รอบรู้เรื่องรถ
สื่อสิ่งพิมพ์ไม่มีวันตาย
คอลัมน์รอบรู้เรื่องรถของผม มักจะเป็นเรื่องเดียวทั้งคอลัมน์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเหตุผลเดียวเท่านั้นเองครับ คือ ถ้าเป็นเรื่องสั้นปลีกย่อยรวมกัน ผมจะมีปัญหาในการตั้งชื่อเรื่อง เพราะตั้งได้ชื่อเดียว ถ้าเลือกชื่อเรื่องที่ผมเห็นว่าสำคัญกว่าเรื่องอื่น ก็อาจเห็นแล้วไม่รู้สึกว่าอยากอ่านครับ ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ผมจึงมีเรื่องย่อย สั่งสมเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ มาเป็นปีแล้ว บางเรื่องนั้นถึงจะสั้นนิดเดียว แต่ประโยชน์ หรือความสำคัญ กลับมากกว่าเรื่องยาวเสียอีกครับ เพื่อให้ส่งทันกำหนดผมจึงลงมือเขียน โดยที่ยังไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเลือกเรื่องไหนเป็นชื่อคอลัมน์ประจำเดือนนี้ครับแม้ชีวิตและหน้าที่การงานของผมในอดีตจะเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พยายามหลีกเลี่ยงใช้คำนี้มาตลอดครับ เพราะที่ถูกต้องออกเสียงคล้าย จ จาน ในภาษาไทย ไม่ใช่ ย ยักษ์) ผมกลับ “รับไม่ได้” และต่อต้านการทำนายอนาคตในด้านนี้ของพวกที่ต้องการให้คนที่ตื่นเต้น “เอามัน” หรือไม่ก็ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจจริงๆ ประเภทอีกไม่ถึง 10 ปี จะมีรถไฟฟ้าถูกใช้งานบนถนนกันครึ่งค่อนโลก อย่าไปเชื่อและตื่นเต้นตามนะครับ เพราะคนพวกนี้หาเงินเข้ากระเป๋าจากความหลงเชื่อนี่แหละครับ ถ้าบรรยายแต่ความจริง จะหาคนซื้อตั๋วมาฟัง หรือซื้อหนังสือไปอ่านได้ไม่มากพอ รวยช้าไปหน่อยครับ เมื่อประมาณ 20 กว่าปี ที่ผ่านมามีการตื่นตัวกับเรื่อง หนังสืออีเลคทรอนิคกันอย่างมาก ถึงขั้นทำนายกันว่า สิ่งพิมพ์แท้จริง ที่พิมพ์หมึกลงบนกระดาษแล้วเย็บเล่มจะ “สูญพันธุ์” ไปในไม่ช้าอย่างแน่นอน ผมไม่เคยเชื่อ หรือคล้อยตามแม้แต่น้อยครับ ด้วยเหตุผลบางประการที่สนับสนุนความเห็นของผม ประการแรก “ธรรมชาติ” ของตัวผม เป็นคนที่ชอบสิ่งที่มีคุณภาพครับ และที่สำคัญคือ ต้องเป็นของแท้เท่านั้นจึงจะมีคุณค่า (แต่ก็มีข้อยกเว้น เช่น ของแท้ดั้งเดิมขายราคาสูงเกินคุณภาพ ไม่สมเหตุสมผล และของเทียมก็ใช้ได้ดีเช่นกัน แบบนี้อนุโลมได้ครับ) สำหรับผู้อ่านที่ชอบหนังสือเป็นชีวิตจิตใจเช่นเดียวกับผม ข้ามช่วงนี้ไปได้เลยครับ ผมขอยกตัวอย่างหนังสือประเภทที่เน้นภาพประกอบนะครับ สำหรับคนที่ชอบรถ หรือเครื่องบิน เครื่องประดับ วัตถุโบราณ อัญมณี แบบบ้าน การตกแต่งร้านค้า เครื่องหนัง เสื้อผ้า ฯลฯ ไม่มีอะไรมาทดแทนหนังสือที่มีภาพและคำบรรยายประกอบในเรื่องที่เราสนใจได้เลยนะครับ เป็นหนังสือที่ผลิตอย่างประณีต ภาพพิมพ์อย่างดี ปกแข็ง มีทั้งแบบมีภาพที่ตัวปกจริงๆ หรือจะเป็นภาพบนปกอ่อนที่หุ้มปกแข็งไว้อีกทีก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นยามว่างในวันหยุดงาน หรือช่วงค่ำหลังภารกิจที่ผ่านมาทั้งวัน หนังสือเนื้อหาที่ดีถูกใจเรา ผลิตโดยคนที่เข้าใจการทำหนังสือ และเข้าใจจิตใจคนรักหนังสือ จะให้ความพึงพอใจในระดับที่หาจากอย่างอื่นได้ยากพอสมควรครับ (ผมไม่ค่อยกล้าใช้คำว่าความสุขครับ ถ้าไม่จำเป็น กลัวพวกคลั่งธรรมะ คอยค้านว่ามันมีสุขแท้ สุขเทียม) ความรู้สึกที่กล่าวมานี้ เราไม่มีทางได้จากอุปกรณ์สร้างภาพด้วยระบบอีเลคทรอนิคนะครับ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ แลพทอพ โนทบุค คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หรือจะในชื่ออะไรก็ตาม เพราะมันไม่ได้มีตัวตนเป็นหนังสือแต่อย่างใดทั้งสิ้นครับ มันคืออุปกรณ์ไฟฟ้าในระบบอีเลคทรอนิคที่ปล่อยแสงความเข้ม และสีได้มากมายหลายตำแหน่งบนจอ ให้ดวงตาของเรารับรู้ เสมือนได้เห็นภาพจริง หรือภาพและตัวอักษรบนกระดาษ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง มันไม่ได้มีตัวตนให้เราจับต้องได้ ความแตกต่างที่ผมยกตัวอย่างมานี้ไม่ใช่จะเข้าใจได้ง่ายๆ ทันทีนะครับ ต้องใช้เวลาคิด ทบทวน ไม่ใช่แค่ครั้งหรือสองครั้ง และในเมื่อมันไม่ได้เป็นหนังสือที่แท้จริง มันก็อาจจะอันตรฐานหายไป เมื่อใดก็ตามที่อุปกรณ์ที่ใช้บรรจุข้อมูลชำรุด หรือเสื่อมสภาพ ต่างจากหนังสือจริง ที่ไม่มีวันสูญหายไปเอง ยกเว้นถูกขโมย ไฟไหม้ ปลวกกิน ฯลฯ พูดง่ายๆ ก็คือ มันจะอยู่กับเราตลอดไป ถ้าเราดูแลมันอย่างดี คำว่าตลอดไปในที่นี้ หมายถึงช่วงเวลาที่เราจะใช้งานและชื่นชมมันได้ เท่านี้ก็พอแล้วนะครับ เช่น จากอายุ 20 กว่า ไปจนถึงสัก 70 กว่าปี 50 ปี ก็พอแล้วครับ ในทางปฏิบัติ ผมว่าให้มันทำหน้าที่สัก 30 ปี ก็คุ้มแล้ว ผู้อ่านที่ชอบสังเกต คงจะเห็นว่่า ในเรื่องนี้ ไม่มีคำว่า “ที่ดี” อยู่ด้วยเพราะถ้าหากมี จะเป็นการไม่ให้ความเป็นธรรมและความเห็นใจ ต่อเพื่อนร่วมอาชีพของเราครับ ทั้งนี้ก็เพราะว่า สื่อสิ่งพิมพ์ที่ดีหรือดีมากเพียงใด ก็มีโอกาส “ตาย” ได้เสมอครับ เช่น อาจจะเน้นคุณภาพมากจนต้นทุนสูง ขณะที่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย ความต้องการของลูกค้าแปรเปลี่ยนไป มีคู่แข่งเพิ่มขึ้นมาหลายราย หรือไม่ก็ไม่ได้มีจุดอ่อนหรือปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่ประชาชนเกือบทั้งประเทศ จนลงไปเฉยๆ ในขณะที่มีคนที่ได้เปรียบเป็นกลุ่มเล็กเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น ที่รวยขึ้นมาโดยหาสาเหตุไม่ได้ ผมขอแสดงความเสียใจ ต่อทั้งเจ้าของกิจการและพนักงานเหล่านี้มา ณ ที่นี้ด้วย ส่วน “ฟอร์มูลา” ของเราไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใดครับ ด้วยองค์ประกอบหลายประการด้วยกัน เช่น ผู้บริหารให้ความสำคัญต่อคุณภาพของเนื้อหาอย่างจริงจัง เพราะเป็นนิตยสารที่ตั้งต้นในเครือ จะเรียกว่าเป็นแก่น หรือแกน ก็คงพอได้ ทีมงานก็ทำ งานกันอย่างทุ่มเทไว้ฝีมือ แต่ตบมือข้างเดียวคงทำให้เกิดเสียงไม่ได้ อีกฟากคือผู้อ่านทั้งกลุ่มดั้งเดิม ซึ่งติดตามผลงานกันมายาวนาน หลายท่านเกิน 30 ปี และก็ลดหลั่นกันลงมา จนถึงกลุ่มที่ยังไม่ถึงกับวัยทำงาน อีกส่วนก็เป็นความไว้วางใจ จากเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ พนักงานบริษัทเอกชน และมิได้จำกัดอยู่เฉพาะที่อยู่ในวงการรถยนต์เท่านั้น บริษัทห้างร้านที่ลงโฆษณากับเรามาอย่างยาวนาน ก็มีอยู่พอสมควรครับ ส่วนผู้ที่พอใจในระดับหนึ่ง แต่ยังซื้อไม่ลง ประเภทอยากรู้อะไร ค่อยหาทางอ่านฟรี เช่น ราคารถ ยามต้องการซื้อหรือขายรถ ผมขอบอกไว้เลยโดยที่มิได้มีผลประโยชน์ร่วมกับเจ้าของหนังสือว่าเข้าข่าย “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย” หลายคนคงยังไม่ทราบว่า ในประเทศนี้คนขายของสามารถฉ้อโกงด้วยวาจาได้ โดยไม่ผิดกฎหมาย (อาจจะมีบัญญัติไว้ครับ แต่ไม่มีการบังคับใช้) พนักงานขายรถ สามารถโกหกเราได้หน้าตาเฉย ว่ารถคันที่อยู่ข้างหน้าในร้านขายเป็นรุ่นปัจจุบัน หรือรุ่นล่าสุด และอีกหลายปีจึงจะมีรุ่นใหม่ออกจำหน่าย ทั้งๆ ที่มีรุ่นใหม่ออกขายในต่างประเทศมาเกือบ 1 ปีเต็มแล้ว และเพียงอีกเดือนเดียว ก็จะเริ่มจำหน่ายในประเทศไทย พฤติกรรมชั่วอย่างนี้ ในประเทศพัฒนาแล้วที่แท้จริง จะถูกลงโทษตามกฏหมายว่าฉ้อโกงหลอกลวงด้วยคำพูด ถูกปรับเป็นแสนเป็นล้านหรือแถมคุกให้ด้วยอย่างสาสม แต่ในประเทศ “แหวนแม่ นาฬิกาเพื่อน” คนขายมันจะตะแบง อย่างไรก็ได้ครับ บอกว่่าได้ยินมาอย่างนี้ เคยอ่านว่าอย่างนั้น เอาเรื่องมันให้มันรับผิดชอบไม่มีทางได้ เหลือทางเดียวครับ คือมีความรู้เอง ด้วยการติดตามข่าวสารในวงการรถยนต์จากทั่วโลก และผมก็ไม่เห็นข้อมูลที่ไหนจะง่ายต่อการอ่านประดับความรู้ หรือนำมาใช้งานจริง ได้เท่ากับคอลัมน์ต่างประเทศ ที่คุณชูศักดิ์ ชมจินดา นักเขียนอาวุโสของเรา จัด “ใส่พาน” มาให้อย่างดีทุกเดือน เนื้อหาที่เราได้อ่านกันนี่ไม่ได้แปลมาตรงๆ นะครับ แต่มาจากการกลั่นกรอง ตัดต่อ ตรวจสอบความถูกต้อง และความเหมาะสมสำหรับคนชอบรถ และผู้ใช้รถชาวไทย ถึงใครจะไม่ชอบคอลัมน์ไหนเป็นพิเศษ แค่ใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่ว่านี้แล้ว ไม่ถูกคนขายรถหลอกลวงก็คุ้มยิ่งกว่าคุ้มแล้วครับ เพียงแค่ค่าหนังสือปีละ 1,080 บาท 12 เล่ม แล้วไม่ต้องพลาด ถูกหลอกให้ซื้อรถตกรุ่นแล้ว หรืออีกไม่กี่เดือนจะตกรุ่น มูลค่าของรถรุ่นเก่าจะตกลงทันทีที่รถรุ่นใหม่ออก หรือมีข่าวว่าจะออกในเวลาอันสั้น ถ้าเป็นรถธรรมดา ก็ไม่ต่ำกว่าแสนนะครับ ส่วนรถหรู หรือรถสปอร์ทราคาสูง เงินหายไปทันทีเป็นล้าน และอาจจะไม่ใช่แค่ล้านเดียวด้วย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมแวะร้านขายหนังสือต่างประเทศที่ผมเป็นขาประจำในศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง ในประเทศไทยมีเพียง 2 บริษัทเท่านั้นครับ คือ ของคนไทย กับของคนญี่ปุ่น ค่ายแรกจะไม่ห่อหนังสือ ลูกค้าสามารถเปิดอ่านเนื้อหาคร่าวๆ ได้ ว่าถูกใจและน่าซื้อหรือไม่ ซึ่งก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่ง แต่ก็มีข้อเสีย คือ ถ้าเหลือเพียงไม่กี่เล่ม หรือแค่เล่มสุดท้าย ก็จะโทรมหรือ “ช้ำ” จนเราไม่อยากได้ ส่วนค่ายญี่ปุ่นเน้นส่งมอบของใหม่เอี่ยมให้ลูกค้า จึงห่อพลาสติคใสไว้ ไม่ได้หวงนะครับ ลูกค้าสามารถถือไปขอให้เขาแกะให้ดูได้ แต่พอถึงเล่มที่ 2 หรือ 3 เราก็จะเกิดความเกรงใจพนักงานแล้ว ร้านในเครือของคนไทย จึงเป็นแหล่งโปรดปรานของนัก “อ่านฟรี” บางคน ครั้งล่าสุดที่ผมพบเป็นชายอายุประมาณ 50 กว่าปี ใส่เสื้อราคาตัวละไม่ต่ำกว่า 4,000 บาท รองเท้าคู่ละเกือบ 2 หมื่นบาท กางเกงผมดูไม่ออกครับ นาฬิกาประมาณ 5 แสนบาท กำลังยืนอ่านนิตยสารรถ (ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษทั้งร้าน) ขวางทางจนผมหยิบเล่มที่ผมต้องการซื้อไม่ได้ ผมจึงชมหนังสืออื่นระหว่างรอ ปรากฏว่านายคนนี้ หยิบอ่านฟรีทุกเล่มที่เรียงกันอยู่ครับ หนังสือเหล่านี้ราคาสมเหตุสมผล เล่มละประมาณ 300 กว่า ถึง 500 กว่าบาท ไม่ได้มากมายอะไรเลย แต่มันคงมากไปสำหรับมนุษย์ที่เอาเปรียบสังคม เอาเปรียบเพื่อนมนุษย์อย่างนายคนนี้ ถ้าไม่ต้องมีเรื่องวิวาท ผมอยากจะเข้าไปหา แล้วบอกว่า “สิ่งที่คุณทำอยู่ แล้วนึกว่าฉลาดกว่าคนอื่นนั้น ที่จริงมันคือความโง่ คนที่เขาฉลาดจริง จะไม่มายืนเมื่อยขา เมื่อยคอ ฉวยโอกาสอ่านฟรีเช่นคุณ เอาเวลาเท่าที่คุณมาทนเมื่อย เอาเปรียบร้านหนังสืออยู่นี้ไปคิดหาเงินให้เพิ่มพูน แล้วเอามาซื้อหนังสือเหล่านี้กลับไปนั่งอ่านอย่างมีความสุข และไม่ต้องเอาเปรียบเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน” เชื่อไหมครับ ถ้าโลกนี้มีมนุษย์อย่างคนนี้ ผมพบเป็นสัดส่วนสัก 30 % ขึ้นไป คงไม่มีหนังสือ “ฟอร์มูลา” ไม่มีหนังสือ ไม่มีโรงพิมพ์ ไม่มีนักเขียน นักประพันธ์ ฯลฯ อย่างแน่นอนครับ แต่ละเดือนผมเสียเงินค่านิตยสารรถต่างประเทศมากพอสมควร ไม่ใช่รวยนะครับ แต่เป็นเพราะความชอบ ความอยากรู้ และไม่ใช่ซื้อตามใจชอบโดยไม่สนใจค่าใช้จ่าย แต่เลือกซื้อตามความชอบและความรู้สึกว่าคุ้มค่า ถ้าชอบแต่รู้สึกว่าไม่ค่อยคุ้มกับราคาก็จะข้ามไป ผมไม่เคยไปด้านหน้าอ่านฟรี เช่น รายที่ผมเอ่ยถึง แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่เหมือนกันครับ ในความเห็นส่วนตัวของผม และโดยเฉพาะสำหรับหนังสือภาษาไทย ซึ่งร้านในเครืออันดับหนึ่ง ป้ายสีแดงที่รู้จักกันดี ก็เปิดโอกาสให้อ่านกันตามสบายอยู่แล้วครับ ผมว่าถ้าเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือผู้ที่มีรายได้น้อย และอยากได้ความรู้เพียงส่วนเดียวของหนังสือ ผมไม่ขัดข้องครับ ไม่ผิดระเบียบของร้านด้วย เอาเงินที่จะต้องซื้อหนังสือ ไปเป็นค่าอาหาร ค่าเดินทาง หรืออะไรที่จำเป็นกว่าก็ได้ทั้งนั้น
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2561
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/218904