รอบรู้เรื่องรถ
ระบบความปลอดภัย ในรถยุคใหม่
รถยนต์รุ่นใหม่ ที่กำลังผลิตขายอยู่ในขณะนี้ แน่นอนครับว่าเรื่องระบบความปลอดภัย ย่อมต้องมีมากกว่ารถรุ่นเก่าเป็นธรรมดา ทั้งความปลอดภัยเชิงป้องกันและเชิงแก้ไข
สำหรับผู้อ่านที่ยังไม่คุ้นเคยกับเรื่องนี้ ระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน (ACTIVE SAFETY) คือ ระบบที่ช่วยป้องกัน หรือหลีกเลี่ยง ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ เช่น ระบบป้องกันล้อลอคตาย เอบีเอส (ABS) ที่ช่วยให้ระยะการเบรคฉุกเฉินสั้นลง แม้อยู่บนพื้นผิวถนนที่ลื่น และยังช่วยให้ผู้ขับ สามารถหลบหลีกสิ่งกีดขวางไปพร้อมกับการเบรคฉุกเฉินเต็มแรงได้อีกด้วย
ส่วนระบบความปลอดภัยเชิงแก้ไข (PASSIVE SAFETY) คือ ระบบที่ช่วยลด หรือหลีกเลี่ยงอันตรายให้แก่ทั้งผู้ขับ และผู้โดยสารเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ตัวอย่างเช่น เข็มขัดนิรภัย ถุงลมนิรภัย เป็นต้น ระยะหลังมานี้ยังรวมไปถึงคนเดินถนนด้วย คือ ช่วยลดอันตรายเมื่อถูกรถชน
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยของรถยุคนี้ หลายอย่างเริ่มมีให้ใช้กันบ้างแล้วในรถบางรุ่นที่ผลิตจำหน่าย แต่จะมีใช้กันคนละอย่างสองอย่าง เพื่อชูจุดขายของรถแต่ละรุ่นครับ เช่น ระบบป้องกันผู้ขับ เหนื่อย หรือ ง่วง หรือทั้งเหนื่อย ทั้งง่วงแล้วหลับใน มีให้เห็นใน โวลโว ถุงลมนิรภัยป้องกันด้านข้างของร่างกาย แบบแยกส่วน คือ สำหรับช่วงอก 1 จุด และช่วงเอวอีก 1 จุด ก็มีใช้แล้วในรถ เรอโนลต์ บางรุ่น ระบบเตือนมีรถขับคู่ขนาน อยู่ใน "มุมบอด" ของกระจกมองหลังด้านข้าง บแรนด์ เอาดี ก็มีใช้อยู่ หรือจะเป็นระบบปลอดภัยเชิงป้องกัน ที่ เมร์เซเดส-เบนซ์ ตั้งชื่อว่า พรีคแรช (PRECRASH) ใน เลกซัส ก็มีออกมาขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ระบบลดการบาดเจ็บของผู้ถูกชน ด้วยการยกฝากระโปรงหน้าขึ้นมารับ เพื่อลดความเร็วที่ศีรษะกระแทกกับฝากระโปรง ซึ่งก็คือ การลดความแรงนั่นเอง แจกวาร์ ก็มีใช้อยู่ ส่วน เมร์เซเดส-เบนซ์ น่าจะมีระบบพวกนี้อยู่ครบในรุ่น อี-คลาสส์ แต่ก็ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ เพราะระบบเหล่านี้ต้องสั่งพิเศษเท่านั้นครับ รถบางค่ายระบบบางอย่าง อาจมีราคาสูงเกือบครึ่งหนึ่งของราคารถมาตรฐานเลยทีเดียว
ด้านระบบความปลอดภัยเชิงแก้ไข ถ้าอยากให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีจริง ตัวรถโดยเฉพาะส่วนที่รับแรง ต้องมีความแข็งแกร่งพอ การเพิ่มความแข็งแกร่งของโครงรถ ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าถือว่ารูปทรงถูกออกแบบมาให้รับแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพดีแล้ว ก็เหลือเพียง 2 วิธี คือ เพิ่มความหนาของเหล็ก หรือไม่ก็ต้องเพิ่มความแข็งแรงของเหล็ก
วิธีแรกนั้นง่ายกว่าเยอะครับ แต่จะทำให้น้ำหนักโดยรวมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แน่นอนว่าวิธีนี้ย่อมทำให้เกิดปัญหาตามมาภายหลังอย่างแน่นอน ในหลายค่ายเลือกวิธีที่ 2 แทน คือ ยอมเพิ่มต้นทุนเพื่อลดปัญหาที่ตามมา คือ ใช้เหล็กกล้าเนื้อดี ให้ความแข็งแรงเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้มีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
ส่วนสำคัญที่สุดของการป้องกันอันตรายต่อผู้โดยสารและผู้ขับ คือ เสาบี (B) หรือ เสาหลังคาต้นที่ 2 นับจากด้านหน้า และกรอบหลังคารถด้านข้าง ในรถบางรุ่นใช้เหล็กแผ่นเนื้อผสมพิเศษ มาอัดขึ้นรูป แล้วเชื่อมเข้ากับโครงห้องโดยสาร โครงสร้างแข็งแรงแล้วก็ยังไม่พอสำหรับการถูกชนด้านข้างครับ ต้องมีตัวกลางที่มีความแข็ง หรือจะเรียกว่าความนุ่มก็ได้พอเหมาะ ที่จะคั่นระหว่างลำตัวผู้โดยสารกับโครงรถ ที่ยุบเข้ามาตอนถูกชน
ส่วนนี้เป็นหน้าที่ของแอร์แบก หรือถุงลมนิรภัย แยกเป็น 2 ส่วนอิสระต่อกัน ส่วนบน ป้องกันลำตัว ส่วนล่าง ป้องสะโพก และถ้าถูกชนด้านหน้า หรือขับไปชนอะไรก็ตามที่รุนแรงระดับมีการบาดเจ็บ ก็มีถุงลมนิรภัยสำหรับป้องกันเข่าโดยเฉพาะด้วย
ที่เล่าให้ฟังนี้ เขาออกแบบแค่สำหรับผู้ขับและผู้โดยสารตอนหน้าเท่านั้นนะครับ ผู้โดยสารด้านหลังก็ต้องมีเข็มขัดนิรภัย และถุงลมนิรภัยด้วยเช่นกัน ในรถเยอรมนีบางรุ่น เข็มขัดนิรภัยมีชุดจำกัดแรงมาให้ด้วย คือ เมื่อร่างของผู้ขับ หรือผู้โดยสารอัดกับแถบเข็มขัดด้วยความรุนแรงระดับที่สามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ ชุดจำกัดแรงจะถูกยืดออกพร้อมกับการรักษาแรงตึงของเข็มขัดให้คงที่ และถ้าลูกค้าเลือกสั่งระบบ พรีเซฟ (PRESAFE) มาด้วย ก็จะมีระบบขึงเข็มขัดนิรภัยให้ตึงแนบลำตัวผู้ขับและผู้โดยสาร ทันทีที่มีการชนด้วยความแรงระดับที่ตั้งค่าไว้
ในส่วนระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน นอกจากที่รู้จักคุ้นเคยกันดีแล้ว ยังมีส่วนที่ใหม่ และผมเห็นว่ามีประโยชน์มาก โดยเฉพาะสำหรับคนไทย ที่มักจะเกิดอุบัติเหตุจากการเริ่มเบรคช้าเกินไป ทำให้ระยะห่างที่มีอยู่ไม่เพียงพอ นั่นคือ ระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ ซึ่งอยู่รวมในชุดเบรคแอสซิสต์
ระบบนี้อาศัยเรดาร์ วัดระยะห่างระหว่างหน้ารถเรากับท้ายรถของคันหน้า หรืออาจจะเป็นอย่างอื่น เช่น คน ต้นไม้ หรือกำแพงก็ได้ แล้วคำนวณความแตกต่างของความเร็ว แล้วส่งข้อมูลกลับให้คอมพิวเตอร์ประจำระบบนี้ในรถ รวมถึงความเร็วของรถเราด้วย ก็สามารถคำนวณได้ว่าเหลือเวลาอีกเท่าใด ก่อนที่จะเกิดการชนหากผู้ขับยังไม่เริ่มเหยียบเบรค ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เช่น เหม่อมองไปทิศอื่นอยู่ ก้มมองโทรศัพท์มือถือ LINE กับเพื่อน หรือกำลังหลับใน ถ้าเหลือเวลาอีกเพียง 1.6 วินาที ก่อนชน แล้วผู้ขับยังไม่เบรค ระบบเบรคอัตโนมัติ จะเบรคแทนด้วยความหน่วง 40 % ของการเบรคเต็มที่ พร้อมกับส่งเสียงเตือนอย่างดังภายในห้องโดยสาร และถ้ายังไม่มีการเบรคโดยผู้ขับ เมื่อเหลือเวลาอีก 0.6 วินาที ก่อนการชน ระบบนี้จะเบรคเต็มที่ เทียบเท่ากับตอนที่เราเหยียบแป้นเบรคอย่างแรง จนระบบป้องกันล้อลอค หรือเอบีเอสทำงาน
คงพอจินตนาการตามได้นะครับ ว่าถ้าผู้ขับไม่เหยียบเบรคเลย รถก็จะต้องชนอยู่ดี เป็นความต้องการของวิศวกรที่พัฒนาระบบนี้ครับ ให้ระบบนี้ช่วยลดความรุนแรงจากการชน ซึ่งก็คือ ลดความเร็วตอนชนนั่นเอง เป็นการผ่อนหนักให้เป็นเบา แล้วถ้าถามว่า เราสามารถปรับพโรแกรมให้ระบบช่วยเบรคนี้หยุดทันจนไม่มีการชนเลยจะได้ไหม ? ตอบเลยว่าทำได้ครับ แต่เขาก็ยังต้องการสร้างรถให้พวกเรา "ขับ" มันอยู่ครับ เพราะการจะชนหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่0ความเร็วอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับทิศทางของรถด้วย เรายังคงต้องควบคุมทิศทางด้วยความตั้งใจ และมีสมาธิอยู่ดี ต้องใส่ใจให้ความสำคัญกับการเบรคด้วย
ลองจินตนาการตาม เวลาเราต้องขับรถเร็ว ไม่ว่าจะเพื่อความสนุก หรือต้องรีบจริงๆ ก็ตาม แล้วระบบนี้มันจัดการเบรคก่อนเราเหยียบแป้นเบรคดูสิครับ ว่ามันจะทำให้เสียจังหวะ และเสียความรู้สึกแค่ไหน ความจริงระบบนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบาเท่านั้น คือ อาจเจ็บน้อยแทนที่จะเจ็บมาก หรือเจ็บหนักแทนที่จะตายเท่านั้นครับ
ในรถบางรุ่นยังได้พัฒนาต่อยอดโดยใช้ระบบเรดาร์แบบใหม่ มีรัศมีทำการ 3 ระยะ คือ ระยะสั้น (30 เมตร) แต่ทำมุมกว้างครอบคลุมถนนปกติไม่ต่ำกว่า 4 ลู่วิ่ง ระยะที่ 2 รัศมีทำการ 60 เมตร มุมแคบลงแต่ระยะทางไกลขึ้น จึงตรวจความเป็นไปได้กว้างพอๆ กัน เช่นเดียวกับระดับที่ 3 ที่ทำงานได้ไกลถึง 200 เมตร
ระบบไฟส่องสว่างก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เช่น ไฟหน้าแบบ ไบ-ซีนอน สามารถปรับระยะส่องสว่างของไฟสูงโดยอัตโนมัติได้ตั้งแต่ระยะไกลสุด 300 เมตร ลงมาถึง ระดับไฟต่ำ 65 เมตร โดยใช้ข้อมูลจากกล้องถ่ายภาพ วัดระยะรถที่แล่นสวนทางมา ไฟสูงจะถูกปรับให้ส่องไกลสุด แต่ไม่ส่องเข้าตาผู้ที่ขับสวนมา จึงเป็นระบบที่เผื่อแผ่ความปลอดภัยไปถึงผู้ใช้รถคันอื่นๆ ด้วย
รถยุคใหม่ยังมีระบบความปลอดภัยอื่นๆ อีกมาก ติดตามได้ในฉบับต่อไปครับ
เรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2557
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/18064