รายงาน(formula)
"พักร้อน" กลางถนน
กรมอุตุนิยมวิทยาทำนายว่า ช่วงเดือนเมษายนนี้ อุณหภูมิจะพุ่งสูงสุดถึง 43 องศาเซลเซียส อากาศหฤโหดขนาดนี้ ระบบปรับอากาศในรถของคุณสู้ไหวหรือเปล่า ? "ฟอร์มูลา" นำสารพันเรื่องราวเกี่ยวกับแอร์รถยนต์ที่ควรรู้มาบอกกล่าว เพื่อให้ฤดูกาลท่องเที่ยวเป็นการ "พักร้อน" ของรถและคุณอย่างแท้จริง !
มารู้จักแอร์กันดีกว่า
ทำไมแอร์ถึงเย็น ?
แอร์ หรือระบบปรับอากาศ ทำหน้าที่ปรับอุณหภูมิและความชื้นในอากาศ โดยวิธีการดูดเอาความร้อนจากภายในห้องโดยสารออกไปทิ้งภายนอก ด้วยหลักการคายความร้อน และรับความร้อนของสารที่สามารถเปลี่ยนสถานะจากแกสเป็นของเหลว และจากของเหลวเป็นแกสได้ เรียกโดยรวมว่า "ความร้อนแฝง"
ยกตัวอย่าง ความร้อนแฝงให้เห็นภาพง่ายๆ คือ เมื่อเราหยดแอลกอฮอลลงบนผิวหนัง เราจะรู้สึกว่า "เย็น" ในช่วงที่แอลกอฮอลยังเป็นของเหลวอยู่ แต่เมื่อใดที่มันระเหยกลายเป็นไอไปแล้ว เรากลับรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เนื่องมาจากแอลกอฮอลจะดูดความร้อนจำนวนหนึ่งจากผิวเราไป ความเย็นที่เรารู้สึกนั่นแหละ คือ ความร้อนแฝง ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับแอร์รถยนต์
เตรียมแอร์ให้พร้อมรับร้อน
จะลงมือเตรียมแอร์รถรับร้อนกันทั้งที หลายคนอาจนึกเลยไปถึงการหาร้านซ่อมแอร์ อย่าเพิ่งครับ ! เพราะเราสามารถตรวจเชคการทำงานของระบบแอร์เบื้องต้นได้เองแบบง่ายๆ ดังนี้
ใช้ความรู้สึก
การตรวจเชควิธีนี้ ต้องอาศัยความ "คุ้นเคย" กับรถกันสักหน่อย คือ ต้องรู้ถึงความเย็นในยามที่แอร์ทำงานเป็นปกติ เปรียบเทียบกับขณะปัจจุบัน ว่ามีความรู้สึกที่แตกต่างกันหรือไม่ เช่น เปิดแอร์ตั้งนานแล้วยังไม่เย็น เจอแดดหน่อยก็สู้ไม่ไหว (เก่งเฉพาะตอนพระอาทิตย์ตก) ติดไฟแดงแป๊บเดียว ร้อนแล้ว ! (ต้องวิ่งอยู่เท่านั้น) หรือจะสังเกตความเย็นจากระดับแรงลมในช่องแอร์ว่าเย็นสม่ำเสมอหรือเปล่า ซึ่งถ้าแอร์เริ่มมีปัญหา ความเย็นจะลดลงจนคุณต้องเพิ่มระดับความเย็น หรือระดับพัดลมกันอยู่เรื่อยๆ
พิสูจน์ตาแมว
หม้อพักน้ำยาแอร์ หรือ รีซีเวอร์/ดไรเออร์ เป็นอุปกรณ์ที่มีหน้าที่สำรองน้ำยาแอร์ และดูดความชื้น ซึ่งก็คือ น้ำนั่นเอง ด้านบนจะมีช่องมองกระจกทรงกลมเล็กๆ ที่ชอบเรียกกันว่า "ช่องตาแมว" ช่องนี้มีไว้ดูน้ำยาแอร์ โดยเมื่อติดเครื่องยนต์แล้วเปิดแอร์ ถ้าเห็นว่า มีน้ำยาแอร์วิ่งผ่านและเกิดเป็นฟองบ้าง แสดงว่าปกติ แต่ถ้าเห็นเพียงเล็กน้อย หรือไม่มีเลย แสดงว่าน้ำยาแอร์น้อยเกินไป และถ้าเห็นน้ำยาแอร์เต็มช่องโดยไม่มีฟองอากาศเลย แสดงว่าน้ำยาแอร์มีมากเกินกำหนด
สำรวจรอยรั่ว
น้ำยาแอร์จะไม่สามารถหายไปเองได้ นอกจากรั่ว หรือซึมออกมาอย่างช้าๆ การรั่วซึมนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติของรถที่ใช้งานมาหลายปี น้ำยาแอร์สามารถซึมออกมาทางข้อต่อต่างๆ ได้บ้างแต่ในอัตราที่น้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วมักรั่วที่ใดที่หนึ่ง สังเกตได้ง่ายเพราะจะมีน้ำมันหล่อลื่นคอมเพรสเซอร์ซึมติดเป็นคราบ ถ้าไม่ใช่ เป็นเพราะส่วนที่เป็นโลหะผุทะลุ หรืออาจเป็นส่วนที่เป็นท่อยางขาดปริออกมา หรือแหวนกันรั่ว (โอ-ริง) เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน ถ้าเป็นการรั่วที่รังผึ้งทำความเย็น หรือตู้แอร์ (อีแวพอเรเตอร์) จะสังเกตได้จากน้ำที่กลั่นตัวและหยดลงที่พื้นถนน ถ้ามีคราบน้ำมันลอยปนอยู่ด้วย แสดงว่ารั่วแน่ๆ
3 ปัญหาที่เกิดบ่อย
หลังจากวิเคราะห์ด้วยตัวเองเบี้องต้นแล้ว ถ้าแอร์รถยังปกติสุขอยู่ ก็โชคดีไป แต่ถ้าพบว่าแอร์มีแนวโน้มที่จะเสีย แนะนำว่าควรพาไปหาช่างจะดีกว่า เรารวบรวม 3 อาการ ที่มักเกิดกับแอร์ของรถคุณ และวิธีแก้ไขของช่างมาให้แล้ว
น้ำยาแอร์ขาด
อาการ : ลมเย็นจากช่องแอร์ ไม่เย็นเท่าที่ควร
วิธีแก้ : ช่างต้องเชครอยรั่วในระบบก่อน เพราะระบบแอร์นั้นเป็นระบบปิด น้ำยาแอร์ไม่สามารถหายไปได้เอง เมื่อแก้ไขรอยรั่วเรียบร้อยแล้ว จึงเติมน้ำยาแอร์เข้าไปใหม่ เป็นอันเรียบร้อย
ตู้ตัน
อาการ : มีกลิ่นเหม็นอับ ลมจากช่องแอร์เบากว่าปกติ
วิธีแก้ : ตู้แอร์ที่สกปรกเกิดจากการอุดตันของเศษฝุ่นละอองต่างๆ ที่ถูกพัดลมดูดผ่านอีแวพอเรเตอร์หรือคอยล์เย็นในตู้แอร์ ซึ่งเปียกอยู่เสมอขณะทำงานจากการกลั่นตัวของไอน้ำในอากาศ สิ่งแปลกปลอมเหล่านี้ ค่อยๆ ปลิวมาติดทีละเล็กน้อย ถ้าสะสมเป็นแรมปี แบบนี้ต้องถอดมาล้างสถานเดียว
แอร์เป็นน้ำแข็ง
อาการ : จะมีกลิ่นเหมือนน้ำแข็งแห้งออกมาทางช่องแอร์ พัดลมแอร์จะไม่ค่อยแรง
วีธีแก้ : สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าน้ำยาแอร์น้อยเกินไป ทำให้ท่อภายในตู้แอร์กลั่นตัวมากจนเกาะเป็นน้ำแข็ง จึงไม่สามารถแลกเปลี่ยนความร้อนได้ทัน วิธีแก้เบื้องต้นให้ปิดสวิทช์การทำงานของคอมเพรสเซอร์เสียก่อน และเปิดระดับความแรงของพัดลมในรถระดับสูงสุด เพื่อให้แรงลมพาความร้อนไปละลายน้ำแข็งออก ถ้าน้ำแข็งละลายหมดแล้วแอร์ก็จะกลับมาสู่ภาวะปกติดังเดิม ส่วนช่างจะแก้ไขด้วยการเชคน้ำยาแอร์ และระบบแอร์ทั้งหมด โดยเฉพาะรอยรั่ว
3 ข้อสงสัยเกี่ยวกับแอร์ ?
ถาม : ล้างตู้แอร์แบบไม่ถอดตู้ ดีหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่ดี! ตู้แอร์ที่สกปรกเกิดการอุดตันจากเศษวัสดุนานาชนิด เช่น เส้นด้าย เส้นผม เส้นใยจากเสื้อผ้า สิ่งเหล่านี้จะปลิวมากับอากาศที่ถูกพัดลมดูดผ่านอีแวพอเรเตอร์ หรือคอยล์เย็นในตู้แอร์ ซึ่งเปียกอยู่เสมอขณะทำงานจากการกลั่นตัวของไอน้ำในอากาศ สิ่งแปลกปลอมเหล่านี้ ค่อยๆ ปลิวมาติดทีละเล็กน้อย สะสมเป็นแรมปี ไม่มีทางหลุดออกมาได้ ถ้าไม่ถอดออกมาล้าง
ถาม : สตาร์ทเครื่องครั้งแรก ขณะเครื่องยังเย็นอยู่ สามารถเปิดแอร์ได้เลยหรือไม่ ?
ตอบ : ได้เลย! ในการสตาร์ทเครื่องครั้งแรก เราสามารถที่จะเปิดแอร์ได้เลยทันที(หรือจะเปิดพร้อมสตาร์ทก็ได้ ถ้าแบทเทอรียังดีอยู่) เพราะคอมเพรสเซอร์แอร์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับน้ำในหม้อน้ำ จึงไม่จำเป็นต้องรอให้เครื่องร้อนก่อน แต่ไม่ควรเปิดแอร์ครั้งแรกในความเร็วรอบสูง ควรเปิดแอร์ในความเร็วรอบต่ำ (รอบเดินเบายิ่งดี) สัก 10-15 วินาที เพื่อให้น้ำมันหล่อลื่นไปเคลือบลูกสูบภายในให้ทั่วก่อน เพราะคอมเพรสเซอร์จะทำงานก็ต่อเมื่อเราเปิดแอร์เท่านั้น
ถาม : เวลาลุยน้ำต้องปิดแอร์หรือไม่ ?
ตอบ : จะปิดหรือเปิดก็ได้! ขึ้นอยู่กับระดับน้ำว่าลึกถึงตัวคอมเพรสเซอร์หรือไม่ ถ้าลึกถึง ก็ควรปิดแอร์เพราะน้ำอาจทำให้สายพานเกิดการสลิพ (หมุนฟรี) สายพานจะเสียหายได้ แต่ถ้าลุยไม่ลึกก็ไม่จำเป็นต้องปิดแอร์
ตัวช่วย ! ทำให้แอร์เย็นเร็วขึ้น
จอดรถในร่ม
ข้อนี้ยากหน่อย ต้องอาศัยโชค และสายตาที่เฉียบคม อาจจะเป็นใต้ต้นไม้ หรือเงาจากอาคารต่างๆ นอกจากนี้ยังต้องรู้ถึงจุดเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของแสงอาทิตย์ ว่าตอนเช้า/บ่าย/เย็น จุดไหนที่ร่มบ้าง อาจต้องรู้ถึงฤดูกาลว่าฤดูไหนพระอาทิตย์ขึ้นและตกตรงไหน ว่าไปนั่น การจอดรถในร่มจะช่วยให้รถของคุณไม่ร้อน ตัวช่วยต่างๆ นี้เป็นตัวช่วยที่ทำให้แอร์ทำงานไม่หนักเกินไป ช่วยประหยัดเชื้อเพลิง และที่สำคัญช่วยให้คนขับรถไม่เสียอารมณ์จากอากาศที่ร้อนอีกด้วย
ลดกระจกลง
การลดกระจกลงสักครึ่งถึงหนึ่งนิ้ว เวลาจอดตากแดดจัดๆ เป็นการระบายความร้อนในอากาศบริเวณห้องโดยสารออกไปข้างนอกด้วยความดันตามธรรมชาติ ถ้าจะให้ได้ผลดี ต้องเปิดกระจกไว้ทั้ง 2 ข้างของรถ ให้อากาศไหลถ่ายเทความเย็นเข้าไป เพื่อนำความร้อนออกมา
ติดฟีล์มกันความร้อน
การติดฟีล์มกันความร้อนนั้น สามารถช่วยลดความร้อนจากแสงแดดได้มาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับเนื้อฟีล์มแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อด้วย ว่าความสามารถในการลดความร้อนเท่าไร ฟีล์มกันร้อนยุคปัจจุบันสามารถลดความร้อนได้มากที่สุดถึง 83 % แต่ที่ถือว่าเป็นข้อดีอีกอย่างของฟีล์มกันความร้อน คือ สามารถป้องกันรังสีอุลทราไวโอเลท จากแสงอาทิตย์ได้เกือบ 100 % (เป็นรังสีที่ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง)
เล่นกับ "แอร์"
แบบทดสอบ ของคนชอบแกล้ง
เราทดลองการสูญเสียความเย็นและระยะเวลาในการทำความเย็นในสถานการณ์ต่างๆ โดยจำลองการใช้งานจริงในวิถีชีวิตประจำวัน 4 รูปแบบที่เกิดขึ้นบ่อยๆ
ตัวแปรที่ต้องควบคุม คือ รถที่ใช้ทดลองคันเดียวกัน จอดรถตากแดด อุณหภูมิภายในรถที่ 28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิภายนอกเฉลี่ย 31.4 องศาเซลเซียส ก่อนทดลองทุกครั้ง ตำแหน่งที่เธอร์โมมิเตอร์วัดบริเวณหลังเกียร์
1. รับบัตรจอดรถ
เปิดกระจกหน้าต่างลงสุด และอุณหภูมิก่อนรับบัตร คือ 28 องศาเซลเซียส ระยะเวลาการรับบัตร 8 วินาที หลังรับบัตรผลปรากฏว่าอุณหภูมิยังเท่าเดิมที่ 28 องศาเซลเซียส เวลาระดับนี้ ไม่มีผลทำให้ห้องโดยสารสูญเสียความเย็นได้
2. รับผู้โดยสาร 1 คน
ผู้โดยสาร 1 คน ข้างคนขับ เปิดประตูสุด 10 วินาที อุณหภูมิก่อนรับคนโดยสาร คือ 28 องศาเซลเซียส หลังรับคนโดยสาร ผลปรากฏว่าอุณหภูมินั้นสูงขึ้นเพียง 0.1 องศาเซลเซียส และระยะเวลาการทำอุณหภูมิให้เย็นเท่าเดิม (28 องศาเซลเซียส) คือ 55 วินาที
3. รับผู้โดยสาร 2 คน
ผู้โดยสารด้านหน้า 1 คน และด้านหลังซ้ายอีก 1 คน โดยเปิดประตูด้านซ้ายสุดทั้งหน้าและหลัง 10 วินาที อุณหภูมิก่อนรับคนโดยสาร คือ 28 องศาเซลเซียส หลังรับคนโดยสารผลปรากฏว่าอุณหภูมินั้นสูงขึ้นแค่ 0.2 องศาเซลเซียส และระยะเวลาการทำความเย็นให้เท่าเดิม คือ 1.14 วินาที
4. รับผู้โดยสาร 3 คน
ผู้โดยสาร 3 คน ด้านหน้า 1 คน และด้านหลัง 2 คน โดยเปิดประตูสุดทุกบาน ยกเว้นด้านคนขับรถ 10 วินาที อุณหภูมิก่อนรับคนโดยสาร คือ 28 องศาเซลเซียส หลังรับคนโดยสารผลปรากฏว่าอุณหภูมินั้นสูงขึ้น 0.3 องศาเซลเซียส และระยะเวลาการทำความเย็นให้เท่าเดิม คือ 2.22 วินาที
สรุปผลทดลอง
ในการทดลองที่ 1 นั้น ไม่มีผลกระทบต่อความเย็นภายในห้องโดยสาร ถ้าเปิดหน้าต่างไม่เกิน 8 วินาที เนื่องจากการทำความเย็นของแอร์ ทำได้รวดเร็วจนสามารถชดเชยการเปิดหน้าต่างได้หมด
การทดลองที่ 2-4 อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเฉลี่ยคนละ 0.1 องศาเซลเซียสเท่านั้น
ส่วนระยะเวลาการทำความเย็นให้เท่าเดิมนั้น ผลปรากฏว่าการทดลองที่ 2 และ 3 ใกล้เคียงกัน แต่การทดลองที่ 4 จะต่างกันนาทีเศษ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าความดันในรถคงที่ (เป็นระบบปิด) เวลาเปิดประตูความดันที่สูงกว่าในรถจะไหลออกไปภายนอก ซึ่งมีความดันต่ำกว่า โดยการทดลองที่ 4 อากาศจะไหลผ่านได้ดีที่สุด เพราะเปิดประตูทั้งซ้ายและขวา จึงทำให้ความเย็นออกไปภายนอกมากที่สุดไปด้วย
*** เฉลยว่ารถยนต์ที่นำมาใช้ในการทดลองเพิ่งนำไปล้างระบบปรับอากาศและเติมน้ำยาแอร์มาหมาดๆ เห็นหรือยังว่าถ้าแอร์รถคุณสมบูรณ์ ร้อนนี้คุณก็จะ "พักร้อน" อย่างมีความสุข
เรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2557
คอลัมน์ Online : รายงาน(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/18037