งานแสดงรถยนต์ในโลกใบน้อยใบนี้มีอยู่มากมายก่ายกอง จนน่าจะกล่าวได้ว่าไม่มีวันใดเลยใน 365 วันของแต่ละปี ที่ไม่มีงานแสดงรถยนต์อุบัติขึ้นในมุมหนึ่งมุมใดบนพื้นพิภพ อย่างไรก็ตาม ก็อย่างที่เคยบอกไปแล้วในนิตยสาร "สาระสะใจคนรักรถ" ฉบับนี้มากกว่า 1 ครั้งว่า งานแสดงรถยนต์ที่ OICA หรือองค์การระหว่างประเทศของผู้ผลิตรถยนต์ยกย่องให้เป็น MOST IMPORTANT INTERNATIONAL MOTOR SHOWS หรือ "มหกรรมยานยนต์นานาชาติที่สำคัญที่สุด" มีอยู่เพียง 5 รายการงานแสดงรถยนต์ 5 รายการนี้ ได้แก่ มหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ของเมืองมะกันซึ่งจัดเป็นประจำในเดือนมกราคมของทุกปี มหกรรมยานยนต์เจนีวาของเมืองนาฬิกาซึ่งจัดเป็นประจำในเดือนมีนาคมของทุกปี มหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทของเมืองเบียร์กับมหกรรมยานยนต์โตเกียวของเมืองปลาดิบ ซึ่งจัดเป็นประจำในเดือนกันยายนกับเดือนตุลาคมของทุกปีคริสต์ศักราชที่ลงท้ายด้วยเลขคี่ และมหกรรมยานยนต์ปารีสของเมืองน้ำหอมซึ่งจัดเป็นประจำในเดือนตุลาคมของทุกปีคริสต์ศักราชที่ลงท้ายด้วยเลขคู่ เราเคยบอกไปแล้วด้วยว่า เมื่อพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่จัดงาน พื้นที่การจัดงานจำนวนรถที่แสดงในงาน หรือคุณภาพและความน่าสนใจของรถที่แสดงในงาน ก็น่าจะฟันธงได้ว่างานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ มหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทของเมืองเบียร์ ซึ่งการจัดงานในปีนี้นับนิ้วได้ว่าจัดงานครั้งที่ 67 มีขึ้นในช่วงเวลา 11 วัน ระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 14-วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน 2017 โดยที่ 2 วันก่อนหน้านั้น คือ วันอังคารที่ 12 กับวันพุธที่ 13 เป็นวันที่สงวนไว้สำหรับสื่อมวลชนโดยเฉพาะ ทีมงานของ "สื่อสากล" เดินทางไปทำข่าวงานแสดงรถยนต์รายการนี้มานมนานจนไม่อยากเสียเวลานับว่ากี่ครั้ง ? แต่บอกได้ว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่เกิดความรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรงเหมือนที่เกิดในครั้งนี้ สาเหตุก็มีอยู่เพียงเรื่องเดียว คือ การขาดหายไปของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายสำคัญๆ นับสิบค่าย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลยกับงานสำคัญมากถึงมากที่สุด อย่างงานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ท ไล่เรียงกันตามสัญชาติได้ว่า ค่ายอิตาลีที่หายหน้าหายตาไปได้แก่ อัลฟา โรเมโอ (ALFA ROMEO) เฟียต (FIAT) และ ลันชา (LANCIA) ค่ายอังกฤษที่ไม่เห็นแม้แต่เงา คือ แอสตัน มาร์ทิน (ASTON MARTIN) กับ โรลล์ส-รอยศ์ (ROLLS-ROYCE) ค่ายฝรั่งเศส และสวีเดนที่ขาดหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ คือ เปอโฌต์ (PEUGEOT) กับ โวลโว (VOLVO) ค่ายญี่ปุ่นก็ไม่มีแม้แต่ยักษ์รองอย่าง นิสสัน (NISSAN) และอินฟินิที (INFINITI) ส่วนค่ายอเมริกันก็สูญพันธุ์กันไปหมด คือ ไม่มีแม้กระทั่ง จีพ (JEEP) ซึ่งรวมกิจการกับยักษ์ใหญ่ของเมืองมะกะโรนีไปแล้ว ผลลัพธ์ที่ติดตามมาก็คือ มหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทอันยิ่งใหญ่แทบจะเปลี่ยนสภาพเป็นงานแสดงรถยนต์ของเยอรมันโดยเยอรมันและเพื่อเยอรมันไปเลย จะเห็นได้จากรถใหม่รวม 42 คัน ที่เรานำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังใน 20 หน้าถัดจากนี้ มีอยู่ถึง 29 คัน หรือเท่ากับร้อยละ 69 ซึ่งล้วนเป็นผลงานของบริษัทรถยนต์สายเลือดเยอรมันและบริษัทร่วมเครือ ก็ได้แต่หวังว่าเหตุการณ์อย่างนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในงานครั้งหน้าที่จะมีขึ้นในปี 2019 เพราะเรายังอยากให้มหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทเป็นงาน "อินเตอร์" เช่นเดิม ที่ทำให้ใจชื้นอยู่บ้าง คือ การปรากฏตัวเป็นครั้งแรกของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์หน้าใหม่ๆ โดยเฉพาะบริษัทรถยนต์จากสาธารณรัฐประชาชนจีนที่เข้ามาปักหมุดในงานนี้ถึง 3 ค่าย คือ เชอรี (CHERY) ธันเดอร์ เพาเวอร์ (THUNDER POWER) และ เวย์ (WEY) เจ้าแรกเป็นบริษัทรถยนต์ของรัฐบาลจีนที่คนรักรถในเมืองไทยคงคุ้นเคยกันดี ถัดมาเป็นบริษัทผู้ผลิตรถพลังไฟฟ้าที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ ส่วนรายสุดท้ายเป็นบริษัทลูกของ GREAT WALL MOTORS ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถ เอสยูวี รายใหญ่ที่สุดของเมืองมังกร เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีอีกครั้งหนึ่งว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ของเมืองมังกรที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและน่าอิจฉาริษยา ไม่ได้จำกัดตัวไว้แต่เพียงในแผ่นดินของคนไว้หางเปียเท่านั้น
MERCEDES-BENZ CONCEPT EQA
เปิดรายงานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทครั้งที่ 67 ด้วย เมร์เซเดส-เบนซ์ คอนเซพท์ อีคิวเอ (MERCEDES-BENZ CONCEPT EQA) หนึ่งในบรรดารถแนวคิด 2-3 คันซึ่งค่าย "ดาวสามแฉก" นำออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถเก๋งแฮทช์แบค 3 ประตู/5 ที่นั่ง หน้าตาไฮเทค และเป็นต้นแบบของรถพลังไฟฟ้าขนาดเล็กที่ค่ายนี้ตั้งใจจะนำออกสู่ตลาดในปี 2020 ตัวถังขนาด 4.285x1.810x1.428 ม. ติดตั้งระบบขับทุกล้อด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด ทำงานร่วมกับแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาด 60 กิโลวัตต์ชั่วโมง ได้กำลังสุทธิสูงกว่า 200 กิโลวัตต์/272 แรงม้า และใช้เวลาไม่ถึง 5 วินาที ในการทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. การชาร์จไฟแต่ละครั้งซึ่งทำได้หลายวิธี รถจะวิ่งได้ไกลประมาณ 400 กม. ที่เยี่ยมมากก็คือ การชาร์จไฟแบบเร่งด่วนเพื่อให้รถวิ่งได้ไกล 100 กม. จะใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีMERCEDES-AMG PROJECT ONE
อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" เช่นกัน คือ เมร์เซเดส-เอเอมจี พโรเจคท์ วัน (MERCEDES-BENZ PROJECT ONE) ไฮเพอร์คาร์ประตูปีกนกซึ่งจะทำขายเพียง 275 คัน และมีผู้สั่งจองไว้หมดแล้วแม้ว่าตั้งค่าตัวไว้สูงลิบถึง 2.27 ล้านยูโร หรือประมาณ 90.8 ล้านบาทไทย ออกแบบ/พัฒนาด้วยเทคโนโลยีจากสนามแข่งรถ ฟอร์มูลา-1 ตัวถังซึ่งออกแบบให้นั่งเพียง 2 คน ติดตั้งระบบขับทุกล้อแบบไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ซึ่งใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC วี 6 สูบ 1,600 ซีซี ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ชุด แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน และระบบเกียร์ธรรมดา 8 จังหวะ ได้กำลังสุทธิสูงสุดที่สูงกว่า 740 กิโลวัตต์/1,000 แรงม้า นับเป็นรถที่แรงและเร็วจนต้องกลั้นลมหายใจ เพราะใช้เวลาไม่ถึง 6 วินาทีในการทำอัตราเร่ง 0-200 กม./ชม. ความเร็วสูงสุดก็สูงกว่า 350 กม./ชม. และเมื่อวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ จะวิ่งได้ไกลประมาณ 25 กม.MERCEDES-BENZ GLC F-CELL
นี่ก็เป็นอีกคันหนึ่งซึ่งอวดตัวแบบ WELTPREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ รถติดป้ายชื่อ เมร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลซี เอฟ-เซลล์ (MERCEDES-BENZ GLC F-CELL) ซึ่งเป็นต้นแบบของรถพลังไฟฟ้าที่ค่ายนี้ตั้งใจจะนำออกสู่ตลาดในปี 2018 ตัวถังขนาด 4.671x2.096x1.653 ม. ติดตั้งระบบขับซึ่งไม่เคยพบเคยเห็นกันมาก่อนในรถแบบใดๆ ที่วิ่งอยู่บนพื้นโลก คือ ขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 147 กิโลวัตต์/200 แรงม้า ที่รับพลังไฟฟ้าจาก 2 แหล่ง คือ จากเซลล์เชื้อเพลิง (FUEL-CELL) ซึ่งได้พลังไฟฟ้าจากการปฏิกิริยาทางเคมีระหว่างไฮโดรเจนกับออกซิเจน และจากแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ขนาด 13.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง เมื่อเติมไฮโดรเจนเต็ม 2 ถัง (4.4 กก.) รถจะวิ่งได้ไกล 437 กม. (เมื่อวัดตามมาตรฐาน NEDC ของยุโรป) และวิ่งได้ไกล 49 กม. จากพลังไฟของแบทเตอรีซึ่งใช้เวลาเพียง 1.5 ชั่วโมงในการชาร์จไฟ ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 160 กม./ชม.VISION MERCEDES-MAYBACH 6 CABRIOLET
แม่เหล็กดึงดูดสายตาอีกจุดหนึ่งในบูธของค่าย "ดาวสามแฉก" คือ วิชัน เมร์เซเดส-มายบัค 6 กาบริโอเลต์ (VISION MERCEDES-MAYBACH 6 CABRIOLET) ซึ่งเพิ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมการกุศล PEBBLE BEACH CONCOUR D'ELEGANCE ในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อกลางเดือนสิงหาคม และฉายซ้ำสองที่งานนี้ ไม่ได้ทำขึ้นใหม่ทั้งคัน แต่พัฒนามาอีกทอดหนึ่งจากรถคูเปหน้าตาคล้ายกัน โดยเปลี่ยนจากหลังคาแข็งติดตาย เป็นหลังคาเปิดประทุนแบบอ่อน ตัวถังขนาด 5.700x2.100x1.340 ม. ที่ออกแบบให้นั่งเพียง 2 คน ติดตั้งระบบขับทุกล้อด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัด 4 ชุด ให้กำลังรวม 550 กิโลวัตต์/750 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ซึ่งชาร์จไฟเต็มหม้อแต่ละครั้งรถจะวิ่งได้ไกลถึง 500 กม. (NEDC) และใช้เวลาไม่ถึง 4 วินาที ในการทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม.SMART VISION EQ FORTWO
รถแนวคิดอีกคันหนึ่งของค่าย "ดาวสามแฉก" ซึ่งปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้คือรถจิ๋วติดป้ายชื่อ สมาร์ท วิชัน อีคิว ฟอร์ทู (SMART VISION EQ FORTWO) เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถพลังไฟฟ้านั่ง 2 คน/ขับด้วยตัวเอง ที่ค่ายนี้รังสรรค์ขึ้นเพื่อรองรับ CAR-SHARING PROGRAMME หรือโครงการร่วมกันใช้รถ ซึ่งผลการศึกษาเป็นการภายในชี้ว่าภายในปี 2025 จะมีผู้ร่วมโครงการทั่วโลกมากกว่า 36 ล้านคน ตัวถังขนาด 2.699x1.720x1.535 ม. ซึ่งใกล้เคียงกันมากกับรถ สมาร์ท ฟอร์ทู (SMART FORTWO) ที่ขายอยู่ในขณะนี้ ติดตั้งระบบขับล้อหลังด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 1 ชุด ทำงานร่วมกันกับแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ขนาด 30 กิโลวัตต์ชั่วโมง ชาร์จไฟแต่ละครั้งจะวิ่งได้ไกลกว่า 300 กม. โดยที่ภายในห้องโดยสารไม่มีพวงมาลัยแป้นคันเร่งและแป้นห้ามล้อใดๆ แต่ใช้ระบบควบคุมการทำงานด้วยสมาร์ทโฟน หรือสั่งการด้วยเสียง (VOICE CONTROL)MERCEDES-BENZ S 560 E
ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์นำรถตลาดรุ่นใหม่ๆ ออกอวดโฉมในงานนี้เป็นกองทัพ ตัดสินใจเลือกมาเพียง 3 รุ่น ทั้งหมดล้วนเป็นรถแรงรถเร็วค่าตัวสูงที่กำลังจะเข้าสู่สายการผลิต คันแรก คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอส 560 อี (MERCEDES-BENZ S 560 E) เป็นรถไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซินฉีดตรง วี 6 สูบ 2,996 ซีซี 270 กิโลวัตต์/367 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า 90 กิโลวัตต์/122 แรงม้า แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน 13.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง และระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 5.0 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่เยี่ยมยอดมาก คือ แค่ 2.1 ลิตร/100 กม. หรือ 47.6 กม./ลิตรโดยเฉลี่ย แถมยังปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 49 กรัม/กม. และวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ได้ไกล 50 กม. นับเป็นรถ PLUG-IN HYBRID หรือไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊กแบบที่ 8 ที่ค่ายนี้ผลิตขายMERCEDES-AMG S 63 4MATIC+ COUPE
รถแรงรถเร็วติดป้ายชื่อ เมร์เซเดส-เอเอมจี เอส 63 4 เมทิค+คูเป (MERCEDES-AMG S 63 4MATIC+COUPE) ปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ พร้อมกันทั้งตัวถังคูเปและตัวถังเปิดประทุน ทั้ง 2 ตัวถังเป็นรถที่เพิ่งได้รับการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" พร้อมกันกับรถ เอส-คลาสส์ (S-CLASS) โมเดลอื่นๆ รถหัวกะทิ 2 รุ่นนี้ ติดตั้งเครื่องยนต์ไบเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC วี 8 สูบ 3,982 ซีซี 450 กิโลวัตต์/612 แรงม้า ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้าคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT MCT 9G ตัวเลขความเร็วเห็นแล้วต้องขยี้ตา ทั้งตัวถังคูเป และตัวถังกาบริโอเลต์ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาแค่ 3.5 วินาทีเท่านั้นเอง ส่วนความเร็วสูงสุดทั้ง 2 ตัวถังจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย หากต้องการให้เร็วกว่านี้ก็ต้องติดชุดตกแต่ง AMG DRIVER'S PACKAGE ซึ่งจะเพิ่มความเร็วสูงสุดเป็น 300 กม./ชม. ในบัดดลMERCEDES-AMG S 65 CABRIOLET
ผลงานใหม่ชุดสุดท้ายของค่าย "ดาวสามแฉก" ที่เลือกมาให้ชื่นชมกัน คือ รถแรงรถเร็วติดป้ายชื่อ เมร์เซเดส-เอเอมจี เอส 65 กาบริโอเลต์ (MERCEDES-BENZ S 65 CABRIOLET) ก็เป็นรถอีกรุ่นหนึ่งซึ่งปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ พร้อมๆกันทั้งตัวถังคูเปและตัวถังเปิดประทุน รถทั้งสองตัวถังซึ่งเพิ่งผ่านการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" นี้ ติดตั้งเครื่องยนต์ไบเทอร์โบเบนซิน SOHC วี 12 สูบ 5,980 ซีซี 463 กิโลวัตต์/630 แรงม้า ส่งกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT TCT 7G ตัวเลขความเร็วเป็นรอง เมร์เซเดส-เอเอมจี เอส 63 (MERCEDES-AMG S 63) อยู่นิดๆ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทั้ง 2 ตัวถังใช้เวลา 4.1 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. แล้วก็เช่นเดียวกัน หากยังไม่สะใจและต้องการให้เร็วกว่านี้ ก็ต้องติดชุดตกแต่ง AMG DRIVER'S PACKAGE ซึ่งจะปลดลอค และเพิ่มความเร็วเป็น 300 กม./ชม.BMW I VISION DYNAMICS
ค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" เป็นอีกเจ้าหนึ่งที่นำผลงานใหม่ๆ ออกอวดตัวในงานนี้เป็นกองทัพ ชิ้นแรกที่เลือกมาให้ชม คือ บีเอมดับเบิลยู ไอ วิชัน ไดนามิคส์ (BMW I VISION DYNAMICS) เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถเก๋งซีดานขนาดกลางไร้เครื่องยนต์ และเป็นต้นแบบของรถพลังไฟฟ้าที่ค่ายนี้ตั้งใจจะนำออกสู่ตลาดในปี 2021 พร้อมกับป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู ไอ 5 (BMW I5) ตัวถังขนาด 4.800x1.933x1.387 ม. ที่ออกแบบให้นั่งได้รวม 4 คน ติดตั้งระบบขับด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ที่ทำให้รถใช้เวลาเพียง 4 วินาที ในการทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำความเร็วสูงสุดที่สูงกว่า 200 กม./ชม. และชาร์จไฟแบทเตอรีแต่ละครั้งรถจะวิ่งได้ไกลถึง 600 กม. นับเป็นประจักษ์พยานสำคัญชิ้นหนึ่งที่ยืนยันคำประกาศของค่ายนี้ซึ่งบอกว่า ภายในปี 2025 บีเอมดับเบิลยู จะมีรถรวม 25 แบบที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า และในจำนวนนี้ 12 แบบจะเป็นรถที่ขับด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆBMW CONCEPT X7 IPERFORMANCE
ปรากฏตัวแบบ WELTPREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้เช่นกัน คือ บีเอมดับเบิลยู คอนเซพท์ เอกซ์ 7 ไอเพอร์ฟอร์มานศ์ (BMW CONCEPT X7 IPERFORMANCE) รถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถเอสยูวี สุดหรู และเป็นต้นแบบของรถอนุกรมใหม่ที่ค่ายนี้กำหนดไว้แล้วว่าจะนำออกสู่โชว์รูมในปี 2018 พร้อมกับป้ายชื่อที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน คือ บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 7 (BMW X7) และคำประกาศสรรพคุณว่าเป็นรถยนต์นั่งขนาดที่สุดในประวัติศาสตร์ของค่ายนี้ ตัวถังขนาด 5.020x2.020x1.800 ม. มีห้องโดยสารติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 3 แถว นั่งได้รวม 6 คน เป็นห้องโดยสารที่ออกแบบได้ดีเน้นความสะดวกสบายและความโปร่งแสง ผู้โดยสารบนเก้าอี้ที่นั่งแถวสองมีพื้นที่วางแข้งวางขาพอๆ กับผู้โดยสารบนเบาะหน้า ติดตั้งระบบขับไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ (PLUG-IN HYBRID) ที่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใดๆ บอกแต่เพียงว่าวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ได้ไกลถึง 100 กม.BMW X3
เปิดเผยโฉมหน้าและรายละเอียดผ่านสื่อต่างๆ มาก่อนแล้ว แต่ตัวจริงเสียงไม่จริงเพิ่งอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 3 (BMW X3) รุ่นใหม่ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 3 มีขนาดตัวถัง 4.708x1.891x1.676 ม. คือ โตขึ้นนิดหน่อยเมื่อเทียบกับรถรุ่นเดิมซึ่งมีขนาด 4.657x1.881x1.678 ม. ส่วนค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศซึ่งบ่งบอกความลื่นลมก็อยู่ในเกณฑ์ดี คือ อยู่ระหว่าง 0.29-0.33 มีกำหนดออกโชว์รูมในเดือนธันวาคมนี้ โดยมีรถให้เลือกรวม 5 โมเดล คือ X3 XDRIVE20I (เบนซิน 135 กิโลวัตต์/184 แรงม้า) X3 XDRIVE30I (เบนซิน 185 กิโลวัตต์/252 แรงม้า) X3 M40I (เบนซิน 265 กิโลวัตต์/360 แรงม้า) X3 XDRIVE20D (ดีเซล 140 กิโลวัตต์/190 แรงม้า) และ X3 XDRIVE30D (ดีเซล 195 กิโลวัตต์/265 แรงม้า) ค่าตัวรวมภาษีมูลค่าเพิ่มในเยอรมนี เริ่มต้นที่ 44,000 ยูโร หรือประมาณ 1.76 ล้านบาทไทยBMW CONCEPT 8-SERIES
ปรากฏตัว "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมยานยนต์คลาสสิค CONCORSO D'ELEGANZA VILLA D'ESTE ซึ่งมีขึ้นในอิตาลีเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมของปีไก่นาตาฟางแล้วฉายซ้ำสองที่งานนี้ คือ บีเอมดับเบิลยู คอนเซพท์ 8-ซีรีส์ (BMW CONCEPT 8-SERIES) จุดดึงดูดสายตาอีกจุดหนึ่งในพื้นที่อันกว้างขวางแต่ค่อนข้างซับซ้อนของค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถเก๋งคูเปสุดหรูขนาดใหญ่ และเป็นต้นแบบของรถอนุกรมใหม่ที่ค่ายนี้ตั้งใจจะนำออกสู่ตลาดในปี 2018 โดยติดป้ายชื่อ BMW 8-SERIES COUPE และถัดจากนั้นอีกไม่เกิน 1 ปี ก็จะเป็นคิวของรถเปิดประทุน BMW 8-SERIES CABRIOLET หน้าตาและรูปทรงองค์เอวของตัวถังซึ่งเห็นได้ชัดว่าออกแบบโดยไม่ยึดติดกับรถรุ่นเดิมๆ มีจุดเด่นสะดุดตาตรงฝากระโปรงหน้าที่ค่อนข้างยาวกว่าปกติ แผงกระจังหน้ารูปไตขนาดโต และดวงโคมไฟหน้าที่เรียวบางจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นรถ บีเอมดับเบิลยูBMW CONCEPT Z4
บีเอมดับเบิลยู คอนเซพท์ เซด 4 (BMW CONCEPT Z4) คือ รถสายพันธุ์เยอรมันอีกคันหนึ่งซึ่งปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมการกุศล PEBBLE BEACH CONCOURS D'ELEGANCE ในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2017 แล้วมาฉายซ้ำสองที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดซึ่งบ่งบอกว่า ตัวจริงของรถสปอร์ทเปิดประทุน บีเอมดับเบิลยู เซด 4 โรดสเตอร์ (BMW Z4 ROADSTER) รุ่นใหม่ (รุ่นที่ 3) ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาตอนต้นเดือนมีนาคม 2018 จะมีหน้าตาหยดย้อยอย่างไร ? เป็นรถที่ทำขึ้นเพื่ออวดเฉพาะรูปทรงองค์เอว จึงไม่รายละเอียดด้านเครื่องยนต์กลไกแต่อย่างใด ที่น่าติดตามมากก็คือ นอกจากเป็นต้นแบบของรถติดตราใบพัดเครื่องบินแล้ว รถแนวคิดคันนี้ยังเป็นต้นแบบของรถใหม่ที่ยักษ์ใหญ่เมืองยุ่นจะนำออกสู่ตลาดพร้อมกับป้ายชื่อ โตโยตา ซูพรา (TOYOTA SUPRA) อีกต่างหาก และเพื่อให้เกิดความแตกต่างฝ่ายญี่ปุ่นจะทำเป็นรถคูเปBMW I3S
ยอดผู้ผลิตรถหรูเจ้าของโลโก "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" ใช้งานใหญ่งานนี้เป็นที่เปิดตัวรถพลังไฟฟ้า บีเอมดับเบิลยู ไอ 3 เอส (BMW I3S) รุ่นที่เพิ่งผ่านการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" พร้อมกับเพิ่มรถให้เลือกใช้อีก 1 โมเดล คือ บีเอมดับเบิลยู ไอ 3 เอส (BMW I3S) ซึ่งเมื่อมองจากภายนอกก็แทบไม่เห็นความแตกต่างจากรถโมเดลเดิม ทั้งๆ ที่มีอยู่หลายจุด ที่แตกต่างกันมากและมองไม่เห็นจากภายนอกก็คือ ในขณะที่รถโมเดลเดิมยังคงติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 125 กิโลวัตต์/170 แรงม้า รถโมเดลใหม่นี้เพิ่มขนาดมอเตอร์เป็น 135 กิโลวัตต์/184 แรงม้า แต่ยังคงใช้แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน 33 กิโลวัตต์ชั่วโมงลูกเดิม ผลลัพธ์ คือ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่เคยทำได้ใน 7.3 วินาที ลดเป็น 6.9 วินาที ความเร็วสูงสุดซึ่งเคยจำกัดไว้ที่ 150 กม./ชม. ก็เพิ่มเป็น 160 กม./ชม. แต่ระยะเดินทางลดจาก 290-300 กม. เป็น 280 กม. เมื่อวัดตามมาตรฐาน NEDCBMW M5
รถแรงรถเร็วติดป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู เอม 5 (BMW M5) อวดตัว "ครั้งแรกในโลก" ไปก่อนแล้วที่เมืองโคโลนญ์เมื่อเดือนสิงหาคม แต่ต้องรอจนถึงงานนี้คนรักรถทั่วไปจึงมีโอกาสได้สัมผัสตัวจริง และถ้าชอบก็สามารถสั่งจองได้ในราคารวมภาษีมูลค่าร้อยละ 19 ซึ่งเริ่มต้นที่ระดับ 117,900 ยูโร หรือประมาณ 4.72 ล้านบาทไทย นับเป็นรถรุ่นที่ 6 และเป็นรุ่นแรกที่ติดตั้งระบบขับทุกล้อไม่ใช่ขับแต่ล้อคู่หลังเหมือนรุ่นอื่นๆ เป็นระบบขับทุกล้อด้วยพลังของเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซิน DOHC วี 8 สูบ 4,395 ซีซี 441 กิโลวัตต์/600 แรงม้า ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ M STEPTRONIC ตัวเลขความเร็วเห็นแล้วต้องถอนใจ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาแค่ 3.4 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. ถ้าอยากไปเร็วกว่านี้ก็ไม่ยาก แค่บอกผู้ขายให้ติดชุดตกแต่ง M DRIVER'S PACKAGE เข้าไปด้วย รับประกันว่า 305 กม./ชม. ทำได้แน่นอนถ้าใจถึงBMW 6-SERIES GRAN TURISMO
ปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" เช่นกันคือรถหรูขนาดกลาง บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-6 กรัน ตูริสโม (BMW 6-SERIES GRAN TURISMO) และเป็นการปรากฏตัวที่ส่งผลให้รถอนุกรมนี้มีตัวถังให้คนรักรถหรูเลือกใช้ได้ถึง 4 แบบ โดยที่แบบล่าสุดนี้เป็นตัวถังกึ่งซีดานกึ่งคูเปขนาด 5.091x1.902x1.538 ม. ที่ออกแบบให้นั่งได้รวม 6 คน และมีน้ำหนักรถพร้อมขับอยู่ระหว่าง 1,795-2,010 กก. มีกำหนดเริ่มจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายนของปีไก่กุ๊กกุ๊ก โดยมีรถให้เลือก 6 โมเดล คือ 630I GRAN TURISMO (เบนซิน 190 กิโลวัตต์/258 แรงม้า) 640I GRAN TURISMO/640I XDRIVE GRAN TURISMO (เบนซิน 250 กิโลวัตต์/340 แรงม้า) 630D GRAN TURISMO/630D XDRIVE GRAN TURISMO (ดีเซล 195 กิโลวัตต์/265 แรงม้า) และ 640D XDRIVE GRAN TURISMO (ดีเซล 235 กิโลวัตต์/320 แรงม้า) ค่าตัวรวมภาษีเริ่มต้นที่ 62,300 ยูโร หรือประมาณ 2.49 ล้านบาทไทยMINI ELECTRIC CONCEPT
ยอดผู้ผลิตรถเล็ก 2 สัญชาตินำรถแนวคิดออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้รวม 2 คัน เลือกมาเพียงคันเดียวที่น่าสนใจมาก คือรถติดป้ายชื่อ มีนี อีเลคทริค คอนเซพท์ (MINI ELECTRIC CONCEPT) เป็นรถแนวคิดซึ่งเป็นต้นแบบของรถพลังไฟฟ้าที่ค่าย มีนี บอกว่าจะนำออกสู่โชว์รูมในปี 2019 รวมทั้งเป็นแนวทางการออกแบบรถ มีนี แฮทช์แบค รุ่นใหม่ (รุ่นที่ 4) ซึ่งจะออกตลาดหลังจากนั้นด้วย เป็นรถที่มีแต่ตัวถังไม่มีอุปกรณ์ภายในห้องโดยสาร รวมทั้งไม่มีการแจกแจงด้วยว่า ระบบขับด้วยพลังไฟฟ้าที่จะใช้นั้นมีรายละเอียดอย่างไร ? หน้าตาและรูปทรงองค์เอวของตัวถังภายนอก ซึ่งเป็นผลงานรังสรรค์ของทีมออกแบบที่มีชาวเยอรมันเจ้าของนาม คริสโตเฟร์ เวล (CHRISTOPHER WEIL) เป็นนายใหญ่ เห็นได้ชัดว่ามีอยู่มากมายหลายจุดที่เปลี่ยนไปมากจากรถรุ่นปัจจุบัน ที่หายไปเลยและทำให้ดูโล้นๆ พิกล คือ แถบสีดำเหนือวงล้อทุกล้อ ที่เห็นกันจนชินตามานมนานVOLKSWAGEN T-ROC
ปีนี้ค่ายประชายนต์/ราษฎรยานดูไม่คึกคักอย่างที่เคยเป็น ไม่ใช่เพราะฤทธิ์เดชของแกสคาร์บอนไดออกไซด์ แต่เพราะพื้นที่จัดงานที่หดตัวอย่างน่าใจหาย และเพราะมีงานใหม่ให้เห็นเพียงไม่กี่ชิ้น ตัดสินใจเลือกชิ้นที่น่าสนใจที่สุดมา 2 ชิ้น ชิ้นแรกในภาพซ้ายมือ คือ โฟล์คสวาเกน ที-รค (VOLKSWAGEN T-ROC) ซึ่งเปิดตัวในอิตาลีไปก่อนแล้วเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2017 แต่คนรักรถในเมืองเบียร์เพิ่งมีโอกาสสัมผัสตัวจริงเสียงไม่จริงกันเป็นครั้งแรกที่งานนี้ นับเป็นรถ เอสยูวี แบบที่ 4 ของค่ายนี้ และเป็นรถขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัด ในตัวถังขนาด 4.234x1.819x1.573 ม. ที่ใช้ชิ้นส่วนหลายชิ้นร่วมกับรถเก๋งแฮทช์แบค โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ (VOLKSWAGEN GOLF) เริ่มเปิดรับการสั่งจองแล้ว โดยกำหนดค่าตัวเริ่มต้นรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 19 ไว้ ที่ระดับ 20,390 ยูโร หรือประมาณ 815,600 บาทไทย มีทั้งรถขับล้อหน้าขับทุกล้อ และมีเครื่องยนต์รวม 6 ขนาดVOLKSWAGEN ID CROZZ II
ผลงานน่าสนใจอีกชิ้นหนึ่งของยักษ์ใหญ่เมืองเบียร์ คือ โฟล์คสวาเกน ไอดี ครอซซ์ ทู (VOLKSWAGEN ID CROZZ II) ซึ่งเป็นรถใหม่อีกคันหนึ่งซึ่งอวดตัว "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดซึ่งพัฒนามาอีกทอดหนึ่งจากรถชื่อเดียวกันซึ่งปรากฏตัวครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์เซี่ยงไฮ้เมื่อปลายเดือนเมษายนที่เพิ่งผ่านพ้นไป และเป็นต้นแบบของรถ เอสยูวี พลังไฟฟ้าที่ค่ายนี้กำหนดไว้แล้วว่าจะนำออกสู่โชว์รูมในปี 2020 เป็นระบบขับทุกล้อด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 2 ชุด แต่ละชุดขับล้อแต่ละคู่ และได้กำลังสุทธิสูงสุด 225 กิโลวัตต์/306 แรงม้า ชาร์จไฟแต่ละครั้งรถจะวิ่งได้ไกลถึง 500 กม. และสามารถทำความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม. ภายในห้องโดยสารติดตั้งระบบช่วยขับโดยอัตโนมัติสารพัดชนิดที่ค่ายนี้ตั้งชื่อโดยรวมไว้ว่า ID PILOT ช่วยทำงานแทนผู้ขับได้มากมาย รวมทั้งระบบสั่งการด้วยเสียงพูด (VOICE COMMAND) ให้เปิดหรือปิดประตูPORSCHE CAYENNE
เอสยูวี สุดหรูติดป้ายชื่อ โพร์เช คาเยนน์ (PORSCHE CAYENNE) ยังเรียกแขกได้อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง แม้ว่าเพิ่งเปิดตัวและเชื้อเชิญสื่อมวลชนจากทั่วโลก (รวมทั้งสื่อมวลชนไทยเพียงคนเดียวจาก "สื่อสากล") ไปสัมผัสตัวจริงในเมืองเบียร์ไม่กี่วันก่อนวันเปิดงานนี้ นับนิ้วได้ว่าเป็นรถรุ่นที่ 3 ตัวถังขนาด 4.918-4.926x1.983x1.673-1.693 ม. คือ ยาวและกว้างขึ้นเพียงเล็กน้อยจากรถรุ่นเดิม ออกแบบ/พัฒนาขึ้นใหม่โดยใช้พแลทฟอร์มที่มีน้ำหนักเบากว่ารถรุ่นเดิม และใช้โครงสร้างตัวถังที่ทำจากอลูมิเนียม เริ่มการจำหน่ายแล้วโดยมีรถให้เลือก 3 โมเดล คือ CAYENNE (เทอร์โบเบนซินฉีดตรง 250 กิโลวัตต์/340 แรงม้า) CAYENNE S (ไบเทอร์โบเบนซิน 324 กิโลวัตต์/440 แรงม้า) CAYENNE TURBO (ไบเทอร์โบเบนซิน 404 กิโลวัตต์/550 แรงม้า) ทุกโมเดลเป็นรถขับทุกล้อ/เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ค่าตัวรวมภาษีเริ่มต้นที่ 74,828 ยูโร หรือประมาณ 2.99 ล้านบาทไทยAUDI ELAINE
ค่าย "สี่ห่วง" ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คือ ย้ายจากสถานที่เดิมซึ่งเป็นอาคารชั่วคราวและจับจองพื้นที่อยู่เพียงเจ้าเดียว เข้าไปอยู่ในอาคารเดียวกันกับเพื่อนร่วมค่ายรายอื่นๆ นำรถแนวคิดออกอวดตัว "ครั้งแรกในโลก" รวม 2 คัน คันแรกในภาพใหญ่คือรถติดป้ายชื่อ เอาดี เอเลน (AUDI ELAINE) เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถ เอสยูวี สุดอัจฉริยะที่ค่ายนี้รังสรรค์ขึ้น เพื่ออวดความก้าวหน้าด้าน AI หรือ ARTIFICIAL INTELLIGENCE (ที่นิยมเรียกกันว่า "ปัญญาประดิษฐ์" แต่ผู้รายงานกลับเห็นว่า "ปัญญาเทียม" น่าจะตรงความหมายกว่า) และเพื่อแสดงว่ารถขับได้ด้วยตัวเองในอนาคตน่าจะเป็นอย่างไร ? ตัวถังขนาด 4.90x1.98x1.53 ม. ติดตั้งระบบขับด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ที่ให้กำลังสูงสุด 370 กิโลวัตต์/503 แรงม้า และป้อนพลังไฟด้วยแบทเตอรีขนาด 95 กิโลวัตต์ชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาแค่ 4.5 วินาที และชาร์จไฟแต่ละครั้งจะวิ่งได้ไกลกว่า 500 กม.AUDI AICON
จอดเรียงเคียงคู่กัน คือ เอาดี ไอคอน (AUDI AICON) ก็เป็นรถแนวคิดอีกคันหนึ่งที่ค่าย "สี่ห่วง" รังสรรค์ขึ้น เพื่ออวดเทคโนโลยีด้าน AI และวิสัยทัศน์ด้านรถขับได้ด้วยตัวเองซึ่งเชื่อว่าจะช่วยลดความเครียดของผู้ใช้รถรวมทั้งแก้ปัญหาการจราจรและลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุได้อย่างดี ตัวถังขนาด 5.444x2.100x1.506 ม. ที่ออกแบบให้นั่งได้รวม 2+2 คน และมีประตูข้างที่เปิดแยกจากกันโดยไร้เสาค้ำยันกลางเหมือนประตูตู้กับข้าว ติดตั้งระบบขับทุกล้อด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 4 ชุด แต่ละชุดขับล้อแต่ละล้อ ได้กำลังสุทธิสูงสุด 260 กิโลวัตต์/354 แรงม้า การชาร์จไฟแต่ละครั้งรถจะวิ่งได้ไกล 700-800 กม. โดยไม่จำเป็นต้องมีพวงมาลัยรวมทั้งแป้นคันเร่ง แป้นห้ามล้อ หรือคันบังคับใดๆ ที่พัฒนาให้ทำได้เร็วขึ้น และสะดวกขึ้นด้วย คือ ระบบการชาร์จไฟ ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ การชาร์จไฟแบบเร่งด่วนเพื่อให้ได้ปริมาณไฟร้อยละ 80 ใช้เวลาไม่ถึง 30 นาทีAUDI S8 L 55 TFSI QUATTRO
ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งของค่าย "สี่ห่วง" ที่เลือกมาให้ชื่นชมกัน คือ รถสุดหรูติดป้ายชื่อ เอาดี เอ 8 แอล 55 ทีเอฟเอสไอ กวัตตโร (AUDI A8 L 55 TFSI QUATTRO) หนึ่งในบรรดารถ เอาดี เอ 8 (AUDI A8) รุ่นใหม่ (รุ่นที่ 4) รวม 4 โมเดลที่มีกำหนดออกโชว์รูมในฤดูใบไม้ร่วงของปีไก่อูรู้จริงหรือ ? ที่กำลังจะผ่านพ้นไป รถหรู รถแรง และเร็วโมเดลนี้ ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC วี 6 สูบ 250 กิโลวัตต์/340 แรงม้า ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้าคู่หลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 5.7 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย นับเป็นหนึ่งในบรรดารถโมเดลแรกๆ ที่ประเดิมการตั้งชื่อรุ่นตามระบบใหม่ของค่ายนี้ ซึ่งจะใช้ตัวเลข 2 หลักระบุตัวเลขกำลังของเครื่องยนต์ ตัวอย่างเช่น โมเดลที่มีกำลัง 81-96 กิโลวัตต์ จะใช้รหัส 30 และที่มีกำลัง 169-185 กิโลวัตต์ ใช้รหัส 45BUGATTI CHIRON
ลังเลอยู่นานก่อนตัดสินใจบรรจุ บูกัตตี ชีรน (BUGATTI CHIRON) ไว้ในรายงานนี้ด้วย เหตุผลที่เลือกก็เนื่องจากซูเพอร์สปอร์ทคาร์รุ่นนี้เพิ่งสร้างสถิติโลกขึ้นใหม่ คือ สามารถทำ 0-400-0 ซึ่งก็คือการเร่งความเร็วจาก 0 จนถึง 400 กม./ชม. และลดความเร็วจนสามารถหยุดนิ่ง โดยใช้เวลาเพียง 41.96 วินาทีเท่านั้นเอง เป็นตัวเลขที่ไม่เคยมีรถตลาดคันใดเคยทำได้มาก่อน ซึ่งที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจอะไร เพราะมีรถสักกี่รุ่น กี่แบบ ? ที่สามารถทำความเร็วระดับ 400 การสร้างสถิติโลกครั้งนี้อุบัติขึ้นในวันหนึ่งของเดือนสิงหาคม 2017 และผู้ขับคือคนดัง ฆวน ปาบโล มนโตยา (JUAN PABLO MONTOYA) อดีตนักขับรถ ฟอร์มูลา-1 ชิงแชมพ์โลกชาวโคลัมเบีย ซึ่งปัจจุบันมีอายุ 42 ปี ค่าย บูกัตตี ซึ่งอยู่ในสังกัดของเอาดีตั้งใจจะผลิตรถ 1,103 กิโลวัตต์/1,500 แรงม้า รุ่นนี้ในจำนวนจำกัดเพียง 500 คัน และจนถึงขณะนี้สามารถขายไปได้แล้วมากกว่า 300 คันBORGWARD ISABELLA CONCEPT
ปรากฏตัวในงานนี้เป็นครั้งที่ 2 คือ โบร์กวาร์ด กรุพ อาเก (BORGWARD GROUP AG) ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมนีที่เคยประกอบกิจการระหว่างปี 1929-1961 และเพิ่งฟื้นคืนชีพขึ้นใหม่เมื่อไม่กี่ปีนี่เอง โดยเริ่มกิจการผลิตรถยนต์ขึ้นในเมืองมังกรและกำลังจะส่งรถเข้าไปขายในเยอรมนีด้วย งานนี้นำผลงานใหม่ออกอวดหลายชิ้น ชิ้นที่เรียกความสนใจจากผู้คนได้มากที่สุดก็คือ โบร์กวาร์ด อีซาเบลลา คอนเซพท์ (BORGWARD ISABELLA CONCEPT) รถหน้าตาชวนพิศวง และติดตั้งประตูข้างแบบพิสดาร ซึ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถ 4 ประตู คูเป 4 ที่นั่ง ที่ออกแบบ/พัฒนาเพื่อให้สอดรับกับวิถีการใช้รถและเทคโนโลยีในอนาคต รูปทรงองค์เอวของตัวถังขนาด 5.00x1.92x1.40 ม. เอกสารประชาสัมพันธ์ของค่ายนี้ระบุว่า เป็นผลลัพธ์ของการออกแบบตามหลักการ IMPRESSION OF FLOW หรือ "ความประทับใจของการลื่นไหล"BORGWARD BXI7
ผลงานที่น่าสนใจอีกชิ้นหนึ่งของบริษัทรถยนต์สายเลือดเยอรมันที่เพิ่งฟื้นคืนชีพหลังจากนอนสลบไสลมายาวนาน คือ รถติดป้ายชื่อ โบร์กวาร์ด บีเอกซ์ไอ 7 (BORGWARD BXI7) ที่จอดอยู่เคียงข้างรถพิสดารในหน้าซ้ายมือ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถ เอสยูวี พลังไฟฟ้าที่ค่ายนี้ยืนยันว่าในเวลาอีกไม่นานจะเปลี่ยนสภาพเป็นรถตลาดแน่นอน เป็นระบบขับทุกล้อด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ที่ค่ายนี้ตั้งชื่อในภาษาอังกฤษว่า EPROPULSION ELECTRIC DRIVE และบอกรายละเอียดว่า ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 2 ชุด ชุดหนึ่งขับล้อคู่หน้า อีกชุดหนึ่งขับล้อคู่หลัง ได้กำลังสุทธิสูงสุด 200 กิโลวัตต์/272 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาแค่ 6.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 200 กม./ชม. มีโหมดการขับให้เลือกถึง 5 แบบ คือ ECO COMFORT AWD SPORT SPORT+ แถมมีแอพพลิเคชันให้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับไฟในแบทเตอรี รวมทั้งการตั้งเวลาให้ชาร์จไฟในช่วงที่ค่าไฟฟ้ามีราคาต่ำที่สุดด้วยOPEL GRANDLAND X
อวดตัว "ครั้งแรกในโลก" เช่นกัน คือ โอเพล กแรนด์แลนด์ เอกซ์ (OPEL GRANDLAND X) รถตระกูลเอกซ์ แบบที่ 3 ของค่าย "สายฟ้า" เป็นรถ เอสยูวี ขนาดเล็กกะทัดรัด ในตัวถังขนาด 4.477x1.856x1.609 ม. ที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดหาง เริ่มการจำหน่ายแล้วในเมืองเบียร์ พร้อมกับป้ายราคารวมภาษีซึ่งเริ่มต้นที่ระดับ 23,700 ยูโร หรือประมาณ 948,000 บาทไทย มีแต่รถขับล้อหน้า และมีเครื่องยนต์ให้เลือกเพียง 2 ขนาด คือ เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง 3 สูบเรียง 1,199 ลิตร 96 กิโลวัตต์/130 แรงม้า ซึ่งมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 5.1-5.5 ลิตร/100 กม. และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 117-127 กรัม/กม. กับเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง 4 สูบเรียง 1,560 ซีซี ซึ่งมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 4.0-4.6 ลิตร/100 กม. และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 104-118 กรัม/กม. ระบบเกียร์ก็มี 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะSKODA KAROQ
เปิดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ไปก่อนแล้วที่กรุงสตอคโฮล์มของสวีเดนเมื่อเดือนพฤษภาคม 2018 แต่ต้องรอเกือบ 4 เดือนคนรักรถในเมืองเบียร์ จึงมีโอกาสสัมผัสตัวจริงเสียงไม่จริงของ สโกดา คารก (SKODA KAROQ) เป็นครั้งแรกที่งานนี้ เป็น COMPACT CROSSOVER SUV หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดเล็กกะทัดรัด ที่ค่ายนี้เพิ่งนำออกสู่โชว์รูมในเมืองแม่คือสาธารณรัฐเชค พร้อมกับความคาดหวังว่าจะเป็นรถขายดีที่สุดของค่าย เพราะมีจุดเด่นอยู่หลายจุด ตัวอย่างเช่น ห้องเก็บของท้ายรถที่กว้างขวางกว่ารถระดับเดียวกันทุกรุ่นทุกแบบ คือ จุถึง 521 ลิตรเมื่อพับเบาะหลัง และลูกเล่นที่นิยมกันในยุคนี้คือการเปิดประตูบานท้ายโดยการกวาดปลายเท้าไปมาใต้กันชนหลัง มีเครื่องยนต์ให้เลือกอย่างหลากหลาย ตั้งแต่ขนาด 85 กิโลวัตต์/115 แรงม้า ไปจนถึง 140 กิโลวัตต์/190 แรงม้า มีทั้งเครื่องเบนซินและดีเซล ส่วนระบบเกียร์เลือกได้ระหว่างเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ กับเกียร์คลัทช์คู่ 7 จังหวะSEAT ARONA
จุดดึงดูดสายตาในบูธของผู้ผลิตรถยนต์เมืองกระทิงดุดูจะมีอยู่เพียงจุดเดียวคือรถติดป้ายชื่อ เซอัต อโรนา (SEAT ARONA) ซึ่งเป็นรถตลาดอีกแบบหนึ่งปรากฏตัว "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็น SUBCOMPACT CROSSOVER SUV หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัดที่ค่ายนี้กำลังจะนำออกสู่โชว์รูม ในตัวถังขนาด 4.138x1.780x1.552 ม. ที่ออกแบบ/พัฒนาโดยใช้พแลทฟอร์มชุดเดียวกันกับรถเก๋งแฮทช์แบคร่วมค่าย คือ เซอัต อีบิซา (SEAT IBIZA) เครื่องยนต์ซึ่งในระยะแรกจะมีให้เลือกรวม 5 ขนาด คือ เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรงซึ่งให้กำลังสูงสุด 70 กิโลวัตต์/95 แรงม้า 85 กิโลวัตต์/115 แรงม้า และ 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า กับเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรงซึ่งให้กำลังสูงสุด 95 กิโลวัตต์/129 แรงม้า และ 115 กิโลวัตต์/156 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้ามีให้เลือก 3 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 5 หรือ 6 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะFERRARI PORTOFINO
ผู้ผลิตรถสปอร์ท "ม้าลำพอง" เรียกความสนใจจากผู้คนได้อย่างล้นหลาม ด้วยรถแบบใหม่ล่าสุด คือ แฟร์รารี โปร์โตฟีโน (FERRARI PORTOFINO) รถจากเมืองมะกะโรนีเพียงแบบเดียวซึ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถที่ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทของอิตาลีกำลังจะบรรจุเข้าสู่สายการผลิตแทนที่รถสปอร์ทเปิดประทุนรุ่นเดิม คือ แฟร์รารี แคลิฟอร์เนีย (FERRARI CALIFORNIA T) ที่เริ่มจำหน่ายเมื่อต้นปี 2014 ตัวถังขนาด 4.586x1.938x1.318 ม. ที่ออกแบบให้นั่งเพียง 2 คน และมีน้ำหนักตัวพร้อมขับแค่ 1,664 กก. เป็นผลลัพธ์ของความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะลดจำนวนชิ้นส่วนที่ใช้ เพื่อลดความซับซ้อนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและเพื่อลดน้ำหนักตัวไปพร้อมกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ จำนวนชิ้นส่วนที่ประกอบเป็นแชสซีส์ลดลงถึงร้อยละ 40 แต่ความแข็งแรงกลับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 85 ในขณะที่น้ำหนักรถโดยรวมก็ลดลงถึง 90 กก. ข้อมูลมากกว่านี้โปรดติดตามใน "ระเบียงรถใหม่"McLAREN 570S SPIDER
ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทและรถแข่งของเมืองผู้ดีไม่ยอมใช้พื้นที่ภายในอาคาร แต่ใช้พื้นที่กลางแจ้งซึ่งไร้หลังคาเป็นที่อวดตัวรถ 2-3 รุ่น รุ่นที่กำลังอวดโฉมอยู่นี้คือ แมคลาเรน 570 เอส สไปเดอร์ (MCLAREN 570S SPIDER) เป็นรถแบบใหม่ที่เพิ่งออกงานเป็นครั้งแรก แต่ไม่ใช่รถใหม่ที่ทำขึ้นใหม่ทั้งคัน หากพัฒนามาอีกทอดหนึ่งจากรถคูเปชื่อเดียวกันซึ่งเริ่มขายเมื่อปี 2015 มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดในหลายจุด และจุดสำคัญที่สุด คือ การเปลี่ยนจากหลังคาแข็งติดตาย เป็นหลังคาเปิดประทุนแบบแข็ง บังคับเปิด/ปิดโดยการกดปุ่มเมื่อรถยังวิ่งเร็วไม่เกิน 40 กม./ชม. การเปิดหรือปิดประทุนแต่ละครั้งใช้เวลา 15 วินาที ส่วนเครื่องยนต์ที่ใช้ยังคงเป็นเครื่องทวินเทอร์โบเบนซิน DOHC วี 8 สูบ 3,799 ซีซี 419 กิโลวัตต์/570 แรงม้า ส่งกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์คลัทช์คู่ 7 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ทำได้ในเวลาแค่ 3.2 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดคือ 328 กม./ชม.JAGUAR E-PACE
แจกวาร์ อี-เพศ (JAGUAR E-PACE) นางกวักดึงดูดผู้คนในบูธของค่าย "แมวป่า" เป็นรถตลาดอีกแบบหนึ่งที่ไม่ยอมรองานใหญ่งานนี้ เพราะชิงเปิดตัวไปก่อนแล้วเมื่อกลางเดือนกรกฎาคมของปีไก่ทองเค เป็น COMPACT CROSSOVER SUV หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดเล็กกะทัดรัด ในตัวถังขนาด 4.395x1.984 (รวมกระจกมองข้างขณะพับ)x1.649 ม. ที่จะมีการผลิตทั้งในเมืองแม่ และในสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งเป็นตลาดเป้าหมาย ในเมืองผู้ดีรถแบบใหม่นี้มีกำหนดออกโชว์รูมก่อนสิ้นปี 2017 โดยแบ่งการตกแต่ง/อุปกรณ์เป็น 3 ระดับ คือ E-PACE/E-PACE R-DYNAMIC/E-PACE FIRST EDITION และมีเครื่องยนต์ให้เลือก 5 ขนาด แบ่งเป็นเครื่องเบนซิน 2 ขนาด กับเครื่องดีเซล 3 ขนาด ให้กำลังสูงสุดตั้งแต่ 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า จนถึง 221 กิโลวัตต์/300 แรงม้า ค่าตัวรวมภาษีในอังกฤษเริ่มต้นที่ 28,500 ปอนด์ หรือประมาณ 1.28 ล้านบาทไทยBENTLEY CONTINENTAL GT
รถสายเลือดผู้ดีเพียงแบบเดียวที่ใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัว "ครั้งแรกในโลก" คือ เบนท์ลีย์ คอนทิเนนทัล จีที (BENTLEY CONTINENTAL GT) รุ่นใหม่ ซึ่งถ้าไม่ได้เห็นพร้อมๆ กัน ก็อาจบอกไม่ได้ว่าคันไหนรุ่นเก่า ? คันไหนรุ่นใหม่ ? เป็นรถรุ่นที่ 3 ในตัวถังขนาด 4.850x1.954x1.405 ม. (ยาวขึ้น 4.4 ซม. แต่กว้างและสูงเท่าเดิม) ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.29 เป็นตัวถังหน้าตาคล้ายเดิม แต่มีสมรรถนะการขับขี่ไม่เหมือนเดิม ยืนยันได้ด้วยคำพูดของหัวหน้าทีมวิศวกรที่บอกว่ารถรุ่นนี้ คือ A PARADIGM SHIFT IN DRIVING PERFORMANCE หรือ "การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของสมรรถนะการขับขี่" ที่ยืนยันได้เช่นกัน คือ เป็นรถคูเปที่ทั้งหรูทั้งแรงทั้งเร็ว เพราะติดตั้งเครื่องทวินเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC ดับเบิลยู 12 สูบ 5,950 ซีซี ที่ให้กำลังสูงถึง 467 กิโลวัตต์/635 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. จึงใช้เวลาแค่ 3.7 วินาที ความเร็วสูงสุดก็สูงถึง 333 กม./ชม.RENAULT SYMBIOZ
หนึ่งในบรรดารถแนวคิดจากเมืองแฟชันเพียงไม่กี่คันที่ปรากฏตัวให้เห็นในงานนี้ คือ รถติดป้ายชื่อ เรอโนลต์ ซิมบีอซ (RENAULT SYMBIOZ) ซึ่งเห็นแค่หน้าตาและรูปทรงองค์เอวถึงไม่บอกก็คงทราบกันดีว่าไม่ใช่รถตลาดแต่ต้องเป็นรถแนวคิด ที่น่าติดตามมากก็คือเป็นรถแนวคิดที่ยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศสรังสรรค์ขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า รถที่เหมาะกับการใช้งานในปี 2030 ควรจะเป็นอย่างไร ? แถมยืนยันด้วยว่าภายในปีไก่ทองร้องจ๊ากนี้จะทำ DEMO CAR หรือรถตัวอย่างที่มีคุณลักษณ์เหมือนรถแนวคิดคันนี้ให้ผู้คนได้ทดลองขับด้วย ข้อมูลของรถมีอยู่เพียง 2 หน้ากระดาษแต่อ่านแล้วเข้าใจค่อนข้างยาก บอกได้เพียงสั้นๆ ว่า เป็นรถพลังไฟฟ้าขับได้ด้วยตัวเอง ที่ทำงานร่วมกันและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับระบบไฟฟ้าที่ใช้อยู่ในบ้านในเรือน ตัวอย่างเช่น ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ไฟฟ้าดับ ก็สามารถตั้งพโรแกรมให้ระบบส่องสว่าง หรือเครื่องไฟฟ้าในบ้านใช้พลังไฟจากแบทเตอรีในรถยนต์ได้ชั่วคราวDACIA DUSTER
ดาเซีย ดัสเตอร์ (DACIA DUSTER) ซึ่งพบได้ในบูธของผู้ผลิตรถยนต์เมืองผีดิบ ที่อยู่ในสังกัดของยักษ์ใหญ่เรอโนลต์ คือ รถตลาดปลอดกลิ่นเบียร์อีกแบบหนึ่งซึ่งปรากฏตัว "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถรุ่นที่ 2 ซึ่งกำลังจะเข้าสู่สายการผลิตแทนที่เป็นรถรุ่นแรกซึ่งเป็นรถ เอสยูวี ขนาดเล็กกะทัดรัดราคาย่อมเยาที่ขายดีมาก คือ นับแต่ปี 2010 ที่ออกตลาดสามารถขายทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 1 ล้านคัน และยอดขายในแต่ละปีก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นรถที่มีการผลิตในหลายประเทศ ทั้งในเมืองแม่ คือ โรมาเนีย ในบราซิล ในรัสเซีย ในอินเดีย และในอินโดนีเซีย แต่ในเมืองไทยน่าจะกล่าวได้ว่า มีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จักรถแบบนี้ รถรุ่นใหม่มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดมากมายทั้งในส่วนของตัวถัง และภายในห้องโดยสารซึ่งติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 2 แถว นั่งได้รวม 5 คน แต่เรื่องหลักๆ อย่างขนาดของตัวถัง และรายละเอียดของพแลทฟอร์มแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยCITROEN C3 AIRCROSS
รถตลาดจากเมืองแฟชันอีกแบบหนึ่งซึ่งปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ ซีตรอง เซ ตรัวส์ แอร์ครอสส์ (CITROEN C3 AIRCROSS) ซึ่งดูเด่นและเป็นจุดสะดุดตาในบูธของค่าย "จ่าโท" เป็นรถอนุกรมใหม่ที่มีกำหนดออกตลาดในฤดูใบไม้ร่วงของปี 2017 นี้ พร้อมกับป้ายค่าตัวซึ่งเริ่มต้นที่ระดับ 15,950 ยูโร หรือประมาณ 638,000 บาทไทย นับเป็น SUBCOMPACT CROSSOVER SUV หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัดที่ออกแบบได้หวือหวามีสีสัน ตัวถังขนาด 4.15x1.76x1.64 ม. ไม่ได้ผลิตในฝรั่งเศสแต่ใช้โรงงานซึ่งตั้งอยู่ในเมืองซาราโกซา (SARAGOZA) ของสเปนเป็นที่ผลิต รถที่จำหน่ายในเมืองแม่แบ่งการตกแต่ง/อุปกรณ์เป็น 4 แบบ กำกับด้วยรหัส LIVE FEEL SHINE BUSINESS มีเครื่องยนต์ให้เลือก 5 ขนาด ทั้งเครื่องเบนซินเครื่องดีเซล และให้กำลังสูงสุดระหว่าง 60 กิโลวัตต์/82 แรงม้า ไปจนถึง 96 กิโลวัตต์/131 แรงม้าAEROMOBIL
แอโรโมบิล (AEROMOBILE) ผลงานของทีมวิศวกรชื่อเดียวกันซึ่งมีที่ทำการอยู่ในเมืองบราติสลาวาของสโลวะเกีย เป็นยานมหัศจรรย์ที่เป็นได้ทั้งรถยนต์ และเรือบิน ในยามที่หุบปีกเพื่อวิ่งบนดินจะมีขนาด 5.998x2.248x1.500 ม. และขับล้อหน้าด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด ซึ่งให้กำลังสุทธิสูงสุด 80 กิโลวัตต์/110 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลา 10 วินาที ความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม. แต่หลังจากใช้เวลาไม่ถึง 3 นาที ในการกางปีกเพื่อบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็จะเปลี่ยนขนาดเป็นประมาณ 5.800x8.800x1.400 ม. และบินด้วยกำลังของเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซิน 4 สูบนอนยัน 2.0 ลิตร 224 กิโลวัตต์/300 แรงม้า สามารถทำความเร็วสูงสุด 360 กม./ชม. มีถังเชื้อเพลิงจุ 90 ลิตร และบินได้ไกล 750 กม. ไม่ใช่แค่ทำให้ดูเล่น แต่ตั้งใจผลิตขายจริงในปี 2020 ค่าตัวก็ไม่แพง คือ แค่ 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 50 ล้านบาทไทยเท่านั้นเองHONDA URBAN EV CONCEPT
ค่ายญี่ปุ่นซึ่งทุกครั้งเคยให้ความสำคัญเป็นอย่างมากแก่งานนี้ดูเงียบผิดปกติ ตัวชูโรงของค่ายนี้เชื่อหรือไม่ว่ามีอยู่เพียงคันเดียว คือ ฮอนดา เออร์เบิน อีวี คอนเซพท์ (HONDA URBAN EV CONCEPT) รถแนวคิดอีกคันหนึ่งซึ่งปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นต้นแบบของรถจิ๋วพลังไฟฟ้า ที่นายใหญ่ของค่ายนี้ คือ ทาคาฮิโร ฮาชิโกะ (TAKAHIRO HACHIGO) ยืนยันว่าภายในปี 2019 จะนำออกสู่ตลาด ตัวถังซึ่งยาวเพียง 3.895 ม. ออกแบบ/พัฒนาโดยใช้พแลทฟอร์มที่เพิ่งทำขึ้นใหม่สำหรับรถแบบนี้โดยเฉพาะ ห้องโดยสารซึ่งออกแบบให้นั่งได้รวม 4 คน เน้นเป็นพิเศษในด้านทัศนวิสัย จึงทำเสาคู่หน้าให้เรียวบางและติดกระจกบานกว้าง การขึ้นลงรถก็ทำได้สะดวกเพราะประตูข้างติดบานพับไว้ด้านหลัง และเปิดปิดในลักษณะเดียวกันกับประตูของรถโคชโดยสาร ที่สมควรตั้งคำถามว่า ทำไม ? คือ ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใดๆ ของระบบขับในรถแนวคิดคันนี้SUZUKI SWIFT SPORT
รถตลาดสายเลือดซามูไรที่เรียกความสนใจจากปวงชนคนรักรถเล็กได้ดีพอสมควร คือ ซูซูกิ สวิฟท์ สปอร์ท (SUZUKI SWIFT SPORT) ซึ่งเป็นรถตลาดอีกแบบหนึ่งซึ่งปรากฏตัว "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ ไม่ใช่รถใหม่ที่ทำขึ้นใหม่ทั้งคัน แต่เป็นรถที่พัฒนามาอีกทอดหนึ่งจากรถ ซูซูกิ สวิฟท์ (SUZUKI SWIFT) รุ่นที่ 4 ซึ่งเริ่มออกโชว์รูมในเมืองยุ่นเมื่อเดือนสุดท้ายของปี 2016 ตัวถังขนาด 3.890x1.735x1.495 ม. ที่ออกแบบให้นั่งได้รวม 5 คน มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดหลายจุด ทั้งในส่วนของตัวถังและเครื่องยนต์กลไก จุดสำคัญที่สุด คือ การแทนที่เครื่องยนต์บลอคเดิมซึ่งเป็นเครื่องเทอร์โบเบนซิน 996 ซีซี 102 แรงม้า หรือเครื่องเบนซิน 1,242 ซีซี 91 แรงม้า ด้วยเครื่องบลอคใหม่ซึ่งมีขนาดโตขึ้นและแรงขึ้น คือ เครื่องเทอร์โบเบนซิน DOHC 4 สูบเรียง 1,373 ซีซี 103 กิโลวัตต์/140 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้าเป็นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะWEY XEV CONCEPT
เวย์ (WEY) บริษัทลูกของบริษัท GRAET WALL MOTORS ผู้ผลิตรถ เอสยูวี และรถพิคอัพรายใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งออกงานนี้เป็นครั้งแรก ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้อย่างอึงคะนึงด้วย เวย์ เอกซ์อีวี คอนเซพท์ (WEY XEV CONCEPT) รถประตูปีกนกซึ่งเห็นได้ชัดว่ารูปทรงองค์เอวตัวถังน่าจะได้แรงบันดาลใจจากรถ เอสยูวี พลังไฟฟ้า เทสลา โมเดล เอกซ์ (TESLA MODEL X) ของสหรัฐอเมริกา เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ (PLUG-IN HYBRID) ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซินขับล้อคู่หน้า และใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับล้อคู่หลัง ที่น่าสนใจมากก็คือเป็นรถที่มี AUTONOMOUS DRIVING SYSTEM หรือระบบขับด้วยตัวเองอยู่ด้วย แต่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลใดๆ เชื่อกันว่าไม่ใช่รถที่ค่ายนี้ตั้งใจจะทำขายจริง แต่ก็เชื่อกันด้วยว่าระบบขับไฮบริดที่กล่าวข้างต้น คงจะได้พบได้เห็นกันในรถ เอสยูวี บางรุ่นที่ค่ายนี้จะนำออกสู่ตลาดในอนาคตHYUNDAI KONA
ยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ซึ่งนับแต่ปี 2001 ขายรถ เอสยูวี ในตลาดยุโรปไปแล้วมากกว่า 1.4 ล้านคัน เลือกใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัว ฮันเด โคนา (HYUNDAI KONA) รถตลาดสายพันธุ์โสมเพียงแบบเดียวเท่านั้นซึ่งปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็น SUBCOMPACT CROSSOVER SUV หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัดแบบใหม่ ในตัวถังขนาด 4.165x1.800x1.550-1.565 ม. ที่หน้าตาดูเลอะเทอะไปหน่อย แต่รูปทรงองค์เอวโดยรวมพอจะขับไปวัดไปวาตอนสายๆ ได้ กำลังจะออกจำหน่ายในยุโรปโดยมีเครื่องยนต์ให้เลือกเพียง 2 ขนาด คือ เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 3 สูบเรียง 998 ซีซี 88 กิโลวัตต์/120 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และระบบขับล้อหน้า กับเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,591 ซีซี 130 กิโลวัตต์/177 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ และระบบขับทุกล้อKIA STONIC
รถสายเลือดโสมขาวอีกแบบหนึ่งที่เรียกความสนใจจากผู้คนได้ดีเช่นกัน คือ เกีย สโตนิค (KIA STONIC) ซึ่งปรากฏตัวแบบ DEUTSCHLANDPREMIERE หรือ "ครั้งแรกในเยอรมนี" ที่งานนี้ เป็น SUBCOMPACT CROSSOVER SUV หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัด ในตัวถังขนาด 4.140x1.760x1.520 ม.ที่ออกแบบ/พัฒนาโดยใช้ชิ้นส่วนบางชิ้นร่วมกับรถ ฮันเด โคนา (HYUNDAI KONA) เริ่มจำหน่ายในยุโรปเมื่อไตรมาส 3 ปี 2017 โดยมีเครื่องยนต์ให้เลือกถึง 4 ขนาด คือ เครื่องเทอร์โบเบนซิน DOHC 3 สูบเรียง 998 ซีซี 88 กิโลวัตต์/120 แรงม้า เครื่องเบนซิน DOHC 4 สูบเรียง 1,248 ซีซี 62 กิโลวัตต์/84 แรงม้า เครื่องเบนซิน DOHC 4 สูบเรียง 1,368 ซีซี 74 กิโลวัตต์/100 แรงม้า และเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 81 กิโลวัตต์/110 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้ามี 2 แบบ คือเกียร์ธรรมดา 5 กับ 6 จังหวะเรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา
ภาพโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา/ผู้จัดงาน/บริษัทผู้ผลิต
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2560
คอลัมน์ Online : มหกรรมยานยนต์ต่างประเทศ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/197029
BMW
ผู้ผลิตยานยนต์
บมจ.ยนตรกิจบาวาเรีย หรือ BMW เป็นบริษัทผลิตยานยนต์ของประเทศเยอรมนี บริษัทก่อตั้งในปีค.ศ. 1916 เมื่อแรกก่อตั้งเป็นบริษัทผลิตเครื่องยนต์อากาศยานสำหรับสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
Gallery (10)
Promotions
Lorem ipsum dolor sit amet, consetetur sadipscing elitr, sed diam nonumy eirmod tempor invidunt ut labore et dolore magna aliquyam erat, sed diam voluptua. At vero eos et accusam et justo duo dolores et ea.
รุ่นรถเพิ่มเติม
Lorem ipsum dolor sit amet, consetetur sadipscing elitr, sed diam nonumy eirmod tempor invidunt ut labore et dolore magna aliquyam erat, sed diam voluptua. At vero eos et accusam et justo duo dolores et ea.
VDO
Lorem ipsum dolor sit amet, consetetur sadipscing elitr, sed diam nonumy eirmod tempor invidunt ut labore et dolore magna aliquyam erat, sed diam voluptua. At vero eos et accusam et justo duo dolores et ea.