เหินน้ำ ความเป็นความตาย ที่รถดีแค่ไหน ก็ช่วยไม่ได้ !

กรณีรถสปอร์ทหรู “ซิ่ง” ฝ่าสายฝน แล้วเสียหลัก ข้ามฝั่งไปชนรถเก๋งอีกคันจนมีผู้เสียชีวิต คาดว่าสาเหตุมาจากการ “เหินน้ำ” ซึ่งเป็นอาการอันตราย ที่เกิดขึ้นได้กับรถทุกประเภท ดังนั้น จึงควรเรียนรู้วิธีรับมือ และลดความเสี่ยงเมื่อต้องเจอสถานการณ์นี้

อาการเหินน้ำคืออะไร ? อาการรถเหินน้ำ (HYDROPLANING หรือ AQUAPLANING) มักเกิดเมื่อขับรถด้วยความเร็วสูงผ่านบริเวณแอ่งน้ำท่วมขัง ทำให้ยางไม่สามารถรีดน้ำออกจากหน้าสัมผัสได้ทัน ส่งผลให้ล้อหมุนลอยอยู่บนน้ำ ไม่สัมผัสกับพื้นถนน เป็นเหตุให้ผู้ขับไม่สามารถควบคุมรถ หรือเบรคได้   อาการรถเหินน้ำ มักเกิดได้บ่อยในขณะฝนตก และจะอันตรายมากที่สุดในช่วงที่ฝนเพิ่งตกไม่เกิน 10 นาที เนื่องจากน้ำจะผสมกับน้ำมัน และฝุ่น ที่ตกค้างอยู่บนพื้นผิวการจราจร ทำให้ถนนลื่น และเกิดชั้นน้ำระหว่างพื้นถนนกับยางรถ   5 สาเหตุเหินน้ำ ความเร็ว     ยิ่งใช้ความเร็วมาก ความสามารถในการรีดน้ำของยางก็จะยิ่งลดลง เกิดอาการเหินน้ำได้ง่าย   พื้นผิวถนน     ถนนคอนกรีท ผิวเรียบ ความขรุขระน้อย มีโอกาสเกิดอาการเหินน้ำมากกว่าพื้นถนนที่มีส่วนผสมของยางมะตอย เพราะพื้นยางมะตอยจะมีความขรุขระทำให้รถทรงตัว และเกาะถนนได้ดีกว่า   ดอกยาง     ลักษณะ และความลึกของดอกยางเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากดอกยางมีหน้าที่รีดน้ำออกไปด้านข้างล้อ หากดอกยางเหลือน้อย ประสิทธิภาพในการรีดน้ำจะลดลง   ล้อ     ล้อรถที่มีหน้ากว้าง โอกาสเกิดอาการเหินน้ำก็จะมีน้อยกว่า   น้ำหนักบรรทุก     รถที่มีน้ำหนักมาก หรือบรรทุกของหนัก เมื่อลื่นไถลจะควบคุมได้ยากกว่ารถคันเล็กๆ   รับมืออย่างไร เมื่อรถเหินน้ำ ? ผู้ขับจะรับรู้ได้ทันทีเมื่อเกิดการเหินน้ำ เพราะทิศทางของรถจะผิดปกติ เครื่องยนต์จะส่งเสียงดังขึ้น พวงมาลัยจะเบา และช่วงท้ายรถจะปัด ส่วนใหญ่ผู้ขับจะตื่นตระหนกกับเหตุการณ์นี้ และสัญชาตญาณจะสั่งให้เหยียบเบรค แต่การเหยียบเบรคยิ่งจะทำให้สถานการณ์แย่ลง   วิธีแก้ไข ตั้งสติ ค่อยๆ ลดความเร็ว ด้วยการถอนคันเร่งช้าๆ และเปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำ ถ้าเป็นรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ ลด และรักษาความเร็วให้คงที่ โดยจับพวงมาลัยให้มั่นคง จนกว่ารถจะทรงตัวได้ จากนั้นจึงค่อยๆ เบรคจนรถหยุด   เข้าใจสถานการณ์ลื่นไถล กับระบบขับเคลื่อน รถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า     รถขับเคลื่อนล้อหน้า ถ้าเกิดอาการเหินน้ำ โอกาสเสียหลัก หรือรถหมุนจะเพิ่มขึ้น และแก้อาการได้ยากกว่ารถขับเคลื่อนล้อหลัง ดังนั้น อย่าเร่งความเร็วแบบฉับพลัน เมื่อฝนตกหนัก หรือสภาพถนนเริ่มมีแอ่งน้ำท่วมขัง   รถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง     รถขับเคลื่อนล้อหลัง จะสามารถควบคุมอาการเหินน้ำได้ง่ายกว่า โดยมักมีอาการรถท้ายปัดไถลออกด้านข้าง ให้ยกคันเร่ง ประคองพวงมาลัยเพื่อรักษาทิศทางของรถ อย่าเบรค หรือหมุนพวงมาลัยอย่างรวดเร็ว   รถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ     รถจะไม่เกิดอาการหมุนคว้างเมื่อขับผ่านแอ่งน้ำ เนื่องจากรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา (FULL-TIME) กับยางดีๆ จะให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะผิวถนนมากกว่าระบบขับเคลื่อนแบบอื่น แต่ถ้าสูญเสียการควบคุมให้ลดความเร็ว และรักษาทิศทางของรถเอาไว้   5 วิธีเลี่ยงเหินน้ำ     1. ขับรถให้ช้าลง เมื่อเจอถนนเปียกลื่น มีน้ำขัง หรือขณะฝนตก (ถ้าฝนตกหนักจนมองไม่เห็นทาง ให้หาที่จอดที่ปลอดภัย รอจนฝนซาแล้วค่อยเดินทางต่อ) การใช้ความเร็วต่ำจะทำให้ยางยึดเกาะกับพื้นถนนได้แนบสนิท และสมบูรณ์มากที่สุด ช่วยลดการลื่นไถล   2. อย่าแตะเบรคกะทันหัน เมื่ออยู่ในทางโค้ง ให้ชะลอ หรือเบรคเบาๆ ล่วงหน้าก่อนจะถึงโค้ง   3. จับพวงมาลัยให้พร้อมควบคุมรถตลอดเวลา   4. มีสติในการขับรถ คาดเข็มขัดนิรภัย และไม่ประมาท   5. เชคสภาพรถให้พร้อมใช้งานเสมอ โดยเฉพาะล้อ และยาง   อย่าชะล่าใจแม้จะใช้ยางดี ไม่มียางสมรรถนะสูงยี่ห้อใดที่สามารถรีดน้ำได้ 100 % ยางที่ดีจะรีดน้ำออกจากหน้ายางได้เร็ว แต่ไม่สามารถรีดน้ำได้หมด จึงมีโอกาสเสี่ยงเกิดอาการเหินน้ำไม่มากก็น้อย ยิ่งขับเร็วมาก การกดเพื่อไล่น้ำออกจากหน้าสัมผัสก็จะยิ่งแย่ลง รวมถึงการเหยียบเบรคกะทันหัน จะทำให้เกิดอาการเหินน้ำมากขึ้น เพราะยางจะหยุดรีดน้ำ ดังนั้น ควรขับด้วยความเร็วต่ำ ให้ยางหมุนผ่านผิวน้ำไปช้าๆ สามารถรีดน้ำได้อย่างเต็มที่   แม้เราจะรู้สาเหตุ และการป้องกันอาการเหินน้ำ แต่ให้จำไว้เสมอว่า การขับขี่ในช่วงฝนตกต้องเพิ่มความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เพราะมีความเสี่ยงมากกว่าปกติ โดยใช้ความเร็วให้เหมาะกับสภาพถนน ขับให้ช้าลง ไม่ประมาท หรือมั่นใจกับรถของตัวเองมากเกินไป เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีสติ และทันท่วงที