ้าน ไร้สาระทั้งนั้นครับ ฝ่ายไหน มันจะมากกว่าก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่ความพอใจของเรา หรืออาจมีเหตุผล อื่นประกอบอีกก็ได้ ที่จริงแล้วมันน่าจะตรงกันข้ามเสียด้วย ถ้าผมซื้อรถ คันหนึ่งมาได้ในราคาต่ำเป็นพิเศษ ผมย่อมจะเหลือเงินมากขึ้น สำหรับการซ่อมแซม หรือบูรณะมัน ในเมื่อรถคลาสสิค ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นของชีวิต เรามีมันเมื่อพร้อมที่จะมี เพราะฉะนั้นต้องให้มันทั้งดี และทั้งสวยด้วยครับ ถ้ามามัวแต่ประหยัดค่าบูรณะ หรือจ่ายไม่ลง อย่ามีดีกว่าครับ ยกเว้นถ้าชอบจริง แต่ทุนยัง
ไม่เพียงพอ และเป็นรถรุ่นที่หายากมาก (ไม่ได้หมายความว่า ราคาสูงมากนะครับ) ถ้าขืนรอจนมีเงินพอ ก็อาจจะหาซื้อไม่ได้แล้ว กรณีอย่างนี้พออนุโลมให้ซื้อมาจอดรอไว้ก่อนได้ครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2565
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/413627