มาตรวัดตลาดรถ
อีโคคาร์ 2 ?
[table]
เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนมกราคม ปี '57 กับ '56
ตลาดโดยรวม,- 45.6 % รถยนต์นั่ง,- 56.7 % รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV),- 18.6 % รถอเนกประสงค์ (MPV),- 26.9 % กระบะขับเคลื่อน 2 ล้อ,- 38.5 % กระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ,- 40.5 % อื่นๆ,- 44.5 % [/table] นั่นคือคำถาม ? คงไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าโครงการอีโคคาร์ 2 จะมีอนาคตเป็นอย่างไร เพราะขณะเขียนต้นฉบับนี้ ยังไม่เลยกำหนดเวลาที่บริษัทรถยนต์ จะต้องยื่นขอรับการส่งเสริม ที่ต่างยังเก็บไต๋กันจนนาทีสุดท้าย คือ วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม นี้ คำถาม คือ จะมีค่ายรถยนต์สนใจเข้าโครงการนี้หรือไม่ คำตอบที่แน่นอน คือ มีแน่ แต่จะกี่บริษัทเท่านั้นเอง เพราะในเฟสแรก เมื่อปี 2550 ก็มี 5 เจ้า ที่ยื่นขอรับการส่งเสริม ที่จริงมี 6 เจ้า แต่ใจเสาะขอยกเลิกไปหนึ่ง แถมเจ้าสุดท้ายที่ออกสู่ตลาด ก็สร้างปรากฏการณ์ให้สะเทือนเลื่อนลั่นวงการมาแล้ว ว่ารถยังไม่ออกขายก่อนกำหนดหมดอายุ แต่สามารถเข้าโครงการได้ เป็นบันทึกหน้าใหม่ของวงการอีกหน้าหนึ่งมาแล้ว เงื่อนไขของ อีโคคาร์ รุ่น 2 นี้ เน้นปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ต้องผ่านมาตรฐาน ยูโร 5 ที่เตรียมการเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ ในปี 2559 ที่จะทำให้ รุ่น 2 เสียภาษีสรรพสามิต 14 % แถมหากรองรับ อี 85 ได้ ก็จะได้ลดลงเหลือ 12 % ที่แน่ใจได้เลย ก็คือ อีโคคาร์ รุ่น 1 จะมีค่ายที่ปรับสเปคเครื่องยนต์ ให้เข้าเงื่อนไข รุ่น 2 เรียกว่าเป็นทางลัด แถมลงทุนน้อยกว่าด้วย ลองจับตาดูดีๆ ว่าต้นปี 2558 จะมีเจ้าไหนเดินทางลัดกันบ้าง แต่ยังมีเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่อง ที่จะต้องคอยรัฐบาลใหม่ ที่จะมาสานต่อ คือ การส่งเสริมการผลิตรถบรรทุก ที่จะสามารถต่อยอดไปจนถึงผู้ประกอบการต่อตัวถังได้ด้วย ปัจจุบัน ประเทศไทย มีผู้ผลิตรถบรรทุก 5 ราย ผลิต 7 ยี่ห้อ กำลังการผลิตรวมกันประมาณ 70,000 คัน/ปี เจ้าใหญ่ 2 เจ้า ฮีโน และ อีซูซุ ที่ผลัดกันครองแชมพ์ เพราะแค่ 2 เจ้านี้ก็ขาย 90 % แล้ว โดยใช้ชิ้นส่วนในประเทศไม่ต่ำกว่า 40 % ส่วนผู้ประกอบการต่อตัวถัง มีอยู่ราว 100 ราย เกือบทั้งหมด เป็นผู้ประกอบการสัญชาติไทย และอยู่ในกลุ่ม เอสเอมอี วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ผลิตโดยใช้แรงคนเป็นหลัก ยังไม่ค่อยมีเครื่องทุ่นแรง หรือเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยในการผลิตมากนัก แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบการ หรือลูกค้าในประเทศ ที่น่าสนใจก็คือ มีการส่งออกร้อยละ 20 ของปริมาณการผลิตทั้งหมด และปริมาณกว่าร้อยละ 95 ส่งออกไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ ลาว พม่า 2 ประเทศนี้มากที่สุด ส่วน กัมพูชา และเวียดนาม มีโรงงานประกอบรถบรรทุกขนาดกลางของตนเอง เลยไม่มีการนำเข้าจากไทย แต่ทั้งนี้ อุตสาหกรรมรถบรรทุกของเรา ก็ยังมีปัญหาขาดแคลนแรงงาน ขาดแคลนวัตถุดิบ และความรู้ด้านการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ สถาบันยานยนต์ ได้ทำการวิจัยเรื่องดังกล่าว พร้อมมีข้อเสนอแนะมากมาย หยิบเอามาเล่าเพื่ออยากจะบอกว่า หากมีการรวมเป็น เออีซี แล้ว เรื่องนี้น่าจะมีความหมายที่ภาครัฐจะให้ความสนใจ เพื่อเสริมสร้างอุตสาหกรรมรถบรรทุก ให้เข้มแข็งได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีมาตรการช่วยเหลืออยู่บ้างแล้ว แต่ผู้ประกอบการต่อตัวถัง น่าจะเป็นกลไกที่ทำได้รวดเร็วกว่าเดิม ก็ต้องคอยดูสถาบันยานยนต์ ว่าจะผลักดันกันได้แค่ไหน เอาใจช่วยด้วยคนครับ มาดูกันว่าใครจะเป็นแชมพ์กัน ยอดรวมเดือนมกราคม โตโยตา ขาย 26,184 คัน ลดลง 25.5 % ส่วนแบ่งตลาด 38.3 % อันดับสอง อีซูซุ ขาย 12,883 คัน ลดลง 35.1 % ส่วนแบ่ง 18.8 % อันดับสาม นิสสัน ขาย 12,883 คัน ลดลง 39.9 % ส่วนแบ่ง 8.8 % อันดับสี่ ฮอนดา ขาย 5,781 คัน ลดลง 68.6 % ส่วนแบ่ง 8.4 % และอันดับห้า มิตซูบิชิ ขาย 5,346 คัน ลดเยอะ 59.4 % ส่วนแบ่ง 7.8 % แยกเป็นประเภทรถยนต์นั่ง เดือนเดียว ขาย 25,171 คัน ลดลง 56.7 % โดยมี โตโยตา เป็นที่หนึ่ง ขาย 10,771 คัน ลดลง 38.1 % ส่วนแบ่ง 42.8 %, ที่สอง ฮอนดา ขาย 4,344 คัน ลดลงเยอะ 71.0 % ส่วนแบ่ง 17.3 % ที่สาม นิสสัน ขาย 3,205 คัน ลด 61.1 % ส่วนแบ่ง 12.7 % ที่สี่ มิตซูบิชิ ขาย 2,257 คัน ลดลง 60.4 % ส่วนแบ่ง 9.0 % และที่ห้า ซูซูกิ ขาย 1,217 คัน ลดลง 17.9 % ส่วนแบ่ง 4.8 % รถกิจกรรมกลางแจ้ง (เอสยูวี) เดือนเดียวขาย 7,868 คัน มี อีซูซุ ขายมากสุด 1,808 คัน เพิ่มขึ้นมากถึง 1030.0 % ส่วนแบ่ง 23.0 % ที่สอง โตโยตา ขาย 1,773 คัน ลดลง 34.9 % ส่วนแบ่ง 22.5 % และที่สาม นิสสัน ขาย 1,419 คัน เพิ่มขึ้นเยอะมากถึง 6069.6 % ส่วนแบ่ง 18.0 % รถอเนกประสงค์ (เอมพีวี) ลดลง 31.9 % ขายได้ 698 คัน มี โตโยตา ขายมากสุด 698 คัน ลดลง 31.9 % ส่วนแบ่ง 56.1 % มี ฮอนดา ตามมา 238 คัน และ ซูซูกิ ตามมาติดๆ 138 คันเรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2557
คอลัมน์ Online : มาตรวัดตลาดรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/18007