ตลาดรถยนต์ทั่วโลกเริ่มขานรับรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV กันอย่างคึกคัก มีการเร่งพัฒนา และผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อมาแทนที่รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศในยุโรป มีมาตรการ และความชัดเจนมาก มีการกำหนดปีที่จะเลิกผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน เช่น ประเทศเยอรมนี, สหราชอาณาจักร, เนเธอร์แลนด์ กำหนดไว้ในปี 2573 ส่วนประเทศฝรั่งเศส กำหนดไว้ในปี 2583 และที่เร็วสุด คือ ประเทศนอร์เวย์ กำหนดไว้ในปี 2568 หรือในอีก 4 ปีข้างหน้า นอร์เวย์จะจำหน่ายเฉพาะรถ EV 100 % เท่านั้นwww.barrons.com ตีพิมพ์บทความวิเคราะห์ยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า คาดการณ์ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะครองตลาดในอีก 19 ปีข้างหน้า โดยระบุว่า ยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้าจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นไปจนถึงปี 2583 ในทุกตลาดทั่วโลก พร้อมคาดการณ์ว่าค่าย VOLKSWAGEN (โฟล์คสวาเกน) จะเป็นผู้ขายรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุด รถยนต์ไฟฟ้าจะเริ่มเข้ามาครองส่วนแบ่งการตลาดด้านยอดจำหน่ายรถยนต์รุ่นใหม่ประมาณ 45 % ภายในปี 2573 และเพิ่มขึ้นเป็น 94 % ภายในปี 2583 ใช้เวลาประมาณ 19 ปี ในการยึดครองอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลก ผู้นำด้านยอดจำหน่าย น่าจะเป็น VOLKSWAGEN คาดว่าจะทำยอดจำหน่ายได้ 9.2 ล้านคัน ในปี 2583 ครองส่วนแบ่งตลาด 11.4 % ส่วนค่าย TESLA (เทสลา) น่าจะมียอดจำหน่ายประมาณ 8.2 ล้านคัน ครองส่วนแบ่งตลาดราว 10.1 % (ปี 2563 มียอดจำหน่ายประมาณ 5 แสนคัน) ที่น่าสนใจ คือ ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าน้องใหม่จากจีน หากรวมเป็นกลุ่มแล้ว ตั้งแต่ค่าย NIO (นีโอ), XPENG (เสี่ยวเผิง) และ LI AUTO (ลี ออโท) จะมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันประมาณ 11 % ขณะที่ NIO ที่กำลังโด่งดังในตอนนี้ จะมีส่วนแบ่งการตลาดในปี 2583 น้อยกว่า 1 % ส่วนค่ายรถฝั่งอเมริกัน อาทิ GM (เจเนอรัล มอเตอร์ส) และ FORD (ฟอร์ด) ยังสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดจากการขายรถยนต์ไฟฟ้าได้เรื่อยๆ ขณะที่ค่ายญี่ปุ่น TOYOTA (โตโยตา) ประมาณการว่า ส่วนแบ่งตลาดในปัจจุบันทำได้ 11 % จะลดเหลือเพียง 4.3 % ภายในปี 2583 นั่นหมายความว่า ตลาดรถเครื่องยนต์สันดาปจะถูกรถยนต์ไฟฟ้าแย่งยอดขาย และครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่าอย่างแน่นอน ล่าสุดค่าย MERCEDES-BENZ (เมร์เซเดส-เบนซ์) ประกาศยุทธศาสตร์ระดับโลกขยับเป้าหมายการจำหน่ายรถ EV 100 % ภายในปี 2573 เร็วขึ้น 9 ปี ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดยุโรป และน่าดีใจที่จะดันประเทศไทยเป็นฐานการผลิตในเอเชีย MERCEDES-BENZ ประกาศย้ำชัดเจนว่า ภายในปี 2565 จะมีรถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบทเตอรี (BEV) ในทุกเซกเมนท์ และตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป รถรุ่นใหม่ที่ออกมาจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น โดยปรับกลยุทธ์จาก “รถยนต์ไฟฟ้านำ” (ELECTRIC-FIRST) สู่ “รถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น” (ELECTRIC-ONLY) และเตรียมเปิดตัว EQS (อีคิวเอส) ในเมืองไทยต้นปี 2565 ย้อนกลับไปดูงานวิจัยของ BLOOMBERG NEF ช่วงกลางปีที่ผ่านมา ระบุว่าในอีก 5 ปี รถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาถูกลง หรือเท่ากับรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน เมื่อเทียบกับรถในเซกเมนท์เดียวกัน โดยใช้ฐานข้อมูลรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรป ที่คาดการณ์ว่าอีก 10 ปี ข้างหน้า ราคาแบทเตอรีจะลดลงจากราคาปัจจุบันถึง 58 % นั่นแสดงว่าความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภคทั่วโลก เริ่มให้ความนิยมเพิ่มขึ้น สำหรับประเทศไทย คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ หรือบอร์ด EV ตั้งเป้าให้มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ สัดส่วน 30 % จากกำลังการผลิตทั้งหมดในปี 2573 หรืออีก 9 ปีข้างหน้า ซึ่งจากเดิมที่เคยตั้งเป้าไว้ในปี 2578 รถยนต์ที่ขายในไทยต้องเป็น EV 100 % แต่เราเชื่อว่าคงต้องดูความพร้อมด้านอื่นๆ ด้วย เห็นเป้าหมาย เห็นความชัดเจนของอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก เชื่อว่าการแข่งขันเริ่มรุนแรงขึ้น การ DISRUPTION เริ่มขึ้นแล้ว และส่งผลกระทบมาเร็วกว่าที่คิดไว้...แล้วเราล่ะ พร้อมไหมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า !