มาตรวัดตลาดรถ
มกราคม มาแรง
เปิดเดือนแรกของปี 2562 เพียงเดือนเดียว ยอดการขายรถยนต์ กลับพุ่งสูงถึง 17.3 % ขายกันได้ทั้งตลาด 78,061 คัน ทำเอาบรรดาเกจิอาจารย์ ได้แต่นั่งมองตากันปริบๆ เพราะประเมินกันไว้ว่า ปีนี้ ยอดขายจะไม่เพิ่มมากนัก แต่ค่อนข้างทรงตัว ใกล้เคียงกับปีที่แล้วก็ต้องคอยดูกันต่อไป เพราะปัจจัยลบที่มารุมเร้ากับยอดการขายรถยนต์ มีค่อนข้างเยอะมาก แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงจากการส่งออกสินค้า ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว แต่ก็ยังไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ในประเทศมากนัก ยิ่งท่านผู้ยิ่งใหญ่ โดนัลด์ ทรัมพ์ ประกาศเลื่อนการบังคับใช้อัตราภาษี กับประเทศจีน เพราะการเจรจาไปได้ด้วยดี เลยทำเอาค่อยหายใจคล่องกันหน่อย ยังเหลืออีกตั้ง 11 เดือน อย่าเพิ่งตกอกตกใจไป มาดูผลพวงจาก “ฝุ่นจิ๋ว” หรือ PM2.5 ที่หลายฝ่ายก็บอกว่า เกิดจากไอเสียรถยนต์ ทุกฝ่ายต่างยอมรับว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดของปัญหามลพิษดังกล่าวในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเฉพาะไอเสียจากรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซล การพัฒนามาตรฐานไอเสียของรถยนต์จึงเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายมองว่าอาจจะเป็นทางแก้ปัญหาในระยะยาว จากประเด็นปัญหาดังกล่าวหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้มีการเร่งพูดคุยกับค่ายรถ เกี่ยวกับการเร่งพัฒนารถยนต์ที่จะผลิตออกมาขายให้ได้มาตรฐานไอเสียระดับ ยูโร 5 ภายในปี 2564 อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการพัฒนาไปสู่มาตรฐานที่สูงขึ้นดังกล่าว/รถยนต์ 1 คัน ยังนับว่าค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในส่วนของรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งสูงถึงระหว่าง 10,000-25,000 บาท/คัน ต่างกับรถยนต์เครื่องยนต์เบนซิน ที่จะมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยระหว่าง 800-1,600 บาท/คันเท่านั้น โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ต้นทุนดังกล่าวนี้อาจส่งผลให้ผู้บริโภคต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นในการซื้อรถยนต์ในอนาคตข้างหน้า รวมทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 5 พันล้านบาท ในระยะ 1 ปี ก็ต้องดูความร่วมมือ หรือความตั้งใจในการสนับสนุนมาตรฐานไอเสียระดับ ยูโร 5 ภาครัฐอาจพิจารณามาตรการต่างๆ อาทิ การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตเพื่อสนับสนุนรถยนต์ที่ผ่านมาตรฐานไอเสียตั้งแต่ ยูโร 5 ขึ้นไป อันจะเป็นการช่วยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในฝั่งค่ายรถยนต์ และผู้ซื้อ ซึ่งภาครัฐสามารถทำได้ทั้งการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ที่ได้มาตรฐาน ไอเสียต่ำกว่า ยูโร 5 หรือการปรับลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ที่ผ่านมาตรฐานไอเสีย ยูโร 5 นอกจากนี้ยังอาจรวมไปถึงการส่งเสริมการผลิตรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ให้มีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า อันจะเป็นแนวทางการแก้ปัญหาการปล่อยมลพิษ และฝุ่นละออง PM2.5 ในระยะยาว โดยอาจเริ่มจากระบบไฮบริดก่อน แล้วขยับขึ้นไปสู่ระบบพลัก-อิน ไฮบริด ในอนาคต ดังเช่นในประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ แต่แม้ว่ารถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ จะมีการปรับมาตรฐานไอเสียขึ้นเป็นระดับ ยูโร 5 แล้ว แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงด้วย คือ รถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลเก่าที่ยังไม่ได้มาตรฐานไอเสีย ยูโร 5 ซึ่งมีจำนวนสะสมสูงถึงกว่า 3,000,000 คัน ณ สิ้นปี 2561 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร อันเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบสูงสุดจากเหตุปัจจัยดังกล่าว โดยรถยนต์เหล่านี้ควรที่จะต้องมีการปรับทูนระบบเครื่องยนต์ให้เพิ่มขึ้นเป็นระดับมาตรฐานไอเสีย ยูโร 5 ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ก่อน อย่างไรก็ตามการจะลดมลพิษจากไอเสียรถยนต์อย่างสมบูรณ์มากขึ้น ผู้บริโภคจะต้องเลือกใช้น้ำมันดีเซล ยูโร 5 ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งภาคเอกชนต้องใช้เงินลงทุนอย่างสูงกว่าหลายหมื่นล้านบาท และภาระต้นทุนอาจตกมาสู่ผู้บริโภค ผ่านราคาน้ำมันดีเซล ยูโร 5 ที่อาจถูกปรับเพิ่มขึ้นกว่าปกติ 50-60 สตางค์ ดังนั้นเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการใช้น้ำมันดังกล่าว การอุดหนุนราคาน้ำมันอาจเป็นประเด็นที่ภาครัฐควรนำมาพิจารณาด้วย เพื่อให้โครงสร้างราคาเอื้อต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคที่ง่ายขึ้น ทั้งหลายทั้งปวง ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้บริโภคด้วย ว่าจะช่วยกันสนับสนุนการใช้งานน้ำมันดีเซล ยูโร 5 ที่มีราคาแพงกว่าราคาน้ำมันดีเซลในปัจจุบันอยู่แล้ว เพื่อร่วมกันแก้ไขผลกระทบจาก “ฝุ่นจิ๋ว” ให้อากาศสะอาด ปราศจากมลภาวะที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเราเองหรือไม่ อย่างไร
ABOUT THE AUTHOR
ม
มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2562
คอลัมน์ Online : มาตรวัดตลาดรถ