รู้ลึกเรื่องรถ
เครื่องยนต์ 5 บลอค "อรหันต์"
"เครื่องยนต์ตัวไหนเจ๋ง ?" นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ในบรรดาคนรักรถแรง สามารถถกเถียงกันอย่างถึงพริกถึงขิงได้เป็นวันๆ ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็ขึ้นอยู่กับว่า พวกเขาเคยได้รับประสบการณ์กับเครื่องยนต์ตัวไหนบ้าง
ฝรั่งเขามีการรวบรวม 10 เครื่องยนต์ สุดเจ๋ง ในรอบ 20 ปีไว้ ซึ่งต้องบอกตรงๆ ว่า เครื่องยนต์บางตัวนั้น ผมก็ไม่เคยสัมผัสเหมือนกัน จึงการันตีไม่ได้ว่าจะดีแค่ไหน แต่ส่วนใหญ่ยอมรับว่า "เยี่ยมจริง"
เนื่องจากเนื้อที่มีจำกัด จึงขอคัดมานำเสนอเพียง 5 ตัว ที่เรียกได้ว่าเป็น ระดับอรหันต์ และพอจะหาได้ในบ้านเรา โดยเครื่องยนต์ทั้ง 5 บลอคนี้ ไม่มีการเรียงลำดับ รวมความเห็นของ "เขา" และของ "เรา" ผสมกัน
1. ให้เกียรติเครื่องยนต์ตัวเล็กที่สุดก่อน นั่นคือ เครื่องยนต์ของ ฟอร์ด รุ่น อีโคบูสต์ (ECOBOOST) เบนซิน 3 สูบ ความจุเฉียดๆ 1.0 ลิตร หัวฉีดไดเรคท์อินเจคชัน อัดอากาศด้วยเทอร์โบ และใช้กระบอกสูบแบบอันเดอร์สแควร์ (UNDER SQUARE) คือ เส้นผ่าศูนย์กลางกระบอกสูบน้อยกว่าช่วงชัก โดยมีขนาดกระบอกสูบxช่วงชัก อยู่ที่ 71.9x82.0 มม.
เครื่องยนต์ตัวนี้ สร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้ทดสอบทุกรายไป ด้วยกำลังที่เหลือเฟือและความเรียบลื่นที่น่าหลงใหล แต่จริงๆ แล้ว เครื่องยนต์อีโคบูสต์ ไม่ได้มีแค่รุ่น 3 สูบ เท่านั้น แต่มีรุ่น 4 และ 6 สูบ ด้วย (ในต่างประเทศ)
เครื่องยนต์อีโคบูสต์แบบ 3 สูบ นี้พัฒนาขึ้นในสหราชอาณาจักร เมื่อปี 2012 โดยใช้เสื้อสูบเป็นเหล็กหล่อ แม้จะมีน้ำหนักมากกว่า แต่ก็ช่วยให้ร้อนเร็วกว่า ถึงอุณหภูมิใช้งานได้เร็วกว่าการใช้เสื้อสูบผลิตจากอลูมิเนียม จึงช่วยลดการปล่อยมลภาวะ และประหยัดเชื้อเพลิง มีให้เลือกใช้ 2 รุ่น 100 กับ 125 แรงม้า ซึ่งบลอคที่มีพละกำลัง 125 แรงม้า เป็นบลอคเดียวกับที่ประจำการอยู่ใน ฟอร์ด ฟิเอสตา อีโคบูสต์ ที่มีจำหน่ายในบ้านเรานั่นเอง
ปัญหาหลักของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ 3 สูบ คือ เรื่องของความสั่นสะเทือนจากจำนวนกระบอกสูบที่ไม่สมดุล ซึ่งได้รับการแก้ไขด้วยการใช้ฟลายวีลแบบไม่สมดุล เพื่อช่วยให้เครื่องยนต์แบบ 3 สูบ เดินได้เรียบกว่าเครื่องยนต์แบบ 3 สูบ ของค่ายอื่นๆ (แถมด้วยสมรรถนะทิ้งห่างกันเป็นทุ่ง) อย่างไร้ข้อกังขา นับเป็นเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมที่เป็นเจ้าของได้ไม่ยาก
2. เครื่องยนต์ที่รักการหมุนรอบสูงเป็นพิเศษ ฮอนดา เค 20 (HONDA K 20) ในตระกูล เค 20 ลืมตาดูโลกในปี 2001 เป็นเครื่องเบนซิน 4 สูบ ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ พร้อมระบบ I-VTEC ที่แปรผันองศาของแคมชาฟท์ให้เหมาะสมกับรอบเครื่องยนต์ และใช้คอยล์จุดระเบิดอิสระแต่ละกระบอกสูบ เพื่อให้ประสิทธิภาพการควบคุมการจุดระเบิดดีที่สุด
เครื่องตระกูล เค 20 ตัวเด่นตัวดัง ได้แก่ บลอค เค 20 เอ ที่อยู่ในตัวเจ็บสายพันธุ์ ไทพ์-อาร์ ของ ฮอนดา ซีวิค และ อินเทกรา นั่นเอง มีเอกลักษณ์ฝาครอบวาล์วสีแดงสด ที่คนไทยเรียกติดปากกันว่า ฝาแดง เป็นเครื่องยนต์ที่ผู้ขับขี่เล่นกับรอบเครื่องยนต์ที่หมุนเกิน 8,000 รตน. ได้อย่างสนุกสนาน เป็นเครื่องที่ใช้กระบอกสูบแบบสแควร์ โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางลูกสูบเท่ากับช่วงชักที่ 86.0x86.0 มม. ซึ่งบ่งบอกถึงบุคลิกภาพ 2 แบบในตัวเอง นั่นคือ ช่วงรอบต่ำก็ให้ความเรียบลื่นแบบรถทั่วไป แต่ช่วงรอบสูงจะปลดปล่อยพละกำลังได้อย่างต่อเนื่องแบบไม่เหนื่อยล้า นอกจากนั้นยังง่ายกับการปรับแต่งเพิ่มเติม เพราะมีของเล่นผลิตออกมาให้ใช้ร่วมกันมากมาย
ส่วนเวอร์ชันที่คนทั่วไปสัมผัสได้ คือ เค 20 เซด 2 ขนาด 2.0 ลิตร พละกำลัง 155 แรงม้า ที่ใช้ประจำการอยู่ใน ฮอนดา ซีวิค รหัสตัวถัง เอฟดี รุ่น 2.0 นั่นเอง แม้จะไม่ได้แรงและลื่นเหมือนกับบลอค เค 20 เอ 2 ในรุ่น ไทพ์-อาร์ แต่ก็เป็นเครื่องที่วิ่งในรอบสูงได้อย่างสนุกสนานอีกตัวหนึ่ง
3. เครื่องยนต์ ทีเอฟเอสไอ (TFSI: TURBO FUEL STRATIFIED INJECTION) จากค่าย โฟล์คสวาเกน สุดยอดเครื่องยนต์เบนซินจากเมืองเบียร์ อีกหนึ่งสายพันธุ์ที่โดดเด่นด้วยระบบการจ่ายเชื้อเพลิงแรงดันสูงแบบไดเรคท์อินเจคชัน (ฉีดตรง) และการเผาไหม้แบบบรรยากาศเบาบาง (LEAN BURN) ร่วมกับระบบอัดอากาศด้วยเทอร์โบ ส่งผลให้ได้พละกำลังที่เหลือเฟือ พร้อมอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพ
เครื่องยนต์สายพันธุ์นี้ ถูกนำไปใช้กับตัวแรงของรถในค่ายแล้ว นอกเหนือจากของ โฟล์คสวาเกน เอง อีกหลายบแรนด์ไม่ว่าจะเป็น สโกดา เซอัต และ เอาดี
ระบบ ทีเอฟเอสไอ นี้มีอยู่ในเครื่องยนต์เบนซิน ตั้งแต่ขนาด 4 ไปจนถึง 10 สูบ และเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่สร้างกระแสเครื่องยนต์ความจุน้อยพ่วงระบบอัดอากาศที่กำลังได้รับความนิยมในทุกวันนี้
แต่ยังมีอีกหนึ่งแนวคิดที่ดังไม่แพ้กันจากค่าย โฟล์คสวาเกน นั่นคือ เครื่องยนต์ ทีเอสไอ (TSI) หรือที่รู้จักกันในชื่อของ TWIN CHARGER เพราะใช้ระบบอัดอากาศทั้งเทอร์โบและซูเพอร์ชาร์จ โดยเทอร์โบจะทำการอัดอากาศโดยใช้การหมุนของกังหันที่ได้แรงขับจากไอเสียของเครื่องยนต์ และจะทำงานในช่วงรอบสูง แต่ในช่วงรอบต่ำเครื่องยนต์แบบนี้จะใช้การอัดอากาศจากซูเพอร์ชาร์จที่ใช้แรงหมุนจากข้อเหวี่ยง โดยทาง โฟล์คสวาเกน กำหนดให้ใช้เทคนิคนี้กับเครื่องยนต์ขนาดเล็กเท่านั้น ส่วนเครื่องยนต์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจะใช้ระบบ ทีเอฟเอสไอ แทน
4. หนึ่งในเครื่องยนต์แบบไม่มีเทอร์โบที่น่าหลงใหลที่สุด ตำแหน่งนี้ตกเป็นของเครื่องบลอค เอส 54 ค่าย บีเอมดับเบิลยู ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เบนซิน แบบ 6 สูบเรียง แต่วางเอียงนิดๆ เพื่อลดจุดศูนย์ถ่วง ที่ติดตั้งในรถรุ่น เอม 3 รหัสตัวถัง อี 46 ใช้กระบอกสูบแบบ โอเวอร์สแควร์ ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่าช่วงชัก โดยมีขนาดกระบอกสูบxช่วงชัก อยู่ที่ 87.0x75.0 มม. ทำให้มีความโดดเด่นที่การทำงานรอบสูง ประกบกับฝาสูบที่มีระบบวาล์วแปรผันแบบ ดับเบิล วาโนส (DOUBLE VANOS) ที่ปรับให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพในทุกความเร็วรอบตั้งแต่รอบต่ำถึงรอบสูง โดยมีกำลังอัด 11.5:1 พร้อมลิ้นปีกผีเสื้อแยกอิสระ 6 ลิ้น
เครื่องยนต์บลอคนี้ออกแบบมาเพื่อรีดพละกำลังออกมาให้มากที่สุดเท่าที่ความจุขนาด 3.2 ลิตร ไม่มีระบบอัดอากาศพึงจะทำได้ นั่นคือ 330 แรงม้ากับแรงบิด 35.7 กก.-ม.
ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์กับเครื่องยนต์รุ่นนี้ บอกได้เลยว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ระเบิดเรี่ยวแรงออกมาได้อย่างน่าเกรงขาม พร้อมกับเสียงที่แผดกร้าว น่าหลงใหล และแตกต่างจากเครื่องยนต์บลอคอื่นๆ ของค่ายใบพัดสีฟ้าขาวอย่างสิ้นเชิง เรียกว่าไม่แพ้ขุมพลังของซูเพอร์คาร์สายพันธุ์อิตาเลียน น่าเสียดายที่เราจะไม่ได้เห็นเครื่องยนต์บลอคนี้ประจำการใน บีเอมดับเบิลยู ยุคปัจจุบันอีกแล้ว
แต่ถึงกระนั้นค่าย บีเอมดับเบิลยู ได้พัฒนาเครื่องยนต์พ่วงระบบอัดอากาศด้วยเทอร์โบที่น่าเกรงขามขึ้นมาอีกมากมายหลายรุ่น และกำลังทยอยออกมาให้เราได้สัมผัส เริ่มต้นจากเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.6 ลิตร ทวินเพาเวอร์เทอร์โบ ที่ใช้เทอร์โบลูกเล็กๆ 2 ลูก ถึงแม้ตัวเลขจะบอกว่ามีพละกำลังแค่ 136 แรงม้า แต่เมื่อใส่ลงไปในตัวถังของ ซีรีส์ 1 กลับช่วยให้มีสมรรถนะที่น่าตื่นตาตื่นใจ
ส่วนเครื่องยนต์บลอคที่น่าเกรงขามที่สุดของ บีเอมดับเบิลยู ในยุคนี้ หนีไม่พ้นเครื่องยนต์ดีเซลแบบ ทริเพิลเทอร์โบ หรือ เทอร์โบ 3 ลูก ( 2 ลูกเล็ก+1 ลูกใหญ่) ทำงานสอดประสานกัน โดยให้พละกำลัง 381 แรงม้า ที่ 4,400 รตน. กับแรงบิดแบบชวนเสียวท้องน้อย 76.5 กก.-ม. ที่ 2,000 รตน. แต่มีอัตราบริโภคเชื้อเพลิงน้อยเหลือเชื่อ โดยเครื่องยนต์บลอคนี้มีติดตั้งอยู่ในรถ 4 รุ่น ได้แก่ เอม 550 ดี เอกซ์ดไรฟ เอม 550 ดี เอกซ์ดไรฟ ทัวรริง เอกซ์ 5 เอม 50 ดี และ เอกซ์ 6 เอม 50 ดี
อีกไม่ช้า เมื่อได้ของใหม่ก็คงลืมเก่า แต่ตอนนี้ยังคิดถึงเครื่องยนต์บลอคเก่าอยู่
5. หากจะไม่กล่าวถึงเครื่องยนต์บลอคนี้คงจะเรียกว่า "ผิดธรรมเนียม" เพราะเป็นยอดปรารถนาของกลุ่ม "บ้าพลังคลั่งแรงม้า" ทั่วโลก รวมถึงเป็นขวัญใจนัก "ซิ่ง" ทุกระดับของบ้านเรา นั่นคือ เครื่องยนต์ โตโยตา ตระกูล เจเซด นั่นเอง ศักยภาพที่มี ทั้งความอึด ทน แถมขุนขึ้นของเครื่องยนต์บลอคนี้ ทำให้คนรักรถหันมา กินเจ กันเป็นทิวแถว
ตระกูล เจเซด เป็นเครื่องยนต์เบนซิน แบบ 6 สูบ ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ 4 วาล์ว/สูบ โดยถือกำเนิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นช่วงปี 1990 เริ่มต้นจากบลอค 1 เจเซด ความจุ 2.5 ลิตร โดยออกแบบกระบอกสูบเป็นแบบโอเวอร์สแควร์ ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่าช่วงชัก โดยมีขนาดกระบอกสูบxช่วงชัก อยู่ที่ 86.0x71.5 มม. และประจำการในรถเก๋งขนาดใหญ่ของค่ายสามห่วงมากมายหลายรุ่น อาทิ โตโยตา คราวน์ และปีต่อมาก็ได้ถือกำเนิดเครื่องที่มีพื้นฐานเดียวกัน แต่มีความจุ 3.0 ลิตร โดยใช้กระบอกสูบแบบสแควร์ โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางลูกสูบ เท่ากับ ช่วงชัก ที่ 86.0x86.0 มม. คือ เครื่องยนต์บลอค 2 เจเซด นั่นเอง โดยรถรุ่นแรกที่ใช้บลอค 2 เจเซด คือ โตโยตา อริสโต
เครื่องยนต์บลอค เจเซด ไม่ว่าจะเป็น 1 หรือ 2 มีทั้งแบบมีเทอร์โบ และไม่มีเทอร์โบ นอกจากนั้นยังแยกย่อยออกเป็นแบบเทอร์โบเดี่ยว และเทอร์โบคู่ รวมถึงฝาสูบแบบมีระบบวาล์วแปรผัน และไม่มีอีกด้วย โดยเวอร์ชัน 2 เจเซด-จีทีอี เป็นขุมกำลังให้ โตโยตา ซูพรา รถ จีที ตัวแรงของค่าย ที่มีแรงม้าติดตัวออกมาจากโรงงานเพียง 280 แรงม้า (ตามกฎหมายญี่ปุ่น) แต่ก็มีแรงบิดเหลือเฟือถึง 44.3 กก.-ม. และมีนักโมดิฟายด์นำเครื่องยนต์บลอคนี้ไปต่อยอด จนมีพละกำลังทะลุ 1,000 แรงม้า กันนักต่อนัก เนื่องจากเสื้อสูบของเครื่องยนต์บลอค เจเซด ผลิตจากหล็กหล่อที่มีคุณสมบัติเด่นเรื่องความแข็งแรงทนทาน และสามารถรองรับแรงอัดได้มากมายมหาศาล จึงไม่น่าแปลกใจที่มันกลายเป็นขวัญใจนักแต่งรถทั่วโลก อีกทั้งบรรดาของ "ซิ่ง" ต่างๆ ก็มีให้เลือกมากมายก่ายกองเช่นกัน
เครื่องยนต์ทั้ง 5 บลอค ที่กล่าวมานี้ มีทั้งบลอคที่เป็นตำนาน และที่กำลังจะสร้างตำนานในบทต่อไป แล้วท่านผู้อ่านล่ะครับ ตอนนี้มีเครื่องยนต์บลอคใดเป็นอรหันต์ในใจบ้าง ?
เรื่องโดย : ภัทรกิติ์ โกมลกิติ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2557
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/17797