รอบรู้เรื่องรถ
ฉาบสารกันลื่นบนถนน ทำถูกหลัก ปลอดภัยแน่ !
ผมเชื่อว่าผู้อ่านจำนวนไม่น้อย ที่นิยมการท่องเที่ยว น่าจะได้พบสิ่งแปลกใหม่บนเส้นทางหลายแห่ง ซึ่งก็คือ ผิวถนนที่ถูกฉาบด้วยสารสีแดง มักอยู่ตามทางโค้งหรือลาดชัน และคงจะสงสัยกันมากว่ามันคืออะไร ที่สำคัญก็คือ ทาไว้เพื่อประโยชน์อะไรมันคือสารกันลื่นครับ ชื่ออย่างเป็นทางการ คือ สารเคลือบผิวถนนเพื่อต้านการลื่นไถล (ANTI-SKID ROAD SURFACING MATERIAL) หรือจะเรียกว่า สีโพลีเมอร์แรงเสียดทานสูง (HIGH-FRICTION POLYMER PAINT) ก็ได้ ประโยชน์ของมันก็คือ ที่มาของชื่อที่ว่ามานั่นเองครับ คือ ลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุ จากการลื่นไถลของหน้ายางกับผิวถนน เมื่อใดก็ตามที่จำเป็นต้องอาศัยแรงเสียดทานสูงสำหรับการควบคุมรถ เช่น ขณะเบรค และขณะเลี้ยวบนทางโค้ง สารเพิ่มแรงเสียดทานที่ว่านี้ ทำจากหินแร่อลูมิเนียม หรือบอกไซท์ (BAVXITE) ที่นำมาให้ความร้อนสูง และป่นเป็นผงละเอียดในขนาดที่เหมาะสม ไม่ใช่ละเอียดยิบจนเหมือนแป้งนะครับ การให้ความร้อนก็ต้องเหมาะสมไม่ร้อนถึงขนาดที่จะหลอมเอาแร่อลูมิเนียมออกมาใช้ บางคนอาจจะสงสัยว่า ถ้ามีแร่อลูมิเนียมอยู่ในตัวมัน ทำไมเอามาใช้กับผิวถนน ซึ่งดูเหมือนไม่น่าจะคุ้ม ทำได้ครับ เพราะเจ้าหินแร่อลูมิเนียม หรือบอกไซท์นี้ มันมีอยู่บนโลกมากมายมหาศาล ระดับที่ไม่ต้องไปขุดคุ้ยหา แต่บังเอิญไม่มีในประเทศไทย ซึ่งก็แล้วแต่มุมมอง ว่าน่าเสียดาย หรือว่าโชคดีแล้ว ความเห็นส่วนตัวผมเป็นกรณีหลังครับ เพราะถ้ามีในประเทศเรา คงจะขุดทุบ หรือวิธีใดก็แล้วแต่ เอามาผลิตอลูมิเนียมกันแบบไม่ลืมหูลืมตา ผู้ที่จะเดือดร้อนสังเวยความร่ำรวยของนายทุนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ชาวไร่ ชาวสวน, ชาวนาที่ยากจนนั่นเอง ประเทศที่ส่งออกบอกไซท์รายใหญ่ คือ จีน รองลงมาก็ประเทศแถบทวีปอเมริกาใต้ เช่น ไกยานา (GUYANA) การอบให้ร้อนจนแตกตัวเป็นผงนี้ (CALCINE) มีคำแปลในภาษาไทยด้วยนะครับ เป็นภาษาทางวิชาการที่ไม่ค่อยนิยมใช้ ใครเอาไปพูดอาจถูกหัวเราะเยาะ สะตุ ครับ ผมว่ามันเป็นสิ่งดีของวัฒนธรรมไทย ที่มีคำในภาษาไทยของเราไว้ใช้กับสิ่งต่างๆ หรือกรรมวิธีใดๆ ศัพท์ทางเทคนิคต่างๆ ที่แม้ประเทศอุตสาหกรรมซึ่งก้าวหน้ากว่าเราอย่างมาก เช่น ญี่ปุ่น ก็ยังไม่มีใช้ในภาษาของตนเอง แต่ไทยเรามีเกือบครบ ยกตัวอย่างเฉพาะในแวดวงรถยนต์ เครื่องยนต์ เช่น เพลาข้อเหวี่ยง เพลาลูกเบี้ยว กระเดื่อง เครื่องยนต์สลักเกลียว หรือชิ้นส่วนในวงการก่อสร้างชิ้นส่วนของบ้านเรือน ตั้งแต่ยอดหลังคา ลงมาจนถึงฐานราก (คำนี้หลายชาติก็ใช้ภาษาอังกฤษ เพราะไม่มีคำของตัวเอง) เป็นสิ่งที่ควรภูมิใจครับ เมื่อใดที่มีศัพท์ทางเทคนิคใหม่ และคนไทยต้องใช้ ผมอยากให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่บัญญัติศัพท์เป็นภาษาไทย ทำทันทีครับ อย่ารอให้คนไทยต้องใช้คำทับศัพท์ในภาษาต่างประเทศจนคุ้นเคย ไม่สามารถหรือไม่ต้องการเปลี่ยน คำที่บัญญัตินี้ ไม่จำเป็นต้องมีความหมายตรงตัวกับคำในภาษาอังกฤษ หรือภาษาใดนะครับ ถ้าหาแล้วไม่ได้ คิดคำอะไรออกมาก็ได้ เมื่อใช้กันแพร่หลายแล้ว ความรู้สึกว่าแปลก หรือแปลมาไม่ตรง มันจะหมดไปเองยกตัวอย่างคำว่า PRESSURE ที่เราเลือกแปลว่าความดัน และใช้กันจนคุ้นเคยมานานแล้ว ถ้าเป็นคำที่บัญญัติใหม่ อาจมีคนท้วงติงกัน ว่าแปลได้แย่มาก เอาง่ายเข้าว่าเท่านั้น หรือในทางตรงกันข้าม คำว่า TEMPERATURE ที่เราเลือกใช้คำว่า อุณหภูมิ สมมติว่าถูกบัญญัติขึ้นใหม่ในตอนนี้ ก็จะถูกทักท้วงว่า ทำไมใช้คำนี้ ฟังหรือเห็นแล้ว ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับอะไรเลยด้วยซ้ำไปครับ สรุปแล้วขอให้แปลมาให้ทันการณ์เท่านั้น ตรงหรือไม่ตรง ไม่สำคัญ แค่รีบประกาศใช้เป็นทางการแทนคำในภาษาต่างประเทศก็พอครับ เรามาลองใช้กันเลยดีกว่า สาเหตุที่นิยมนำ บอกไซท์ หรือหินแร่อลูมิเนียมมาสะตุ หรือมาให้ความร้อนจนแตกตัวเป็นเกล็ดหรือผง ก็เพราะมันมีคุณสมบัติบางประการ ที่เหมาะต่อการนำมาผสมสารสังเคราะห์ ให้เป็นสารฉาบผิวถนนเพื่อเพิ่มความฝืด หรือแรงเสียดทาน อย่างแรก คือ ความแข็งแกร่งของเนื้อบอกไซท์หลังการสะตุครับ อย่างที่ 2 คือ การคงสภาพ ไม่อ่อนตัวลดความแข็งลงไปตามกาลเวลา ไม่ว่าจะถูกแดดถูกฝนบ่อยแค่ไหน ข้อที่ 3 คือ ความเป็นเหลี่ยมคม ซึ่งจำเป็นต้องมี เพื่อให้มัน “จิก” เกาะผิวของหน้ายางของยานพาหนะ และข้อสุดท้าย คือ ความสามารถในการต้านทานความสึกหรอจากการถูกหน้ายางของยานพาหนะเสียดสีทุกครั้งที่ถูกแล่นทับ มีสารสร้างแรงเสียดทานดีอย่างเดียว ก็ทำอะไรไม่ได้มาก ต้องอาศัยสารยึดเกาะที่ดีด้วย ซึ่งต้องยึดทั้งเกล็ดบอกไซท์ และยังต้องยึดติดกับผิวถนนได้ทนนานแรมปี ทนได้ทั้งความร้อนจากแสงแดด และความชื้นจากน้ำฝนด้วย หน้าที่นี้เหมาะแก่สารประเภทโพลีเมอร์ครับ และเพื่อให้ผู้ขับรถแยกแยะผิวกันลื่น จากิวถนนที่ไม่ได้ถูกฉาบ ได้โดยง่าย จึงต้องผสมสีที่ฉูดฉาด มองเห็นได้ง่ายลงไปด้วย เช่น เขียว ขาว เหลือง แดง ส่วนตำแหน่งที่ควรทาหรือฉาบผิวถนนนั้นตามชื่อของมันครับ คือ ผิวถนนส่วนที่ต้องการให้หน้ายางของรถ ยึดเกาะด้วยแรงเสียดทานที่เพียงพอ ซึ่งก็คือ พื้นที่ที่ล้อของรถต้องรับแรงเบรค เช่น ก่อนถึงทางร่วม ทางแยก กับย่านที่ต้องรับแรงหนีศูนย์กลาง คือ ทางโค้งทั้งหลายสำหรับส่วนที่ต้องรับแรงเบรคนั้น ควรเน้นช่วงสุดท้ายก่อนที่รถจะต้องหยุดสนิท แต่ต้องมีความยาวพอสมควร ถ้างบประมาณมีจำกัด สามารถทา หรือฉาบให้ขาดตอนเป็นช่วง หรือเป็นแถบได้ครับ เพราะในขณะเบรคทางตรง แม้แรงเสียดทานระหว่างหน้ายางกับผิวถนน จะสูงต่ำสลับกันก็ไม่ทำให้รถเสียการทรงตัว แม้จะมีช่วงที่ล้อลอคหรือตายสลับกันไป หรือถ้ามีระบบป้องกันล้อลอค มันก็จะทำงานเป็นช่วงสลับกันได้ (กรณีที่ไม่ได้เบรคแรงเต็มที่) แต่ถ้าเป็นทางโค้งห้ามขาดตอนเด็ดขาดครับ เพราะถ้าล้อนอกโค้ง ยึดเกาะกับผิวถนนไม่อยู่ โดยเฉพาะช่วงที่ต้องรับภาระทั้งแรงเบรคและแรงหนีศูนย์ฯ หรือแรงเหวี่ยง แค่เพียงระยะสั้นสักเมตรเดียว รถก็อาจเสียการทรงตัวจนหมุน หรือไถลออกนอกผิวถนน ถ้าไม่กระแทกรั้วกั้น (ถ้ามีอยู่) ก็อาจตกข้างทางไปเลย ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ผมได้เห็นภาพผิวถนนที่ฉาบสารกันลื่นบนทางโค้ง แบบขาดตอนบนทางหลวงในภาคเหนือหลายแห่ง ถ้างบประมาณจำกัด ไม่พอสำหรับการฉาบผิวเต็มพื้นที่ของถนนช่วงทางโค้ง ผมขอแนะนำให้ฉาบเป็นแถบ 2 แถบครับ จะได้ไม่ต้องเว้นให้ ขาดตอน ความกว้างของแถบ และระยะห่างระหว่างแถบทั้งสอง ผมเชื่อว่ากรมทางหลวงหาได้ง่ายอยู่แล้ว จากข้อมูลในการสร้างสะพานขนาดเล็ก ที่มีแถบให้ล้อรถขนาดต่างๆกัน แล่นทับได้โดยไม่ตกไปด้านข้าง ก่อนถึงทางโค้งที่ฉาบสารกันลื่นนี้ไว้ ควรมีป้ายขนาดใหญ่ แจ้งผู้ใช้ถนนให้ทราบ เนื่องจากยังเป็นของใหม่สำหรับผู้ใช้รถส่วนใหญ่ ว่าต้องบังคับรถให้ล้ออยู่บนแถบกันลื่น สีนั้นๆเท่านั้น เท่าที่ผมพบล้วนใช้สีแดง ซึ่งถ้าเลือกสีเดียวไปเลยเช่นที่ว่านี้ ก็ดีเหมือนกันครับเพราะถ้ามีหลายสี คงจะทำให้ผู้ใช้ถนนเกิดความสงสัยโดยไม่จำเป็น ว่ามันต่างกันอย่างไรและก็คงจะมีการถือกันตามนิสัยคนไทย ว่าสีไหนดีที่สุด และลดความน่าเชื่อถือลงไปเปล่าๆ ครับ
อย่าลืมตรวจเชคระบบเบรค ก่อนเดินทางไกล
อีกไม่นานก็จะถึงเทศกาลปีใหม่ ที่หลายคนต้องท่องเที่ยวทางไกลกันอีกครั้งแล้วนะครับ ในที่นี้ผมหมายถึง การเดินทางไกลโดยรถยนต์ส่วนตัวที่มีจุดหมายปลายทาง 3 หรือ 4 ทิศ ซึ่งเป็นที่นิยมกัน การเตรียมรถให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ให้ความปลอดภัยและไร้ปัญหากลางทาง ผมเคยแนะนำไปหลายครั้งแล้ว คราวนี้จึงขอเน้นเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับระบบเบรคเท่านั้นครับ โดยเฉพาะผู้ที่จะไป ท่องเที่ยวทางทิศเหนือ ที่อาจจะผ่านเส้นทางที่ลาดชัน ซึ่งมีอยู่มากพอสมควร ผมขอให้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคทั้งระบบ หากเปลี่ยนมาครั้งสุดท้ายเมื่อ 2 ปีก่อน หรือเกินกว่านั้น เพราะน้ำมันเบรคมีคุณสมบัติที่ไม่พึงประสงค์ (แต่จำเป็นต้องมี) อยู่อย่างหนึ่ง คือ มันจะดูดไอน้ำในอากาศเข้าไปคลุกอยู่ในเนื้อมันเสมอ เพราะเราต้องการให้มันละลายน้ำที่บังเอิญหกเข้าไปปะปนในระบบ เพื่อให้มันยังทำงานได้ราบรื่น เพราะถ้ามันไม่ยอมละลายคลุกกับน้ำ แล้วมีน้ำล้วนๆ ลงไปขังอยู่ที่ก้ามเบรค แม้เพียงหยดเดียว เมื่อก้ามเบรคร้อนเกิน 100 องศาเซลเซียส และเดือดกลายเป็นไอน้ำ ระบบเบรคจะทำงานไม่ได้เลย ทุกครั้งที่เหยียบ แป้นเบรคจะจมจนถึงพื้นรถ โดยแทบไม่มีแรงเบรคที่ล้อเลย ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวของมัน แม้จะไม่มีน้ำหกลงไปในถ้วยน้ำมันเบรคโดยตรง ไอน้ำที่ถูกน้ำมันเบรคดูดซับจากอากาศในถ้วย จะทำให้น้ำมันเบรคมีจุดเดือดที่ต่ำลงกว่าน้ำมันใหม่ และถ้าบังเอิญเราต้องเบรคขณะลงเขาสูงชัน เป็นเวลานาน จนก้ามเบรคร้อนกว่าจุดเดือดของน้ำมันเบรค อาการที่เกิดก็จะไม่ต่างจากในตัวอย่าง ว่ามีหยดน้ำหลงอยู่ในก้ามเบรค ที่ผมกล่าวมาตอนต้นครับ รถของเราจะกลายเป็นรถไม่มีเบรคไปเลย ถ้ารถที่จะใช้เดินทาง มีน้ำมันเบรคสูงอายุเข้าข่ายนี้ รีบให้ช่างหรือแจ้งศูนย์บริการ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคใหม่ก่อนเดินทางได้เลยครับ และแม้จะไม่ขับไปเที่ยวทางไกลที่ไหน ก็ควรทำเหมือนกันครับ เพราะน้ำที่ปนอยู่ในน้ำมันเบรค จะกัดกร่อนให้ชิ้นส่วนด้านในเกิดสนิม ต้องเสียเงินค่าอะไหล่ใหม่ และค่าแรงซ่อมทั้งๆ ที่หลีกเลี่ยงได้ครับ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะทั้งปลอดภัยและประหยัดเงินด้วยเรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2560
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/202166