รอบรู้เรื่องรถ
เรื่องไร้สาระของการใช้ "แอร์" รถ
เนื้อที่หมดเสียก่อนในเดือนที่แล้ว จึงต้องขอเบียดใช้ของเดือนนี้อีกตอนครับ มีคำแนะนำที่ถูกเล่าลือกันจนแพร่หลาย และทำให้ผู้ใช้รถเดือดร้อนโดยไม่จำเป็นว่า ก่อนถึงที่หมายสัก 3 นาที ให้ปิดสวิทช์ทำความเย็น (A/C) เพื่อให้อีแวพอเรเตอร์หายเย็น จะได้ไม่เกิดการกลั่นตัวกลายเป็นน้ำของไอน้ำในอากาศที่ไหลผ่าน โดยให้เปิดแต่พัดลมเพียงอย่างเดียว จุดประสงค์ของ “ผู้แนะนำ” ก็คือ ต้องการให้อีแวพอเรเตอร์ถูกลมเป่าจนแห้ง เพราะถ้ายังเปียกอยู่ จะถูกกัดกร่อนให้ผุเร็วขึ้น ไร้สาระทั้งสิ้นครับ เพราะ1. น้ำไม่ได้ทำให้รังผึ้งของอีแวพอเรเตอร์ผุกร่อนครับ เพราะตอนที่แอร์ทำงาน ไอน้ำในอากาศที่ไหลผ่านมันก็เปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว ซึ่งก็คือ น้ำ หมายความว่า มันเปียกอยู่ตลอดเวลา และก็ไม่มีผลเสียอะไรเลย 2. เมื่อปิดสวิทช์ A/C ให้คอมเพรสเซอร์หยุดทำงาน การทำความเย็นที่อีแวพอเรเตอร์ไม่ได้หยุดตามไปทันทีนะครับ ความดันของน้ำยาแอร์ในสภาพของเหลวที่ไหลมาจากแผงคอนเดนเซอร์ด้านหน้าของรถยังสูงอยู่ และก็จะถูกพ่นจากเอกซ์แพนชันวาล์ว เข้าไปในรังผึ้งของอีแวพอเรเตอร์ต่อไป แม้จะค่อยๆ น้อยลงเรื่อยๆ ในช่วงนี้ ไอน้ำในอากาศที่ไหลผ่านรังผึ้ง ก็จะยังคงกลายเป็นน้ำเกาะที่รังผึ้งอยู่ และประเด็นที่สำคัญ ก็คือ มันไม่ได้ให้โทษอะไร ถ้าเป็นเพียง “น้ำกลั่น” ที่เปียกอยู่ 3. ถ้าเป็นรถใหม่ หรือค่อนข้างใหม่ (ซึ่งผมไม่อยากกำหนดเวลาครับ เพราะขึ้นอยู่กับการใช้งาน ว่าอากาศในห้องโดยสารนั้น มีฝุ่น และสิ่งแปลกปลอมมากน้อยเพียงใด) ก็ย่อมไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นน้ำสะอาด ตามที่ได้อธิบายไว้ในข้อแรกครับ จะปล่อยให้พัดลมพ่นลมเป่าต่อให้มันแห้งเร็ว หรือจะดับเครื่องเลย (พัดลมจะหยุดทำงานไปพร้อมกัน) แล้วปล่อยมันเปียกอยู่อย่างนั้น แล้วค่อยๆ ระเหยแห้งไป ก็ไม่ได้มีความแตกต่าง หรือมีข้อเสียใดๆ เลย 4. ถ้าเป็นรถที่มีอายุพอสมควร เช่น 3 ปีขึ้นไป โดยประมาณนะครับ เพราะขึ้นอยู่กับการใช้งานมากหรือน้อย และความสะอาดของห้องโดยสารด้วย ด้านหน้าของอีแวพอเรเตอร์ ซึ่งก็คือ ด้านที่ถูกพัดลมพ่นอากาศใส่นั่นแหละครับ จะมีสิ่งแปลกปลอมสารพัดชนิดมาเกาะติดอยู่ เช่น เส้นผม ขนของสัตว์เลี้ยง เส้นใยจากเสื้อผ้าของเรา เส้นใยจากพรมปูพื้นมาเกาะติดอยู่ เริ่มจากการที่วัตถุเหล่านี้ลอยฟุ้งอยู่เอง หรือถูกทำให้ลอยฟุ้งอยู่ในห้องโดยสารด้วยเหตุใดก็ตาม จึงถูกพัดลมแอร์ดูดเข้าไป แล้วพ่นใส่รังผึ้งของอีแวพอเรเตอร์ ถ้าเป็นผงฝุ่นขนาดเล็ก ก็จะลอดเข้าช่องของรังผึ้งไปได้ครับ ถ้าลอดผ่านจริงๆ ตลอด ก็จะถูกพ่นกลับออกมาทางช่องลม เข้ามาฟุ้งลอยอยู่ในห้องโดยสารต่อ ถ้าไปแจะกับครีบรังผึ้งซึ่งเปียกอยู่ ก็จะคลุกไปกับน้ำ เมื่อรวมตัวกันเป็นหยดใหญ่พอ ก็จะไหลหยดลงมายังถาดรองรับน้ำ และถูกปล่อยลงใต้รถ ที่รู้จักกันในนาม “น้ำแอร์” นองอยู่ใต้รถที่เปิดแอร์ และหยุดอยู่ ถ้าแล่นอยู่มันก็จะหยดลงผิวถนนไปเรื่อยเป็นปกติ ถึงจะเป็นฝุ่นเล็ก ละเอียดมากเช่นนี้ ก็ยังทำร้ายระบบแอร์ของเรา สร้างปัญหาระยะยาวได้เหมือนกัน เพราะเมื่อมันคลุกอยู่ในน้ำที่หยดลงมายังถาดรับน้ำ บางส่วนอาจ “แขวนลอย” แล้วไหลปนกับน้ำลงใต้รถไป แต่บางส่วนจะจมค้างอยู่ก้นถาดรับน้ำครับ เริ่มแรกก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อถูกสะสมมากเข้าแรมปี ฝุ่นละเอียดที่คลุกอยู่กับน้ำในถาดนี้จะกลายเป็นเมือก และอาจไปอุดช่องปล่อยน้ำทิ้ง จนถึงขั้นตันได้ อาการที่เราสังเกตเห็นได้ คือ มีน้ำหยดลงมาบริเวณที่วางเท้า อาจเป็นด้านคนขับ หรือคนนั่งก็ได้ ต้องรีบหาเหตุ และแก้ไขครับ ถ้าปล่อยน้ำขังที่พื้นห้องโดยสาร จะชุ่มที่พรมปูพื้น และแผ่นซับเสียงที่อยู่ใต้พรม สังเกตได้จากความชื้นในห้องโดยสารเมื่อเปิดเข้าไปนั่ง และอาจเห็นฝ้าจากความชื้น ซึ่งจับตัวที่ด้านในของกระจกหน้าต่าง ไม่ถึงเดือนจะมีราขึ้น ซึ่งนอกจากส่งกลิ่นเหม็นแล้ว ยังมีเชื้อโรคฟุ้งลอยให้เราต้องสูดหายใจเข้าไปตลอดเวลาที่ใช้รถอีกด้วย คือ เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องแก้ไขทันที ส่วนวิธีป้องกันไม่ให้เกิดเมือกในถาดน้ำทิ้ง จะอยู่ในตอนท้ายของเรื่องนี้ครับ นอกเหนือจากฝุ่นละเอียดที่ว่านี้ ก็คือ สิ่งแปลกปลอมทั้งหลายที่กล่าวมาแล้ว พวกนี้แหละครับคือ “ตัวร้าย” ขอเรียกง่ายๆ ว่า เส้นใยต่างๆ ตามรูปทรงของมันนะครับ จากขนาดที่เล็ก และเบา ทำให้มันมีโอกาสสูงที่จะถูกลมพัดให้ฟุ้งลอยขึ้นมา เช่น ตอนเปิด หรือปิดประตู เปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศขณะรถแล่น หรือแม้แต่ถูกรองเท้าของเราเขี่ยให้ฟุ้งลอยขึ้นมา พัดลมของอีแวพอเรเตอร์ หรือเรียกง่ายๆ ว่า พัดลมแอร์จะดูดมันเข้าไป และพ่นใส่รังผึ้ง ซึ่งเปียกน้ำอยู่ มันจะแจะติดอยู่อย่างนั้น เมื่อแอร์ไม่ถูกใช้งาน เช่น เรากลับถึงบ้าน จอดค้างคืนรังผึ้งจะเริ่มแห้ง เส้นใยเหล่านี้ก็จะติดค้างอยู่ และเมื่อเปิดแอร์ใช้งาน มันก็จะเปียกใหม่ วนเวียนอยู่เช่นนี้ และมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากเป็นเส้น ก็เริ่มทับซ้อนจนกลายเป็นแผ่น ยิ่งซ้อนกัน ช่องว่างก็ยิ่งเล็กลง จึงกั้นสิ่งแปลกปลอมให้ติดขวางอยู่ง่ายยิ่งขึ้นอีก รวมทั้งการเปียก และแห้งสลับกันทุกวัน กลายเป็นแผ่นแข็งกรัง ถ้าเป็นคนช่างสังเกต จะเริ่มเห็นความแตกต่างของปริมาณอากาศ และแรงลมที่ถูกพ่นออกมาทางช่องลม ว่าอ่อนลงไปกว่าเดิม อาจถึงขั้นต้องเพิ่มความแรงพัดลมอีก 1 ระดับ เช่นเคยใช้ระดับ 2 มาตลอด ช่วงหลังอาจต้องเลือกระดับ 3 เพื่อให้ลมแรงเท่าช่วงที่รังผึ้งยังไม่ถูกอุดตัน เราชดเชยได้แต่แรงลมนะครับ ส่วนความเย็นที่ระบบทำได้ จะค่อยๆ ลดลงไป เพราะไม่มีอากาศผ่านรังผึ้งแถบที่ถูกอุดตัน กลับมาที่คำแนะนำไร้สาระกันต่อครับ หลังจากบอกให้หยุดทำความเย็น โดยการปิดสวิทช์ A/C ให้เราเหงื่อซึมโดยไม่ได้อะไรขึ้นมา ก่อนถึงจุดหมายจริง โดยให้พัดลมทำงานแต่เพียงอย่างเดียว เพื่อให้รังผึ้งของอีแวพอเรเตอร์แห้ง แม้เป็นรถใหม่ ยังไม่มีการอุดตัน มันก็ไม่แห้งง่ายๆ ครับ ดังที่อธิบายไว้ในตอนต้น และถึงไม่แห้ง ก็ไม่มีอะไรเสียหาย เพราะมีเพียงน้ำที่เคลือบผิวรังผึ้งอยู่ แล้วถ้าเป็นรถที่ถูกใช้มานาน จนรังผึ้งมีคราบสิ่งแปลกปลอมอุดตันอยู่ล่ะ ผมยอมรับว่าการอ่านเรื่องนี้ให้เข้าใจทันที ไม่ใช่เรื่องง่ายครับ สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคย และไม่ถนัดเรื่องเทคนิค ขอให้อ่านช้าๆ นะครับ และควรอ่านซ้ำด้วย ไม่แปลกอะไรครับ ถ้าเข้าใจแล้ว ชีวิตจะสะดวกสบายขึ้นมากแบบคุ้มค่าที่ไม่ต้องไปเหนื่อย เครียดเพราะหลงเชื่อคำแนะนำพวกนี้ ถ้ามีสิ่งแปลกปลอม คือ บรรดาเส้นใยต่างๆ ติดอยู่เป็นแผ่น มันจะอมน้ำไว้ใน “เนื้อ” ของมันครับ เปิดแต่ลม 10 นาที ก็ไม่สามารถทำให้มันแห้งได้เลย เพราะฉะนั้นจะดับเครื่องเลยพร้อมกับให้ระบบแอร์หยุดทำงานทุกอย่าง จากการปิดสวิทช์กุญแจ หรือจะเปิดพัดลมอย่างเดียว อีก 5-10 นาที คราบสิ่งอุดตันที่อมน้ำชุ่มอยู่ ก็จะยังชุ่มเหมือนเดิมครับ ไม่มีความแตกต่าง คราวนี้เรามาดูสาเหตุที่ทำให้รังผึ้งของอีแวพอเรเตอร์ผุจนทะลุกันบ้าง มันเกิดจากการถูกกัดกร่อนของเนื้ออลูมิเนียมที่ใช้ทำรังผึ้ง เพราะ อลูมิเนียมเป็นโลหะที่นำความร้อนได้ดีมาก (คือ นำความร้อนของอากาศในห้องโดยสาร ผ่านเนื้อมันที่ใช้ทำรังผึ้ง ไปให้แก่ “น้ำยาแอร์” ที่ไหลผ่านหลอดในรังผึ้ง เอาไปคายให้อากาศภายนอกทางคอนเดนเซอร์ด้านหน้ารถ) โชคไม่ดี ที่สิ่งแปลกปลอมเกือบทุกชนิด ที่อุดรังผึ้งของเรา จนเป็นปึกนั้น เป็นสารอินทรีย์ครับ ซึ่งก็คือ สารทั้งหลายที่มีต้นกำเนิดมาจากสิ่งมีชีวิต ทั้งพืช และสัตว์ เช่น ขนหมา ขนแมว ผมมนุษย์ เส้นใยจากฝ้ายของเสื้อผ้าหรือพืชอื่นที่ใช้ทำพรมปูพื้น ไม่รวมเส้นใยสังเคราะห์อื่นๆ ที่เป็นส่วนน้อยครับ สารอินทรีย์ที่ว่านี้ เมื่อถูกน้ำเป็นเวลานาน จะเกิดการย่อยสลาย และกลายเป็นกรด กัดกร่อนอลู-มิเนียมที่ใช้ทำรังผึ้งของอีแวพอเรเตอร์ โลหะอื่นๆ ที่ต้านการกัดกร่อนได้ดีกว่าอลูมิเนียม ก็มีนะครับ ติดอยู่ตรงที่มันนำความร้อนได้ไม่ดีเท่า ถ้าจะให้มัน “ทำความเย็น” ได้ดีเท่าอลูมิเนียมก็จะต้องใช้รังผึ้งขนาดใหญ่กว่า กินเนื้อที่ และยังเพิ่มน้ำหนักรถด้วย ในยุคที่การลดน้ำหนักตัวรถเป็นสิ่งสำคัญ รวมทั้งเนื้อที่ในห้องโดยสารที่ต้องมากพอ จึงยังไม่มีอะไรมาแทนอลูมิเนียมได้ อายุใช้งานที่สั้นพอสมควร ผู้ผลิตรถเขาถือว่าลูกค้า “พอรับได้” ส่วนผู้ผลิตถือเป็นโชคสองชั้น คือ ได้แอร์เย็น แล้วยังได้เงินจากการขายรังผึ้งใหม่ด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าจะเปลี่ยนรังผึ้งใหม่ ใช้แต่ของแท้เท่านั้นครับ เพราะเรามั่นใจได้ว่าระบบทำความเย็นจะทำงานได้ดีตามที่ถูกออกแบบมา ช่างที่ไหนยุให้ใช้แบบที่ทำจากทองแดง หรือโลหะอื่น อย่าไปเชื่อครับ มันอาจไม่ผุไปอีกนาน แต่เราต้องเหงื่อซึมไปตลอดอีกหลายปีครับ เมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่ผ่านมา เคยมีผู้ผลิตรถญี่ปุ่นบแรนด์หนึ่งที่ขายได้น้อยที่สุด ใส่อีแวพอเรเตอร์คุณภาพต่ำในรถจากโรงงาน จะเพราะหลงคารมผู้ผลิตรังผึ้งและไม่ทดสอบก่อนสั่งซื้อ หรือเห็นแก่ผลกำไรเพราะราคาถูกเป็นพิเศษ ก็มิอาจทราบได้ ผู้รับเคราะห์ คือ ลูกค้าที่ซื้อรถพวกนี้ไป (ชอบใช้เลข 3 ตัว แทนชื่อรุ่น) น่าสงสารมากครับ รถติดกลางแดดตอนบ่ายเมื่อไร เป็นต้องเหงื่อชุ่มหลัง บริษัทใหญ่มันก็หน้าด้าน ตะแบงตอบไปต่างๆ นานา ทำเป็นลองซ่อมโน่นนี่ จนลูกค้าเบื่อและอายไปเอง เพราะหน้าไม่หนาเท่าพนักงานของมัน นี่เป็นข้อยกเว้นครับ ผมเล่าพอเป็นตัวอย่าง ว่าในประเทศที่กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคเป็นเพียงหมึกพิมพ์บนกระดาษ ใช้ของแท้แล้วก็ยังเจอของห่วยอยู่ดีครับ ใครที่ชอบคิดต่อ คงจะมีคำถามในใจทันที ว่าถ้าเจ้าเส้นใยพวกนี้ มันทำให้รังผึ้งทะลุได้จริง ทำไมไม่ใช้แผ่นกรองอากาศกั้นมันไว้ แบบเดียวกับ “แอร์บ้าน” ตามหลักการแล้ว ควรเป็นเช่นนั้นครับ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ติดขัดหลายด้านด้วยกัน ก่อนอื่นเลย “แอร์” ของรถต้องมีสมรรถนะสูงมาก ในการพาความร้อนในห้องโดยสาร ออกไป “ทิ้ง” ด้านนอก ลองนึกภาพรถที่จอดกลางแดดมาทั้งวัน ความร้อนจะถูกสะสมไว้ใน “เนื้อ” ของทุกอย่างในห้องโดยสาร และมันพร้อมจะคายออกมาตลอดเวลา ทันทีที่อากาศในห้องโดยสารร้อนน้อยกว่ามัน ถ้าสมรรถนะในการทำความเย็นไม่เพียงพอ เราคงต้องเหงื่อหยดกันตลอดทางที่ขับกลับบ้าน หรือไปไหนต่อก็ตามหลังเลิกงาน พอเริ่มรู้สึกเย็นก็ถึงที่หมายพอดี และหัวใจของการทำความเย็น คือ ต้องมีอากาศผ่านรังผึ้งในอัตราการไหลที่สูงพอด้วย ถ้าจะใช้แผ่นกรองฝุ่นแบบของแอร์บ้าน จะต้องมีขนาดใหญ่มาก ซึ่งไม่มีเนื้อที่ในห้องโดยสารเพียงพอ สมมติว่าพอมี ก็ต้องใช้ช่างในการถอดแผ่นกรองฝุ่นออกมา ล้างบ่อยพอสมควร เราคงไม่อยากเอารถไปเข้าศูนย์บริการกันทุกเดือนนะครับ จึงเหลือทางสายกลางที่ลูกค้าผู้ใช้รถพอรับได้ ซึ่งก็คือ ยอมให้อากาศถูกพ่นผ่านรังผึ้ง โดยไม่มีการกรอง สรุปแล้วคำแนะนำทั้งหลายที่ได้อ่านกันมา ว่าสมควรทำ เพื่อให้ระบบปรับอากาศของรถเราทนทาน ล้วนเป็นสิ่งไร้สาระครับ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ปล่อยระบบแอร์อยู่ในสภาพที่ใช้งานปกติ ดับเครื่องยนต์ ดึงกุญแจออก ลอครถ เท่านี้เองครับ ไม่มีผู้ผลิตรถที่ไหน สร้างรถที่ผู้ใช้ต้องมีภาระมากมายกับแค่ระบบปรับอากาศครับ ถ้าอยากจะยุ่งเกี่ยว อาจมี เล็กน้อยในรถยุคหลัง เช่น เมื่อกลับถึงบ้าน อาจปรับความเย็น เช่น จาก 22 หรือ 23 ไปไว้ที่ 17 หรือ 18 องศา เพื่อให้ระบบทำความเย็นได้เต็มที่ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น โดยไม่ต้องให้ระบบอัตโนมัติ “ผสม” อากาศ แล้วถ้าอยากให้รังผึ้งทนทาน มีวิธีปฏิบัติแล้วได้ผลครับ ก. อย่าทิ้งของไม่จำเป็นไว้ในรถ โดยเฉพาะเสื้อผ้า ข. รักษาความสะอาดห้องโดยสาร เช่น ดูดฝุ่นทุกครั้งที่ล้างตัวถังรถ ค. ถ้าจะเปิดกระจกระบายอากาศในห้องโดยสาร ควรทำตอนรถหยุดนิ่ง ถ้าต้องระบายตอนแล่นอยู่ ปิดพัดลมแอร์ก่อนเปิดหน้าต่างเพื่อไม่ให้ฝุ่นหรือเส้นใยถูกดูดเข้าไปยังรังผึ้ง ปิดกระจกจนอากาศนิ่งแล้วจึงเปิดให้แอร์ทำงาน ถ้ารู้สึกว่ารังผึ้งเริ่มตัน หลังจากใช้งานมาหลายปี ควรให้ศูนย์บริการถอดออกมาล้าง ซึ่งเป็นงานใหญ่ครับ วิธีล้างโดยไม่ต้องถอดรื้อออกมา ตามที่โฆษณากัน ไม่ได้ผลจริง สมมติว่าคราบที่ว่ามันหลุดได้บ้าง มันก็ต้องตกไปอุดตันในถาดรับน้ำอยู่ดี และสุดท้าย ต้องมองว่ารังผึ้งแอร์ก็เป็นชิ้นส่วนที่มีอายุใช้งานจำกัด ถ้าใช้มานานพอสมควร ก็ต้องถือว่าการเปลี่ยนอันใหม่ ก็เป็นการบำรุงรักษาปกติเหมือนชิ้นส่วนอื่นๆ เช่นกัน
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2560
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/193138